สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 577-2 ตัวตนที่แท้จริง (2)
บทที่ 577 ตัวตนที่แท้จริง (2)
ณ คุกอันมืดมิด จวงไทเฮายังคงยืนสงบนิ่งอยู่ที่ทางเดิน ไม่ก้าวเข้าไปใกล้
ฉินกงกงพาเหล่าผู้คุมออกไปที่อื่น เหลือไว้เพียงแค่องครักษ์ฝีมือดี
“บอกข้ามา เจ้ากลายเป็นหนิงอันตั้งแต่เมื่อไหร่” จวงไทเฮาเปิดถาม
คนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าฉีกหน้ากันตรงๆ แต่จวงไทเฮาไม่ใช่แบบนั้น
ทั้งมั่นใจและไร้ซึ่งความลังเล
ถามกันตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมราวกับแทงเข็มครั้งเดียวก็เจาะหาเส้นเลือดจนเจอ
“เสด็จแม่ ข้านี่แหละหนิงอัน!” หนิงอันนั่งราบอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูไม่เต็มใจ
จวงไทเฮาตรัสอย่างเย็นชา “จนป่านนี้แล้ว ยังไม่ยอมรับอีก!”
หนิงอันออกอาการผวาพร้อมกับครวญคราง “ข้าต้องยอมรับอะไร ก็ข้านี่แหละคือหนิงอัน! หนิงอันก็คือข้า! เสด็จแม่ทรงสับสนหรืออย่างไร จำองค์หญิงคนนี้ที่ทรงเลี้ยงมากับมือไม่ได้เลยหรือ! หากเสด็จแม่ปันใจให้คนอื่นแล้วก็พูดมาตรงๆ เถิด ไม่รักข้าแล้วก็พูดกันตรงๆ ไยต้องใช้วิธีนี้กดดันข้าด้วย!”
จวงไทเฮามิได้หวั่นไหวกับคำพูดของนางแม้แต่นิด กลับกัน ทรงเขม่นด้วยสายตาหยามเหยียด ราวกับคนตรงหน้าเป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ
หนิงอันหัวเราะอย่างบูดบึ้งจนไหล่สั่น “เสด็จแม่ ความสามารถของท่านในการบงการคนอื่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย! นั่นคือวิธีที่ท่านใส่ร้ายเสด็จแม่ของข้าในตอนนั้น และตอนนี้ท่านก็ทำแบบเดิมกับข้าเช่นกัน!”
จวงไทเฮาไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับนาง
ทุกครั้งที่หนิงอันโต้กลับราวกับนางกำลังไล่ต่อยกับก้อนเมฆ นางเอามือคว้าที่ลูกกรงจากนั้นก็แนบหน้าเข้าไปในช่องว่างระหว่างลูกกรงเอ่ย “เสด็จแม่บอกว่าข้าไม่ใช่หนิงอัน มีหลักฐานไหม ดูใบหน้าของข้าสิ ใบหน้าของหนิงอันมิใช่หรือ”
พั่บ!
จวงไทเฮาขว้างกองจดหมายลงไปบนพื้นตรงหน้าหนิงอัน
หนิงอันมองลงไป ค่อยๆ ยื่นมือออกมา หยิบจดหมายผ่านลูกกรง แล้วอ่านอย่างระมัดระวังภายใต้แสงสลัวของไฟในทางเดิน
ทุกครั้งที่อ่าน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป พออ่านไปได้ครึ่งทาง นางกลับฉีกจดหมายทิ้งอย่างบ้าคลั่ง!
“โกหก! ไม่จริง! โกหกทั้งเพ!”
“ข้าคือหนิงอัน!”
“ข้านี่แหละหนิงอัน!”
หนิงอันแสดงอาการฉุนเฉียวจนเส้นเลือดบนหน้าผากของนางปูดขึ้นมา
จวงไทเฮาเหลือบมองหนึ่งที ก่อนจะตรัสขึ้นอย่างใจเย็น “ก็ดี เช่นนั้น ข้าขอเล่าเรื่องให้ฟังจะดีกว่า เริ่มจากตรงไหนดีนะ เริ่มจากชะตากรรมของบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก็แล้วกัน นางเป็นคนฉลาดรอบรู้ กล้าหาญ อีกทั้งเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์อันงดงาม ทว่ามารดาของนางมิได้เป็นที่โปรดปราน ซ้ำยังถูกพี่น้องดูถูกเหยียดหยาม อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างทางกำลังไปไหว้พระ นางได้พบกับผู้สูงส่งท่านหนึ่ง พวกเขาถูกชะตากัน จากนั้นพวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนกัน ผ่านไปหนึ่งปี ผู้สูงส่งคนนั้นชักชวนนางเข้าร่วมสมาคมที่มีนามว่าหงเหลียนได้สำเร็จ”
“สมาคมหงเหลียนเป็นอีกตัวตนหนึ่งของพวกอดีตราชวงศ์ และนางกลายเป็นไพ่ใบสำคัญของพวกมัน นางได้รับคำสั่งให้ถูกเกณฑ์เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ จุดประสงค์ของนางคือการได้ขึ้นเป็นฮองเฮาหรือไม่ก็พระสนมระดับสูง ให้กำเนิดโอรสให้กับจักรพรรดิ สนับสนุนเขาเป็นมกุฎราชกุมาร จากนั้นก็ปลิดชีวิตจักรพรรดิ แล้วให้พวกอดีตราชวงศ์ขึ้นครองราชย์”
“น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน นางไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาหรือนางสนมคนโปรด แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ต้องการพบนางมากนัก นางทำได้เพียงกอดพระเพลาของฮองเฮาไว้แน่น ในช่วงนั้น ฮองเฮาทรงสูญเสียพระราชธิดา และเป็นเรื่องบังเอิญที่นางเกิดตั้งครรภ์ช้ากว่าของฮองเฮาเพียงเดือนเดียว นางจึงวางแผนและแอบเตรียมโอสถเพื่อทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด ทำให้ทารกเกิดไล่เลี่ยกันกับวันที่ฮองเฮาทรงให้กำเนิดพระธิดา”
“แต่เรื่องที่ไม่มีใครรู้ก็คือ…มีเด็กอีกคนอยู่ในท้องของนาง เวลาคลอดห่างกันแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น”
“ทารกสองคนไม่เคยร้องไห้พร้อมกัน น้องสาวจะร้องไห้หลังจากที่พี่สาวร้องไห้เสร็จ และพี่สาวร้องไห้หลังจากที่น้องสาวร้องไห้เสร็จ คนข้างนอกได้ยินอาจฟังดูเหมือนมีเด็กคนเดียวกำลังร้องไห้”
“นางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดเป็นคนสนิทของนาง ซึ่งก็คือคนที่สมาคมจัดการให้ ชะตากรรมของเด็กสองคนนี้ถึงวาระตั้งแต่เกิด คนหนึ่งอยู่ในวัง อีกคนต้องอยู่นอกวัง”
“พวกเขาจะเป็นคู่สัญญาที่สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบยิ่งกว่านางในฐานะพระสนม แต่ใครจะอยู่ในวังเพื่อเป็นองค์หญิง และใครจะพาพวกเขาออกจากวังเพื่อเป็นสายลับ”
“พระสนมเลือกที่จะเก็บคนเป็นพี่ไว้ เพราะเด็กคนนั้นนอนอยู่ในอ้อมแขนของนางและได้กินนมแรกไปแล้ว นางจึงมิอาจปล่อยผู้เป็นพี่ไปได้ ส่วนทารกผู้เป็นน้องกลับถูกอุ้มออกไปอย่างโหดร้าย”
หนิงอันเอามือป้องหูพร้อมตะโกนร้อง “หยุดพูดเดี๋ยวนี้…หยุดได้แล้ว…”
“ทุกคนเคยได้ยินว่าฮองเฮาทรงรักองค์หญิงน้อยผู้นี้เพราะนางเกิดวันเดียวกับพระธิดาราวกับได้กลับชาติมาเกิด แต่ความจริงแล้ว ที่ฮองเฮาเอ็นดูเพียงเพราะนางเป็นเด็กที่มีหน้าตาสวยงามและน่ารัก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวันเกิด”
“เด็กคนนั้นมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉง แม้ดูเหมือนไม่มีความกลัว แต่ในความเป็นจริง เด็กคนนั้นก็กลัวสิ่งนี้และสิ่งนั้นเช่นกันราวกับเป็นเสือกระดาษเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กคนนั้นกลัวความมืด”
“แต่บางครั้ง นางกลับดูไม่เกรงกลัวอะไร นางชอบกินเกาลัด แต่บางครั้งก็เกลียดเกาลัด ฮองเฮาทรงคิดแค่ว่านางเป็นแค่เด็ก จึงมองข้ามและเลือกที่จะเอ็นดูนางต่อไป แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ใดที่ทำให้ฮองเฮาทรงตัดสินใจแล้วจริงๆ ว่าจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้ผิดหวังไปตลอดชีวิต”
หนิงอันหูผึ่งโดยไม่รู้ตัว
ไทเฮาเล่าต่อ “เป็นคืนที่ฮองเฮาต้องอยู่ในตำหนักเย็น ทรงล้มป่วยและไม่มีหมอหลวงคนไหนกล้าเข้ามาถวายการรักษาให้ คืนนั้นมีฟ้าแลบฟ้าร้อง ฮองเฮานอนอยู่คนเดียวบน แท่นบรรทมเย็นๆ ขณะที่ทรงกำลังคิดว่าคงจะไม่รอดแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีร่างผอมซูบของเด็กสาวปีนข้ามกำแพงตำหนักเย็นเข้ามา”
“เด็กสาวผลักประตูออกพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง ร่างผอมบางนั้นอาจถูกลมพัดแรงได้ทุกเมื่อ แต่เด็กสาวไม่กลัว และรีบเข้าไปในตำหนัก โผเข้ากอดฮองเฮาแล้วเอ่ยว่า ‘เสด็จแม่ ข้าอยู่นี่ ข้ามาเฝ้าท่านแล้ว อย่ากลัวเลย หนิงอันจะอยู่เป็นเพื่อนให้เอง’”
หนิงอันนิ่งลงในทันใด
ดวงตาของไทเฮาฉายแววความทรงจำ “ในตอนนั้น เด็กที่ปรากฏตัวอย่างมีความหวังท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า เด็กที่ปีนข้ามกำแพงจนมือเจ็บ และเด็กที่ล้มลงบนถนนหลายต่อหลายครั้ง หัวเข่าของเด็กสาวมีรอยเปื้อนเลือด… ฮองเฮาสัญญากับตัวเองว่า จะรักและเอ็นดูเด็กคนนี้ตลอดไป!”
ดวงตาของหนิงอันเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“เด็กคนนั้น…แม้ว่าจะเป็นเพียงครั้งเดียว…เพียงครั้งเดียว…เด็กคนนั้นบอกกับฮองเฮา…ว่านางไม่ใช่หนิงอัน…นางเป็นน้องสาวของหนิงอัน…” ลำคอของจวงไทเฮาเริ่มจุกพร้อมกับกำมือแน่น
น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นในดวงตาของหนิงอัน จ้องมองสตรีสูงวัยตรงหน้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
จวงไทเฮาสูดหายใจเข้าลึก เงยศีรษะขึ้น แล้วหันไปมองตรงทางเดินที่มืดมิด “ฮองเฮาเลือกที่จะช่วยเหลือนาง รักและห่วงใยนาง นางไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้เงาของหนิงอัน”
“เสด็จแม่!” หนิงอันปล่อยโฮพร้อมกับยื่นมือคว้าที่ชายเสื้อจวงไทเฮา
จวงไทเฮาเดินมุ่งหน้าไปยังประตูทางออก
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่หันกลับมามองที่เดิมอีก