สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 576 คิดบัญชีรวม
บทที่ 576 คิดบัญชีรวม
ณ จวนติ้งอันโหว ขณะที่กู้เฉิงเฟิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างกายมีเหงื่อซึมเล็กน้อย ตามหลักแล้วเขาควรจะรู้สึกร้อน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงได้หนาวสั่น!
“เป็นอะไรไป” กู้เฉิงหลินถามเขา
กู้เฉิงเฟิงยืนเกาหัว “ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกเย็นสันหลังวาบชอบกล”
ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางจึงต้องเข้าวัง
เซียวเหิงและกู้เจียวเองก็ลุกขึ้นตามกัน องค์หญิงมองพวกเขาทั้งสอง ก่อนตรัสเบาๆ “พวกเจ้าไม่ต้องไปหรอก รออยู่ที่นี่แหละ”
ไหนจะก่อเรื่องตั้งมากมาย ทั้งปลอมราชโองการเอยอะไรเอย ใครจะไปรู้ล่ะว่าฮ่องเต้ทรงคิดอะไรอยู่ จะพาลโกรธพวกเขาหรือไม่
องค์หญิงซิ่นยางตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปดูลาดเลาก่อน หากไม่มีอะไรจริงๆ ค่อยให้สองคนเข้าไปภายหลัง
องค์หญิงและอวี้จิ่นขึ้นรถม้า
เซียวเหิงเดินมาส่งที่หน้าเรือน พร้อมกับเอ่ยถาม “ไม่พาหลงอีไปด้วยรึ”
องค์หญิงตอบเบาๆ “ไม่ล่ะ ฟังคำสั่งก็ฟังอยู่แค่ครึ่งประโยค”
ฮ่องเต้บรรทมอยู่หลายวัน พระพักตร์ดูซีดเซียวผิดหูผิดตา พอองค์หญิงซิ่นหยางมาถึงตำหนักฮว๋าชิงก็เห็นเซียวฮองเฮากำลังถวายข้าวต้มให้พระองค์เสวยอยู่
ฮ่องเต้ตรัสกับเซียวฮองเฮา “ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปดูแลองค์ชายเจ็ดเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับซิ่นหยาง”
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” เซียวฮองเฮาวางถ้วยข้าวต้มลงแล้วเดินออกไป
องค์หญิงซิ่นหยางถวายบังคมให้เซียวฮองเฮาอย่างเนิบช้า
พระวรกายของฮ่องเต้ในตอนนี้เต็มไปด้วยอาการปวดร้าวและไร้ซึ่งพละกำลังแม้แต่จะยกแขนขึ้น เขาถอนลมหายใจยาว ก่อนจะสั่งเว่ยกงกง “พวกเจ้าออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงพยายามมองสอดส่ององค์หญิงอย่างลับๆ พลางนึก แปลกยิ่งนัก ใยวันนี้องค์หญิงถึงดูไม่เหมือนกับตอนที่เจอเมื่อคราวก่อน โกนขนแขนออกหมดแล้วรึ ลูกกระเดือกก็หายไปแล้ว… ไหนจะรอยผื่นบนพระพักตร์ที่หายเกลี้ยงไปหมดเลยอีก…
เว่ยกงกงปากบ่นพึมพำไป ตาก็คอยเอาแต่สอดส่องการแต่งตัวขององค์หญิง
อวี้จิ่นถลึงตาใส่ “เว่ยกงกง!”
เว่ยกงกงพอรู้ตัวก็รีบถอยออกไปในทันที!
“เกิดอะไรขึ้นรึ” องค์หญิงเอ่ยถาม
อวี้จิ่นเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะนางเองก็ไม่เคยเห็นเว่ยกงกงเป็นแบบนี้มาก่อน!
จึงได้แต่กระซิบกับองค์หญิง “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไว้หม่อมฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง องค์หญิงเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อนเถิด”
องค์หญิงซิ่นหยางเดินเข้าไปใกล้แท่นบรรทม จากนั้นถวายบังคม “ฝ่าบาท”
นี่คือความแตกต่างระหว่างองค์หญิงซิ่นหยางและองค์หญิงหนิงอัน องค์หญิงซิ่นหยางไม่เคยเรียกฮ่องเต้ว่าเสด็จพี่ แม้สมัยที่ฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาท องค์หญิงซิ่นหยางก็จะใช้คำว่าฝ่าบาทอย่างเดียวเท่านั้น
ฮ่องเต้หันไปทางเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง “เจ้านั่งสิ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อวี้จิ่นยืนเฝ้าองค์หญิงอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อฮ่องเต้ทรงสั่งให้นางในและขันทีออกไป ตามหลักแล้วอวี้จิ่นก็ควรจะออกไปด้วย
แต่องค์หญิงไม่ทำเช่นนั้น เป็นเพราะองค์หญิงไม่คุ้นชินกับการอยู่กับบุรุษเพียงลำพัง หากไม่นับเซียวเหิงกับหลงอี
ฮ่องเต้ไม่รู้นิสัยนี้ของนาง แต่ก็มิได้ติดพระทัยอะไรหากซิ่นหยางจะให้อวี้จิ่นอยู่ด้วย
“หมอหลวงแจ้งว่าฝ่าบาททรงนอนหมดสติอยู่หลายวัน คาดไม่ถึงว่าจะทรงฟื้นได้เร็วปานนี้” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
ฮ่องเต้กัดพระทนต์แน่น “ต้องยกความดีความชอบให้แม่หนูตระกูลกู้ผู้นั้นจริงๆ !”
“อะไรหรือเพคะ” องค์หญิงซิ่นหยางไม่เข้าใจที่ฝ่าบาทพูด
“ไม่มีอะไรหรอก” ฮ่องเต้กระแอมหนึ่งที ก่อนเล่าต่อ “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังช่วงนี้แล้ว ฮองเฮาเล่าเรื่องของลิ่วหลังให้ข้าฟังแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางมองพระพักตร์ฝ่าบาท “ในเมื่อฝ่าบาททรงรู้เรื่องแล้ว ทรงคิดจะทำอย่างไรต่อเพคะ”
ฮ่องเต้เผยสีพระพักตร์อันสับสนพร้อมกับถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะตรัส “เรื่องที่ปลอมพระราชโองการ ข้าจะปล่อยไปก็แล้วกัน”
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้วแน่น “ปล่อยไปหรือเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ทอดถอนพระทัยแล้วตรัสต่อ “ใช่แล้ว ปล่อยไปเถอะ เรื่องวางแผนอะไรนั่น ข้าจะไม่เอาความ เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็น…”
“ฝ่าบาท นั่นอะไรหรือเพคะ!” องค์หญิงซิ่นหยางรีบขัดขึ้นแล้วชี้ไปทางเบื้องหลังของฮ่องเต้
แล้วก็ทรงหันตามจริงๆ
จากนั้นองค์หญิงก็รีบคว้าหมอนขึ้นมาแล้วฟาดฮ่องเต้จนสลบ
อวี้จิ่นเห็นดังนั้นก็ร้องถามด้วยความตกใจ “องค์หญิง! เหตุใดต้องทำร้ายฝ่าบาทด้วยเจ้าคะ!”
องค์หญิงโต้กลับด้วยอาการฉุนจัด “ถ้าข้าไม่ทำแบบนั้น จะรอให้ฝ่าบาทยกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นรึ! หลังจากที่นางทำเรื่องบ้าๆ บอๆ มากมาย ฝ่าบาทยังอุตส่าห์บอกว่าจะไม่เอาความแล้ว! สู้ให้ข้าจัดการกับนางก่อนยังจะดีกว่า!แล้วหลังจากนั้นฝ่าบาทจะทรงตัดสินอย่างไรก็ได้!”
“องค์หญิง…”
“เจ้ามีอะไรจะพูด”
อวี้จิ่นเอ่ยด้วยท่าทีลังเล “หม่อมฉันว่า ฝ่าบาททรงหมายถึงเขานะเจ้าคะ มิใช่องค์หญิงหนิงอัน!”
จากนั้นอวี้จิ่นดึงมือขององค์หญิงแล้วเขียนคำว่า ‘เขา’ ที่หมายถึงผู้ชายลงบนฝ่ามือขององค์หญิง
องค์หญิงมองฝ่ามือของตัวเองด้วยสีหน้างุนงง “เขา”
อวี้จิ่นเอ่ยต่อ “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ก็ก่อนหน้าที่องค์หญิงถามฝ่าบาทว่าทรงคิดจะทำอย่างไรต่อ ฝ่าบาททรงพูดอะไรไว้”
องค์หญิงซิ่นหยางพยายามนึกย้อนบทสนทนาเมื่อครู่นี้ ‘ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังช่วงนี้แล้ว ฮองเฮาเล่าเรื่องของลิ่วหลังให้ข้าฟังแล้ว…’
อวี้จิ่นอธิบายต่อ “เรื่องของลิ่วหลังจะเกี่ยวพันกับอะไรไปได้อีกนอกเสียจากตัวตนที่แท้จริงของท่านชาย! ที่ฝ่าบาทตรัสถึงเรื่องการปลอมพระราชโองการ ทรงหมายถึงตอนที่ท่านชายทรงร่างพระโองการปลอมให้องค์หญิงทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง แถมยังให้คนปลอมตัวมาเป็นองค์หญิงอีก รวมถึงแผนการลับอื่นๆ ฝ่าบาทตรัสว่าจะทรงไม่เอาความกับเรื่องเหล่านี้ต่างหากเจ้าค่ะ”
ด้วยความที่องค์หญิงต้องใช้ชีวิตอย่างระแวงมาโดยตลอด และฮ่องเต้เองก็เคยถูกแม่ลูกคู่นั้นวางยาจนเสียสติ จึงไม่แปลกที่องค์หญิงจะไม่เชื่อคำพูดของฮ่องเต้ ดังนั้นองค์หญิงจึงคิดไปว่าฮ่องเต้จะให้อภัยแก่หนิงอัน
องค์หญิงได้แต่มองไปที่ฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการเวียนหัวเพราะถูกหมอนตีเข้าให้จนเริ่มรู้สึกปวดฟัน “…เป็นเรื่องแล้วสิ!”
เรือนจำเทียนเหลาเป็นสถานที่คุมขังอาชญากรได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและมีการจัดระเบียบอย่างแน่นหนา
ในห้องขังซึ่งมีผู้คุมที่เข้มงวดที่สุด หนิงอันซึ่งขาหักอยู่ คว้ากระดานสกปรกและคำรามเสียงแหบพร่า “ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ข้าอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ข้าอยากเจอไทเฮา! ข้าคือน้องสาวคนโปรดของฝ่าบาทนะ! ถ้าพวกเจ้ากล้าขังข้าไว้ที่นี่ ฝ่าบาทและไทเฮาจะลงโทษพวกเจ้าแน่!”
ผู้คุมนั้นเย็นชายิ่งกว่าเหล็กและไม่มีใครทำให้เขาวอกแวกได้
จากนั้นนางคว้าก้อนหมั่นโถวขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปที่ผู้คุม
หมั่นโถวนั้นถูกทิ้งไว้จนแข็งเหมือนหิน ต่อให้มันกระทบหลังของผู้คุม ผู้คุมก็นิ่งเฉย
“พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไร! ข้าคือองค์หญิงหนิงอัน! ข้าต้องการพบฝ่าบาท!”
“ข้าต้องการพบฝ่าบาท!”
“ฮ่องเต้ไม่มาพบเจ้าหรอก ยอมแพ้เสียเถิด”
น้ำเสียงที่สง่างามและแฝงไปด้วยอำนาจดังขึ้นจากปลายอีกด้านของทางเดินพร้อมกับแสงสว่าง
เหล่าผู้คุมต่างพากันถวายบังคม
จวงไทเฮาในอาภรณ์สีดำตัดทองด้วยมาดอันแสนเย็นชาค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปทางหนิงอัน
ไทเฮาจ้องมองร่างที่เต็มไปด้วยเลือดขององค์หญิงสาวหลังลูกกรงด้วยสายตาไร้ซึ่งความปราณี
“เสด็จแม่…” องค์หญิงหนิงอันตรัสอย่างรู้สึกใจหาย
จวงไทเฮาไม่แสดงสีหน้าใดๆ พร้อมกับตรัสขึ้น “ข้าเคยบอกแล้ว อย่าเรียกข้าว่าเสด็จแม่”
หนิงอันทำหน้าหงอ “เสด็จแม่…ข้าคือหนิงอันของท่านนะ…ไม่ให้ข้าเรียกเช่นนั้นแล้วจะให้เรียกอย่างไร…”
จวงไทเฮาตัดพ้อ “ช่างปะไร เจ้าจะเรียกอย่างไรก็เรียกไปเถิด อย่างไรเสียเจ้าก็คงอยู่เรียกได้ไม่นาน”
“เสด็จแม่หมายความว่าอย่างไร” หนิงอันถามพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
“เจ้าฉลาดจะตาย จะไม่เข้าใจได้อย่างไร” จวงไทเฮามองค้อนใส่
จากนั้นหนิงอันก็เริ่มโวยวาย “เสด็จแม่! ซิ่นหยางใส่ร้ายข้า! พวกมันทั้งหมดใส่ร้ายข้า!”
“พวกนั้นทำอะไรให้เจ้า ฮึ พวกนั้นละทิ้งสามีของตัวเองแล้วเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อล้างแค้นอย่างนั้นรึ หรือพวกนั้นรับอำนาจต่อจากจิ้งไท่เฟย ร่วมมือกับแคว้นเยี่ยนแล้วทำร้ายคนของแคว้นเจาอย่างนั้นรึ หรือคนพวกนั้นลอบทำร้ายฝ่าบาทแล้วโยนความผิดทั้งหมดมาที่ข้าอย่างนั้นรึ” ไทเฮาสาธยายด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
หนิงอันส่งสายตาสับสน พร้อมตอบกลับ “เสด็จแม่…อย่าไปเชื่อพวกมัน…”
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้อีกเลย ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ ข้าไม่ได้จะมาฟังเจ้าสารภาพบาป ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ หากข้าพูดแล้วว่าเจ้ามีความผิด เจ้าก็ต้องรับสภาพ”
หนิงอันกัดฟันแน่นก่อนจะตะคอกใส่ไทเฮา “เสด็จแม่ทรงลำเอียง! เมื่อก่อนเสด็จแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้…แต่ก่อนเสด็จแม่ทรงรักหนิงอันที่สุด…ตั้งแต่ยัยเด็กนั่นเข้ามา…เสด็จแม่ก็ทิ้งหนิงอันไป!”
ไทเฮาตอบกลับอย่างหนักแน่น “ข้าลำเอียงแล้วอย่างไร! ต้องขออนุญาตเจ้าด้วยรึ!”
ความรู้สึกจุกอกพุ่งเข้าหาหนิงอันในทันที!
นางไม่เคยเห็นด้านที่ขวานผ่าซากไม่เกรงใจผู้ใดเช่นนี้ของไทเฮามาก่อน!
น้ำตาของหนิงอันไหลเป็นทาง “แต่เสด็จแม่ …ข้าคือหนิงอันของท่านนะ…”
จวงไทเฮามองอย่างเย็นชาและถามอย่างหนักแน่นเน้นทีละคำ “เจ้า คือ หนิง อัน จริงๆ หรือ”
ฟังจบ รูม่านตาของหนิงอันพลันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว!
กู้เจียวไม่ต้องเข้าไปในวัง และหลังจากที่ออกมาจากโรงหมอ พวกเขาก็กลับไปที่เรือนด้วยกัน
หวงฝู่เสียนฟื้นแล้ว กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนรถเข็น
เสี่ยวจิ้งคงแอบแวะมาดูเขาอยู่หลายหน
“เขาเป็นอะไรรึเปล่า” กู้เจียวมองขึ้นไปที่ห้องนอนขณะที่ยืนอยู่ที่ลานหน้าเรือน
เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่ที่อยู่ในร่างเล็ก “ท่านพี่คิดถึงแม่ของเขา แม่ของเขาปฏิบัติกับเขาไม่ดีและทุบตีเขา แต่เขาก็ยังเป็นห่วงแม่ของเขามาก ข้าเลยลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สมมติถ้าเจียวเจียวทุบตีข้า ข้าว่าข้าก็จะยังรักเจียวเจียวอยู่ดี”
หากหนิงอันถูกลงโทษ คนที่เจ็บปวดที่สุดคงหนีไม้พ้นหวงฝู่เสียน
“ข้าไปดูเขาเอง” เซียวเหิงเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร ข้าไปเองดีกว่า จะไปดูแผลของเขาด้วย” กู้เจียวฝากเสี่ยวจิ้งคงไว้กับเซียวเหิง จากนั้นเดินไปทางห้องนอน
แสงสุดท้ายของวันลับหายไปนานแล้ว ห้องนอนเต็มไปด้วยความมืด
กู้เจียวหยิบกระบอกจุดไฟขึ้นมา
“อย่าเพิ่งจุดไฟ”
หวงฝู่เสียนเอ่ยขึ้น