สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 569 เสี่ยวเฟิงเฟิงคนพาล
บทที่ 569 เสี่ยวเฟิงเฟิงคนพาล
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องบรรทม
ระหว่างนั้นองค์หญิงหนิงอันก็มององค์หญิงซิ่นหยางอย่างประหลาดใจเช่นกัน ราวกับสัมผัสได้เช่นกันว่าองค์หญิงซิ่นหยางนั้นแปลกไป
เพียงแต่องค์หญิงหนิงอันกับองค์หญิงซิ่นหยางก่อนจะออกเรือนก็ไม่ค่อยสนิทสนมกันนัก พอออกเรือนไปแล้วก็ยิ่งเหมือนอยู่กันคนละโลก ไม่คุ้นเคยจึงไม่มีเรื่องที่จะคุย
ภายในห้องบรรทมมีนางกำนัลขันทีเฝ้ายามอยู่ไม่น้อย องค์หญิงซิ่นหยางเรียกเว่ยกงกงมาหา ก่อนจะเอ่ย “เจ้าพาคนออกไปก่อนไป ข้าอยากอยู่กับเสด็จพี่เพียงลำพัง แล้วก็องค์หญิงหนิงอันด้วย”
“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงข่มอาการขนลุกตัวสั่นเอาไว้ ก่อนมองเส้นขนบนหลังมือขององค์หญิงซิ่นหยางแวบหนึ่งโดยไม่ให้สังเกตเห็น
แม่เจ้าโว้ย!
มีจริงๆ ด้วย!
เขาแสร้งทำป้ายคำสั่งร่วงพื้น อาศัยจังหวะนั่งย่อตัวลงไปเก็บมองลูกกระเดือกใต้หมวกสานขององค์หญิงซิ่นหยาง
สวรรค์!
มีลูกกระเดือกด้วยจริงๆ !
เมื่อก่อนไม่เคยพินิจมององค์หญิงซิ่นหยางอย่างละเอียดมาก่อน วันนี้บังเอิญนัก ที่ที่ไม่ควรมองก็เห็นเสียหมดแล้ว
จู่ๆ ก็สงสารเซวียนผิงโหวขึ้นมา…
เว่ยกงกงพานางกำนัลขันทีออกไป
ในห้องจึงเหลือแค่ฮ่องเต้และองค์หญิงทั้งสอง
“เฮ้อ เหนื่อยจะตายชักแล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางปล่อยมือองค์หญิงหนิงอันออก หาเก้าอี้มานั่ง จากนั้นก็ตรัสสั่งเสียงเย่อหยิ่ง “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ เทชาให้ข้าที”
สาวใช้ที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ไม่สนใจนางเลยสักนิด กลับตรงไปข้างเตียงฝ่าบาท จับข้อมือฝ่าบาทดู
“เจ้าทำอะไรน่ะ” องค์หญิงหนิงอันคว้าข้อมือสาวใช้ไว้
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้าพลันเปลี่ยน ลุกพรวดขึ้นมา
‘กล้าจับข้อมือนาง ไม่กลัวนางตบเจ้ากระเด็นหรือไร!’
สาวใช้มองมือองค์หญิงหนิงอันนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด องค์หญิงหนิงอันจึงรู้สึกว่าแววตานี้ช่างคุ้นพิกล ในขณะเดียวกันก็ชวนขนลุกขนพองไปด้วย
“เอาละ เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ ทางนี้ไม่มีธุระอะไรของเจ้าแล้ว เจ้าไปเทชามากาหนึ่งไป” องค์หญิงซิ่นหยางแกะมือทั้งคู่ออกอย่างแนบเนียน ดันสาวใช้ไปไว้ข้างหลัง พลางแอบโบกมือให้นางทางด้านหลัง
ถูกสาวใช้ตีหลังมือเข้าให้
…เจ็บไม่น้อยแฮะ
องค์หญิงซิ่นหยางแย้มยิ้ม จับมือองค์หญิงหนิงอันอีกหน…เอ๊ย ข้อมือ ก่อนตรัสเสียงเบา “เราไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า”
องค์หญิงหนิงอันตรัสถาม “เจ้ามาเยี่ยมเสด็จพี่มิใช่หรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มแย้มตรัส “แน่นอนอยู่แล้ว ความหมายของข้าคือเจ้าไปนั่งรอข้าตรงนั้น ข้าเยี่ยมเสด็จพี่เสร็จจะไปพูดคุยกับเจ้าต่อ”
องค์หญิงหนิงอันมององค์หญิงซิ่นหยางอย่างสงสัย อย่างไรเสียก็ไม่คุ้นเคยและไม่รู้ว่าหลายปีมานี้องค์หญิงซิ่นหยางมีกิริยาท่าทางเช่นนี้หรือไม่ นางไม่ได้เอ่ยคำใด ไปนั่งบนเก้าอี้ทางนั้นแทน
นึกไม่ถึงว่าสาวใช้ที่ถูกสั่งให้ไปชงชาก็หาเก้าอี้มานั่งเช่นกัน
องค์หญิงหนิงอัน “…”
เจ้าต้องไปชงชามิใช่หรือไร
“ไอ้หยาฝ่าบาทผู้น่าสงสารของข้า เหตุใดจึงได้บาดเจ็บหนักเพียงนี้” องค์หญิงซิ่นหยางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา ยื่นไปซับน้ำตาที่ไม่มีอยู่ตรงใต้ผ้าคลุมสองที ก่อนจะกวักมือเรียกสาวใช้ “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์เจ้ามาดูฝ่าบาทไว้ หากฝ่าบาททรงฟื้นก็เรียกข้าด้วย ข้าจะสนทนากับน้องหนิงอันหน่อย”
สาวใช้ปรายหางตาไปให้นางแวบหนึ่ง
เล่นใหญ่เกินไปแล้ว
สาวใช้เดินมาข้างเตียง
องค์หญิงซิ่นหยางสะอึกสะอื้นตรัส “ดูฝ่าบาทให้ดีๆ ล่ะ”
สาวใช้ “…”
องค์หญิงซิ่นหยางเดินมาข้างกายองค์หญิงหนิงอัน ก่อนถามอย่างเสียใจ “น้องหนิงอัน เจ้ารีบเล่ามาที หมู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
องค์หญิงหนิงอันมองไปทางแท่นบรรทม “ข้า…”
องค์หญิงซิ่นหยางใช้ลำตัวใหญ่ขวางไว้ “น้องสาวเจ้าเล่ามาเลย ข้าฟังอยู่”
องค์หญิงหนิงอันขมวดคิ้ว สุดท้ายก็เล่า ‘เรื่อง’ ที่เกิดขึ้นไม่กี่วันนี้ให้ฟัง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท พระเศียรของฝ่าบาทถูกกระแทกสลบไป
“นี่ก็นานมากแล้ว ข้าควรกลับไปดูแลเสียนเอ๋อร์แล้ว” องค์หญิงหนิงอันลุกขึ้นบอก
“ข้าส่งเจ้าเอง” องค์หญิงซิ่นหยางบอก
“ไม่ต้องหรอกเพคะ” องค์หญิงหนิงอันขอตัวลา
องค์หญิงซิ่นหยางกลับยันกรานจะไปส่งนาง ในระหว่างที่ยื้อยุดกันชายกระโปรงองค์หญิงหนิงอันถูกองค์หญิงซิ่นหยางเหยียบเข้า นางจึงล้มหน้าคะมำ
ส่วนองค์หญิงซิ่นหยางที่เดิมอยู่ด้านหลังนางไม่รู้เร้นกายมาข้างหน้านางตอนไหน รับตัวนางไว้อย่างมั่นคง “เจ้าไม่เป็นไรกระมังน้องสาว!”
“ข้าไม่เป็นไร” องค์หญิงหนิงอันยืดกายขึ้น “ขอบคุณพี่สาวยิ่ง”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยด้วย ข้าเหยียบกระโปรงเจ้าเสียได้”
องค์หญิงหนิงอันตรัส “ไม่เป็นไรเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ข้าไม่สร้างปัญหาให้เจ้าเพิ่มดีกว่า เจ้ารีบกลับไปดูแลเสียนเอ๋อร์เถิด อีกเดี๋ยวข้าว่างจะไปเยี่ยมเจ้า”
“เพคะ”
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยจบก็หันหลังกลับไป นางก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้ว ก็หันกลับมามององค์หญิงซิ่นหยาง แววตามีความซับซ้อนและสงสัยวาบผ่าน
เมื่อแน่ใจว่าองค์หญิงหนิงอันไปไกลแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางจึงถอดหมวกสานออกพรวด เผยให้เห็นใบหน้าแปลกหน้าที่เต็มไปด้วยตุ่ม
ไหนล่ะซิ่นหยาง
เป็นกู้เฉิงเฟิงชัดๆ
“ในที่สุดก็ยืนตรงๆ ได้เสียที” กู้เฉิงเฟิงยืดตัวตรง ชายกระโปรงพลันสั้นขึ้นคืบใหญ่ทันที!
เขาสูงกว่าองค์หญิงซิ่นหยาง เพื่อไม่ให้ความแตก จึงงอเข่าไว้ตลอด เอ็นร้อยหวายของเขาปวดไปหมดแล้ว!
“เป็นอย่างไรบ้าง”
สาวใช้หันมาถามเขา
สาวใช้ย่อมไม่ใช่สาวใช้จริงๆ อยู่แล้ว แต่เป็นกู้เจียว
กู้เจียวสวมหน้ากากหนังมนุษย์ จึงแสดงสีหน้ามากไม่ได้ มิฉะนั้นหน้ากากจะหลุด
กู้เฉิงเฟิงไม่ได้สวมเพราะเขาต้องพูดจา ทำสีหน้ามากมาย หากไม่ทันระวังทำหนังหน้าลอกออกมา ภาพนั้นคงสยองน่าดู
ส่วนตุ่มบนหน้าเขาก็วาดเอาทั้งนั้น
“ข้าออกโรงทั้งทีจะพลาดหรือไร ดูนี่สิว่าคืออะไร” เขาเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ ยื่นมือไปแบมือให้ เผยกุญแจสำริดดอกหนึ่งออกมา
นี่เป็นของที่เขาฉกมาจากตัวองค์หญิงหนิงอันเมื่อครู่นี้
ฉินกงกงไม่ได้ออกวังไปกับจวงไทเฮาเพราะความจริงยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ฉินกงกงจะรั้งอยู่เพื่อสืบเรื่องที่จวงไทเฮาสั่งการเขาไว้แต่แรก
หลังจากที่องค์หญิงหนิงอันกลับวังมาก็ไปสำนักชี แรกเริ่มจวงไทเฮานึกว่านางคิดถึงมารดาที่วายชนจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ต่อมาเดาว่าก่อนจิ้งไท่เฟยจะตายได้มอบบางอย่างไว้ให้องค์หญิงหนิงอัน
ฉินกงกงจึงตามเสาะหา หาจนหัวล้านแล้ว ในที่สุดก็พบเบาะแส
“เหมือนจะเป็นกุญแจดอกหนึ่งนะ” ฉินกงกงบอกในจดหมาย
สิ่งที่แนบไปด้วยกันกับจดหมายซึ่งถูกเจ้าเหยี่ยวเสี่ยวจิ่วคาบกลับไปตรอกปี้สุ่ยคือราชโองการแต่งตั้งองค์หญิงหนิงอันเป็นผู้กำกับดูแลบ้านเมืองฉบับนั้น
จึงเกิดแผนการแต่งตั้งให้องค์หญิงซิ่นหยางเป็นผู้กำกับดูแลบ้านเมืองขึ้นมา
เซียวเหิงก็เคยคิดจะยกเลิกตำแหน่งกำกับดูแลบ้านเมืองโดยตรงไปเลยเช่นกัน แต่จากนิสัยขององค์หญิงหนิงอันเกรงว่าจะทำราชโองการแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้กำกับดูแลบ้านเมืองขึ้นมาอีกฉบับ
จึงได้คงตำแหน่งนี้เอาไว้
เหตุใดจึงเป็นองค์หญิงซิ่นหยางนั้น ประการแรกกู้เฉิงเฟิงเคยเห็นนาง เคยได้ยินนางพูดจา เวลาแสดงจะได้ไม่มีแรงกดดัน ประการที่สองคือในมือนางมีแส้ทองตำที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ หากมีใครสงสัย สามารถให้กู้เฉิงเฟิงถือแส้ไปตำหนักจินหลวนได้
กู้เฉิงเฟิงมองกุญแจพลางเอ่ย “เจ้าว่า…นี่คือกุญแจอะไร สิ่งที่จิ้งไท่เฟยทิ้งไว้ให้ธิดานางต้องมีประโยชน์มากแน่ จะทิ้งคลังทองคำไว้ให้ธิดานางหรือไม่ หรืออาจเป็นคลังสมบัติ ร่ำรวยเทียบเท่าประเทศอะไรทำนองนั้นน่ะ”
“หรืออาจจะเป็นคลังอาวุธ!”
งานอดิเรกของชายหญิงแตกต่างกัน ผู้หญิงชอบเครื่องประดับเพชรพลอย ผู้ชายชอบอาวุธ ในสายตากู้เฉิงเฟิงนั้น คลังอาวุธเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าคลังสมบัติเงินทอง
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าเดาๆ มาสิ”
อย่างไรก็ไม่คิดเงินอยู่แล้ว
กู้เฉิงเฟิงแบมือ “ช่างมัน ข้าไม่เดาแล้ว รีบคิดหาวิธีทำมาอีกสักดอกดีกว่า อีกเดี๋ยวต้องเอาไปคืนนางอีก”
“อืม” กู้เจียวหยิบก้อนแป้งออกจากในกระเป๋าผ้า กดกุญแจลงไปเพื่อพิมพ์รูปกุญแจ ก่อนจะส่งให้เขา “เรียบร้อย เอากลับไปคืนนางได้เลย”
กู้เฉิงเฟิงเก็บกุญแจให้เรียบร้อย “ฝ่าบาทไม่เป็นไรกระมัง”
กู้เจียวซุกก้อนแป้งเข้าแขนเสื้อ “บาดเจ็บหนักที่หัว ซ้ำยังถูกป้อนยาไปอีก อาการไม่ค่อยสู้ดีนัก”
“จะฟื้นได้หรือไม่” กู้เฉิงเฟิงถาม
“ไม่รู้สิ” กู้เจียวบอก
กู้เฉิงเฟิงถอนใจ “แม้ว่าพูดเช่นนี้จะไม่เหมาะ แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกสมน้ำหน้าฝ่าบาทก็ไม่รู้”
ฮ่องเต้ที่ไม่ฟื้นแต่ได้ยินทุกอย่างชัดเจน “…”
กู้เฉิงเฟิงแขวะต่อ “ใครให้พระองค์ไม่รักเอ็นดูคนที่ควรเอ็นดู ไม่เชื่อคนที่ควรเชื่อกันล่ะ ช่างตาบอดยิ่งนัก!”
กู้เจียวกำลังวัดความดันให้ฮ่องเต้ นางรู้สึกถึงแรงดันเลือดที่เปลี่ยนแปรไป
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยด้วยมาดเต็มเปี่ยม “ข้าว่านะ หนิงอันเล่นงานครั้งนี้เบาไปด้วยซ้ำ น่าจะแทงพระองค์อีกสักเก้าทีสิบที ให้พระองค์ลงจากเตียงไม่ได้เจ็ดแปดปีเลย ดูซิว่าพระองค์จะจดจะจำไว้เป็นบทเรียนหรือไม่!”
ความดันโลหิตฮ่องเต้พุ่งสูงปรี๊ด!
กู้เจียวหันกลับมามองกู้เฉิงเฟิงด้วยความเห็นอกเห็นใจแวบหนึ่ง
กู้เฉิงเฟิงคว้าผลไม้มากัดคำโต นั่งไขว่ห้างเอ่ยกับกู้เจียว “มองข้าทำไมกัน”
กู้เจียวดึงสายตากลับ มองมาตรความดันเลือดที่แทบจะแตก ก่อนจะเก็บให้เรียบร้อยอย่างเงียบๆ
จากนั้นนางก็เดินมาข้างกายกู้เฉิงเฟิง ตบบ่าเขา แล้วสวมหมวกสานให้ “รอให้เรื่องนี้จบก่อน เจ้าก็หาที่ซ่อนเสียนะ แล้วก็…”
นางก้มลงมองเสื้อส่วนหน้าของเขา “ตรงนี้เบี้ยวแหน่ะ”
เมื่อเว่ยกงกงยกชาที่ชงเรียบร้อยเข้ามาในห้องบรรทม สิ่งที่เห็นคือองค์หญิงซิ่นหยางก้มหน้าลง สองมือลูบหน้าอกตัวเองไม่หยุด
เว่ยกงกงพลันตัวแข็งเป็นหินทันที!