สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 562 เผยธาตุแท้ (1)
บทที่ 562 เผยธาตุแท้ (1)
“ท่านพี่ เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่ของท่านแล้ว!”
เสี่ยวจิ้งมองหวงฝู่เสียนอย่างเป็นห่วง “ท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย”
“ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ” หวงฝู่เสียวเอ่ยเสียงเรียบเฉย
เสี่ยวจิ้งคงเกาหัวอย่างงุนงง จะไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจียวเจียว เขาต้องทุกข์มากเป็นแน่
หวงฝู่เสียนค่อยๆ ชักมือที่เจ้าตัวน้อยกุมไว้กลับมา “พวกเขาอาจจะได้ยินมาผิดก็ได้ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแม่ข้าหรอก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
เสี่ยวจิ้งคง “อื้ม”
คราวนี้เกิดเรื่องกับองค์หญิงหนิงอันเข้าแล้วจริงๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ห้องทรงอักษร เมื่อข่าวแพร่ออกไปก็สะเทือนไปทั่วทั้งวังหลัง
เซียวฮองเฮา จวงกุ้ยเฟย และซูเฟยต่างก็พากันมาที่ห้องทรงอักษร ก่อนจะพบว่าที่นั่นมีทหารรักษาพระองค์ปิดล้อมหนาแน่น ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป
“ข้าก็เข้าไปไม่ได้รึ” เซียวฮองเฮาถามเสียงเย็น
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์แซ่ฟู่ เขาประสานมือคำนับพลางเอ่ย “ภายในกำลังจับกุมมือสังหาร เพื่อความปลอดภัยของฮองเฮาและพระสนมทุกนาง ขอได้โปรดรออยู่ที่นี่ก่อนสักครู่”
“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” ซูเฟยถามอย่างร้อนใจ
ผู้บัญชาการฟู่ตอบ “ฝ่าบาทหนีออกไปทางประตูหลัง กลับไปที่ตำหนักฮว๋าชิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวงกุ้ยเฟยกลอกตามองบน “เจ้าไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า!”
คิดว่าพวกนางมาเพื่อจับมือสังหารหรืออย่างไร
เซียวฮองเฮาและบรรดาพระสนมรีบรุดไปยังตำหนักฮว๋าชิง ตำหนักหวาชิงเองก็มีทหารรักษาพระองค์ปิดล้อมถึงสามสี่ชั้น โชคดีที่ที่นี่ไม่มีทางให้มือสังหารหลบหนีไป จึงไม่ใครขวางเซียวฮองเฮาให้เข้าไป
จวงกุ้ยเฟยและซูเฟยเห็นนางเข้าไป ก็พากันตามเข้าไปเป็นกระพรวน
ตำแหน่งของเซียวฮองเฮานั้นมั่นคงแค่ไหนนั้นไม่จำเป็นพูดถึง ลูกชายของนางได้รับตำแหน่งรัชทายาท พี่ชายอย่างเซวียนผิงโหวก็ยังคว้าชัยจากเกาะหนานเต่ามาได้อีก
ส่วนจวงกุ้ยเฟยก็ตกอันดับเพราะเรื่องหนิงอ๋อง แต่ก็ยังมีจวงฮองเฮาและตระกูลจวงคอยค้ำจุน ขอแค่ไทเฮาไม่ทอดทิ้งนาง ตระกูลจวงก็ไม่มีวันละทิ้งนางเช่นกัน อย่างไรเสียนางก็ยังมีที่ยืนในวังหลวง
ซูเฟยเองก็เช่นกัน หลานชายทั้งสองของนางเพิ่งจะสร้างคุณูปการใหญ่หลวงที่ค่ายชายแดน นางเอกจึงกลายเป็นที่โปรดปรานไปด้วย ผู้ใดจะกล้าขวางทางนางกัน
พระสนมที่เข้าตำหนักฮว๋าชิงมาเป็นคนที่สี่คืออวี๋เฟย ท่านแม่ของรุ่ยอ๋อง
เดือนสิบของปีก่อนรุ่ยอ๋องเฟยได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อยขึ้นมา ผลิดอกออกผลให้กับราชสำนักก็ถือว่าสร้างคุณงามความดีเช่นกัน
ส่วนพระสนมนางอื่นนั้นไม่ได้โชคดีเช่นนี้
เหล่าข้าหลวงตำหนักฮว๋าชิงคุกเข่าก้มหน้า บรรยากาศเย็นยะเยือกแสนอึดอัดอบอวลไปทั่วทั้งตำหนัก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซียวฮองเฮาถึงได้สังหรณ์ใจว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น วินาทีที่ก้าวข้ามผ่านซุ้มประตู ฝีเท้าของนางพลันหยุดลง มองดูนางกำนัลสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ฝ่าบาทกลับมาผู้เดียวหรือ”
นางกำนัลตอบเสียงประหม่า “ทูลฮองเฮาเพคะ กลับมาพร้อมกับองค์หญิงหนิงอันเพคะ”
เรียวคิ้วของเซียวฮองเฮาขมวดเข้าหากัน
ตั้งแต่ที่ฉินฉู่อวี้ถูกหวงฝู่เสียนแกล้งจนร้องไห้ เซียวฮองเฮาก็พานไม่ชอบใจองค์หญิงหนิงอันไปด้วย
แต่เพราะฮ่องเต้คอยเกลี้ยกล่อมนางอยู่ตลอด นางจึงไม่คิดจะเอาความอันใดกับหนิงอัน
แต่ลึกๆ แล้วก็ยังไม่พอใจอยู่ดี
ฮ่องเต้และองค์หญิงหนิงอันนั่งเกี้ยวมายังนอกตำหนักบรรทม เหล่านางกำนัลและขันทีไม่มีใครรู้ว่าอาการฮ่องเต้เป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าองค์หญิงหนิงอันได้รับบาดเจ็บ เลือดอาบไปทั้งกาย
เซียวฮองเฮาไม่ถามไปมากกว่านั้น นางรีบสาวเท้าเข้าไปในตำหนักบรรทม
หน้าประตูตำหนักบรรทม บรรดานางกำนัลและขันทีกำลังคุกเข่าเช็ดคราบเลือดบนพื้น เซียวฮองเฮาหัวใจกระตุกวูบ
นางก้าวเข้าไปข้างใน กลิ่นคาวเลือดเจือกลิ่นยาทาแผลปะทะเข้ากับโพรงจมูก หนังศีรษะของเซียวฮองเฮาพลันชาวาบ
“ฝ่าบาท!”
ทว่าจวงกุ้ยเฟยนั้นไวกว่า พุ่งตัวปรี่ไปทางเตียงมังกร!
ซูเฟยและอวี๋เฟยเหลือบมองเซียวฮองเฮา ก่อนจะสงบสติอารมณ์ลง ต่อให้พวกนางจะเป็นห่วงพระวรกายของฮ่องเต้มาเพียงใด แต่ก็ไม่เหิมเกริมเช่นจวงกุ้ยเฟยที่วิ่งตัดหน้าเซียวฮองเฮาเช่นนั้น
องค์หญิงหนิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ศีรษะของนางบาดเจ็บ เลือดอาบทั้งใบหน้า แขนขวาเองก็บาดเจ็บเช่นกัน หมอหลวงนายหนึ่งกำลังทำแผลให้นาง
ส่วนหมอหลวงอีกสองคนกำลังตรวจอาการบาดแผลของฮ่องเต้อยู่ที่ข้างเตียง เว่ยกงกงเองก็ปาดน้ำท่าทางร้อนรนอยู่ริมเตียงเช่นกัน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมาแล้วหาพระองค์แล้วเพคะ!” จวงกุ้ยเฟยถลาเข้าไปข้างเตียงโดยไม่รีรอ แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นฮ่องเต้ที่มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ ใบหน้าขาวซีด คล้ายว่ากำลังหมดสติ
จวงกุ้ยเฟยหน้าถอดสีพลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท!”
หมอหลวงเหลียงตรวจแขนขวาของฮ่องเต้เสร็จ ก็เริ่มตรวจแขนซ้ายของเขาต่อ เขาได้ยินเสียงจึงรีบคำนับให้จวงกุ้ยเฟย “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บบริเวณพระเศียร ส่วนบริเวณอื่นได้รับบาดเจ็บหรือไหม พวกกระหม่อมกำลังตรวจอย่างละเอียดพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวฮองเฮาที่กำลังเดินมาถึงห้องบรรทมก็หยุดฝีเท้าลง นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กุ้ยเฟย เจ้ากลับมานี่เดี๋ยวนี้ อย่าได้รบกวนหมอหลวงยามถวายการรักษาฝ่าบาท!”
“ข้าไม่ไป! ข้าจะเฝ้าฝ่าบาทอยู่ตรงนี้!”
“ใครก็ได้เข้ามาที”
สิ้นเสียงรับสั่งของเซียวฮองเฮา ซูกงกงก็พาขันทีที่มีวรยุทธ์สองคนเดินเข้ามา ก่อนจะพาตัวที่จวงกุ้ยเฟยที่ร้องเสียงดังโวยวายออกไป
สายตาของเซียวฮองเฮากวาดมองจวงกุ้ยเฟย ซูเฟย และอวี๋เฟย “พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกให้หมด”
ซูกงกงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระสนมทั้งสามพลางเอย “เชิญพระสนมทั้งสามพ่ะย่ะค่ะ”
จวงกุ้ยเฟยไม่อยากออกไป แต่ก็ต้องจำใจยอมความจริงที่ว่า หลังจากเกิดเรื่องหนิงอ๋อง ไทเฮาก็ไม่โปรดนางสักเท่าไร นางไม่มีสิทธิ์ต่อปากต่อคำกับเซียวฮองเฮาแล้ว
จวงกุ้ยเฟยเดินออกจากตำหนักบรรทมด้วยความหงุดหงิด!
แม้แต่นางยังต้องออกมา ซูเฟยและอวี๋เฟยก็ไม่มีข้ออ้างจะดึงดันอยู่ที่นั่น จึงจำต้องเดินตามออกมาเช่นกัน
องค์หญิงหนิงอันเข้ามาคำนับเซียวฮองเฮา
เซียวฮองเฮาเห็นว่านางบาดเจ็บจึงเอ่ยถาม “หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงหนิงอันยังคงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร “บาดเจ็บเพียงภายนอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
เซียวฮองเฮาถามต่อ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ห้องทรงอักษร ได้ยินว่ามีมือสังหารลอบเข้ามา”
องค์หญิงหนิงอันก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยเสียงสะอื้น “เพคะ มือสังหาร… ลอบสังหารเสด็จพี่ ข้าไม่อาจขวางไว้ได้ เสด็จพี่จึงได้รับบาดเจ็บ”
เซียวฮองเฮาสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ากลับไปพักฟื้นที่ตำหนักปี้สยาก่อนเถอะ ข้าจะจัดการเรื่องมือสังหารเอง”
องค์หญิงหนิงอันเหลียวกลับไปมองฮ่องเต้ที่นอนหมดสติอย่างอาลัยอาวรณ์
ทั้งยังเหลือบมองเว่ยกงกง
เว่ยกงกงหลุบตาลงในทันใด
องค์หญิงหนิงอันหันหน้ากลับมา ก่อนจะคำนับเซียวฮองเฮาพลางเอ่ย “เพคะ”
หลังจากนางกลับไป เซียวฮองเฮาก็เรียกเว่ยกงกงเข้ามา เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “มือสังหารอย่างนั้นรึ ห้องทรงอักษรคุ้มกันหนาแน่จู่ๆ จะมีมือสังหารลอบเข้ามาได้อย่างไร เหล่ายอดฝีมือของวังหลวงไม่ได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทหรือ”
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างจนใจ “อยู่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…”
เซียวฮองเฮาขมวดคิ้วเอ่ย “เพียงแต่อะไร”
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เพียงแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วนัก ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงหนิงอันเอาตัวเข้ามาขวาง รับบาดแทนฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทคงบาดเจ็บสาหัสกว่านี้ มือสังหารพลาดท่า จึงคว้าแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขึ้นมาฟาดเข้าที่พระเศียรของฝ่าบาท…”
เซียวฮองเฮาแววตาพลันเย็นยะเยือก “มือสังหารคือใคร”
เว่ยกงกงหลบตาพลางเอ่ย “นักการกรมยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวฮองเฮาสอบสวนเว่ยกงกง จนรู้ที่มาที่ไปว่าเหตุใดจึงมีมมือสังหารลอบปองพระชนม์ฮ่องเต้ ที่แท้ช่วงนี้ฝ่ายบาทกำลังสืบคดีที่พัวพันกับราชสำนัก วันนี้ผู้ต้องหาในห้องขังของกรมยุติธรรมได้สารภาพความจริงแล้ว
นักการที่นามว่าซุนผิงผู้นั้นคือคนที่มาถวายจดหมายสารภาพให้กับฝ่าบาท
เจ้ากรมสิงเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจ คนที่เขาส่งมา ฮ่องเต้ย่อมไม่สงสัย ทว่าซุนผิงกลับฉวยจังหวะขณะที่ฮ่องเต้กำลังพลิกเปิดอ่านจดหมายสารภาพ ก็ชักมีดสั้นข้างเอวออกมา ก่อนจะมุ่งเป้าไปทางฝ่าบาท
เว่ยกงกงอยู่ที่หน้าประตู ห่างออกไปไกลไม่น้อย แทบมองไม่เห็นว่าซุนผิงทำอะไร
ทว่าองค์หญิงหนิงอันตั้งสติได้ทัน จึงรีบเข้าไปรับมีดแทน แขนขวาของนางจึงบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังหน้าผากฟาดเข้ากับเก้าอี้ตอนที่ล้มลงมาอีก
กว่าเว่ยกงกงจะรู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วเรียกคนมาช่วยก็สายไปเสียแล้ว ซุนผิงนั้นห่างกับฝ่าบาทในระยะประชิด ฝ่าบาทถูกซุนผิงใช้แท่นฝนหมึกฟาดเข้ากลางศีรษะ
เขาหมายจะฟาดครั้งที่สอง แต่องค์หญิงหนิงอันกระโจนตัวเข้าไป ชักมีดที่ปักอยู่บนแขนขวาของตัวเองออกมาแล้วแทงซุนผิงที่กลางขั้วหัวใจ
ตอนนั้นภายในห้องทรงอักษรมีเพียงฮ่องเต้ องค์หญิงหนิงอัน และเว่ยกงกง เพียงแค่สามคน ไม่มีพยานในเหตุการณ์คนที่สี่
เซียวฮองเฮาถามองครักษ์ที่เฝ้าประตู ซุนผิงใช้ข้ออ้างว่านำจดหมายสารภาพผิดมาถวายเพื่อเข้าวัง