สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 580 ยิ่งใหญ่
บทที่ 580 ยิ่งใหญ่
ก่อนฟ้าสาง กู้เจียวเดินออกมาจากห้องนอน ช่วงนี้หวงฝู่เสียนเข้ามาใช้ห้องของจิ้งคงและเซียวเหิง ก็เลยตอนแรกพวกเขาจะขอเข้าไปนอนห้องเดียวกันกับกู้เจียวด้วย แต่ดันถูกท่านปู่ขัดคอและลากให้ไปนอนด้วยกันที่เรือนข้างๆ
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากเรือนของจี้จิ่วอาวุโส ดูท่าพวกเขาคงจะตื่นแล้วเช่นกัน
กู้เจียวออกไปล้างหน้าแปรงฟันที่ลานหลังเรือน พอเช็ดหน้าเสร็จก็เจอกับเงาตะคุ่มที่โผล่ขึ้นจากทางเดิน
พอหันไปเพ่งดูดีๆ ก็เจอหวงฝู่เสียนกำลังเข็นรถเข็นออกมาจากห้องหนังสือ
ห้องหนังสือไม่มีบานประตู รถเข็นจึงเข้าออกได้อย่างสบายๆ
แล้วเขาออกมาจากห้องนอนได้อย่างไรกัน
“ตื่นนานแล้วรึ” กู้เจียวถาม
“ก็ไม่นานนะ ข้าให้องครักษ์ลับของเจ้าช่วยน่ะ”
แสดงว่าเขาให้องครักษ์ลับช่วยเข็นรถเข็นออกมาจากห้องนอน
เดี๋ยวนี้รู้วิธีเรียกใช้องครักษ์ลับแล้วสิ
“รอก่อนนะ เดี๋ยวข้าเสร็จจากตรงนี้แล้วไปทำกับข้าวให้”
หวงฝู่เสียนมองกู้เจียวนิ่งๆ พลางเอ่ย “เจ้าหัวเห็ดบอกว่าเจ้ามีวิธีทำให้ข้ากลับมาเดินได้อีกครั้ง”
เจ้า…หัวเห็ดรึ
กู้เจียวยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะระลึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงจิ้งคง
“ตัดสินใจได้แล้วรึ” กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง
หวงฝู่เสียนเบือนหน้าลง กำมือที่เย็นเฉียบแน่น “ข้าตัดสินใจได้แล้ว”
เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตเหมือนศพเดินได้ แต่มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ
ถึงไม่มีขาก็ต้องยืนให้ได้
เขาต้องการเยี่ยมชมแม่น้ำและภูเขาทุกแห่งรวมถึงวัดวาอารามในแคว้นเจาด้วยเท้าของเขา เขาจะสานต่อความหวังของท่านแม่และใช้ชีวิตต่อไป
“เจ้าจะลำบากมากเลยนะ”
“ข้าไม่กลัว”
“และมันก็จะเจ็บมาก เจ็บยิ่งกว่าเหลากระดูกเสียอีก”
“ข้าไม่กลัวเจ็บ”
กู้เจียวเอามือเกาหัว พลางนึก มันไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะกลัวหรือไม่กลัว แต่ข้ายังไม่มีอุปกรณ์มาทำขาเทียมให้เจ้าต่างหาก
ช่างเถอะ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิค่อยว่ากัน
กู้เจียวกลับไปที่ห้องนอน หยิบกล่องยาใบเล็กออกมาเพื่อหยิบยาและผ้าพันแผลให้หวงฝู่เสียน แต่กลับพบว่าน้ำหนักของกล่องยานั้นไม่เหมือนเดิม
พอเปิดกล่องยาออก ก็เจอกับเบ้าขาเทียมใหม่เอี่ยมคู่หนึ่งอยู่ในนั้น
…
เรื่องของจิ้งไท่เฟยและหนิงอันได้สอนบทเรียนที่แสนจะนองเลือดให้กับฮ่องเต้ เขาจะไม่ช่วยใครซ่อนความผิดไว้อีกแล้ว จากนั้นองค์หญิงซิ่นหยางได้ประกาศความผิดของจิ้งไท่เฟยต่อสาธารณะ
เรื่องราวขององค์หญิงหนิงอันและความผิดของหนิงอันตัวปลอมก็จะต้องปล่อยสู่ภายนอกเช่นกัน
เรื่องทั้งหมดนี้จะได้รับการจัดการโดยกรมราชทัณฑ์
เจ้ากรมสิงได้รับการปล่อยตัวในเช้าวันนี้
มีเซียวเหิงและผู้ช่วยหลี่เดินทางไปรับเขาที่ศาลต้าหลี่
ผู้ช่วยหลี่กุมมือของเจ้ากรมสิงพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ท่านเจ้ากรมสิง ข้าผิดไปแล้ว วันนั้นข้ามีความจำเป็นจะต้องใส่ร้ายท่านจริงๆ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด!”
“เจ้าบ้าเอ๊ย!” เจ้ากรมเตรียมง้างมือตบผู้ช่วยหลี่
ผู้ช่วยหลี่ตกใจจนคอหด
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยั้งมือไว้ได้ และเลือกที่จะใช้เท้าเตะเขาเบาๆ แทน “แล้วก็ไม่นัดกันก่อนล่วงหน้าเลยนะ! ข้าก็แอบคิดอยู่ว่าที่ผ่านมาข้าก็ไม่เคยทำไม่ดีกับเจ้า เหตุใดจู่ๆ ถึงต้องมาใส่ร้ายป้ายสีกันด้วย!”
ผู้ช่วยหลี่ยิ้มอย่างเขินอาย ชำเลืองมองไปที่เซียวเหิง แล้วเอ่ย “ก็ลิ่วหลังนั่นแหละขอรับที่ไม่ยอมให้ข้าบอกกับท่าน เขาบอกให้ข้าเล่นละครคนเดียวก็พอ หากมีท่านเพิ่มมาอีกคนเกรงว่าจะน่าสงสัยเกินไปขอรับ”
เจ้ากรมสิงไม่พอใจ “ทำไม ทีเจ้าแสดงได้ แล้วข้าทำบ้างไม่ได้รึ”
ผู้ช่วยหลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่าน… ทำแบบนั้นมิได้หรอกขอรับ ท่านออกจะเป็นคนตรงไปตรงมา…”
ความโกรธของเจ้ากรมสิงลดลงครึ่งหนึ่งทันทีเพราะคำเยินยอนี้ เขามองไปที่ทั้งสองคนและพูดอย่างจริงจัง “คราวนี้ข้าจะยอมให้ และอย่าได้มีคราวหน้าอีกล่ะ มีแผนการอะไรก็บอกกันบ้าง ข้าไม่อยากอยู่ในที่มืดๆ อีกแล้ว!”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ” ผู้ช่วยหลี่รีบน้อมรับ
บทสนทนาดำเนินต่อไปหลังจากที่ออกมาจากศาลต้าหลี่ จากนั้นรถม้าก็เข้ามาจอดรับพวกเขา
ผู้ช่วยหลี่พาเจ้ากรมขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็หันกลับมาหาเซียวเหิงด้วยท่าทีเคอะเขินพร้อมกับพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ลิ่วหลัง ครั้งนี้…ขอบใจเจ้ามากเลยนะ”
หลี่ซื่อหลังมิได้แสร้งทำเป็นอยู่พวกเดียวกับพวกหอเซียนเล่อ แต่เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลังจากเหตุการณ์ที่ตงชวง เซียวเหิงเป็นคนเสนอความคิดให้ผู้ช่วยหลี่นำคำแนะนำของเขาไปใช้เพื่อล่อปลาให้เข้ามากินเหยื่อ
“เกรงใจเกินไปแล้ว” เซียวเหิงตอบกลับ
ผู้ชวยหลี่เอ่ยอย่างเขินอาย “ข้ามัวแต่ลุ่มหลงในความผิด ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าจะไม่ลืมพระคุณของเจ้า ถ้ามีอะไรต้องการให้ข้าช่วยในอนาคต ขอแค่บอกกับข้า ข้าพร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่!”
เซียวเหิงยิ้มอ่อนให้ “เกรงใจแย่เลย”
ไม่ว่าเขาจะหมายความเช่นนั้นจริงหรือไม่ย่อมไม่สำคัญ ในเมื่อแผนการทุกอย่างดำเนินไปได้สำเร็จ ผู้ช่วยหลี่ทำหน้าที่ของเขาเต็มที่แล้ว
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการบ่มเพาะอำนาจของเขา
องค์หญิงซิ่นหยางมอบสมุดบัญชีรายชื่อพันธมิตรของจิ้งไท่เฟยให้กับเขา เขารู้ว่าองค์หญิงต้องการอะไร เขาสามารถมอบสมุดบัญชีให้ผู้อื่นจัดการ หรือเลือกที่จะถือสมุดบัญชีไว้ในมือของเขาเอง
ขอแค่มีเหยื่อล่อ เหล่าพันธมิตรของจิ้งไท่เฟยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็จะกลายเป็นเรื่องหมูๆ สำหรับเขา
หลังจากกลับมาที่กรม เจ้ากรมสิงก็ได้ให้เขานำเอกสารของคดีนี้ออกมา
เซียวเหิงจัดการวิเคราะห์เอกสารได้อย่างละเอียด กระชับ เจ้ากรมสิงพอใจผลงานเขาอย่างมาก
เขารู้สึกว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ลิ่วหลังควรได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
เจ้ากรมพลิกเอกสารพลางเอ่ยกับเซียวเหิง “ข้าจะให้ผู้ช่วยหลี่ทำคดีซุนผิงแทน เจ้าจะได้มีสมาธิในการสะสางคดีนี้ ว่าแต่ องค์หญิง…”
เจ้ากรมสิงนึกขึ้นได้ว่านั่นไม่ใช่องค์หญิงตัวจริง จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ในเมื่อเรื่องนี้ถูกมาให้ทางกรมจัดการ เช่นนั้น ประเดี๋ยวเจ้าส่งคนไปคุมตัวหัวหน้าหอเซียนเล่อมาที่นี่ที”
เซียวเหิงตอบกลับ “นางถูกคนของฝ่าบาทพาตัวไป พระองค์ตรัสว่าเขาจะจัดการกับนางเป็นการส่วนตัว”
“เช่นนั้นรึ” เจ้ากรมสิงพยักหน้า “…เช่นนั้นก็ได้”
ฝ่าบาทเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดนี่นา เขาทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“ใต้เท้าขอรับ!”
ระหว่างการสนทนา ผู้คุมคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ “ใต้เท้าสิง ขันทีซูกงกงเดินทางมาที่นี่พร้อมกับแจ้งข่าวว่ามีเรื่องเร่งด่วนให้เซียวซูลิ่งไปที่วังโดยด่วนขอรับ”
“ข้าจำได้ว่าเขาคือขันทีคนสนิทของฮองเฮา…” เจ้ากรมสิงไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ก็พอรู้มาบ้างว่าเซียวเหิงได้รับความเอ็นดูจากสองพระองค์ ทว่ามีฮองเฮาเข้ามาเอี่ยวด้วยตั้งแต่เมื่อใดกัน
เจ้ากรมสิงมองไปยังเซียวเหิง “เอาละ เจ้ารีบไปเถิด อย่าปล่อยให้ทางนั้นเขารอนาน”
เซียวเหิงขอตัวลา
พอเดินออกมา เซียวเหิงก็เจอกับซูกงกงในสภาพร้อนรน
“ซูกงกง” เซียวเหิงเอ่ยทักทาย
“ไอ้หยา!” ขันทีซูรีบวิ่งไปหาเขา จับแขนของเขาแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านชาย เกิดเรื่องแล้วขอรับ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์ชายเจ็ดขอรับ!”
…
เซียวเหิงไปที่โรงหมอ พากู้เจียวขึ้นรถม้า แล้วรีบไปที่พระราชวังให้เร็วที่สุด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงเล่า “เขาเป็นลมไปน่ะ เห็นบอกว่าองค์ชายเจ็ดดูกระสับกระส่ายเล็กน้อยหลังจากได้รับการช่วยเหลือในวันนั้น ฮองเฮาให้หมอหลวงตรวจร่างกายเขา ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไร ตอนแรกคิดว่าเขามีอาการผวาหลังเจอเหตุการณ์วันนั้น พอวันนี้ตอนเที่ยง กำลังเสวยอาหารอยู่ดีๆ ก็พลัดตกจากเก้าอี้ ไม่รู้ว่าเขาสลบไปก่อนตกจากเก้าอี้หรือหลังจากตกเก้าอี้”
กู้เจียวพยายามวิเคราะห์ “แล้วหมอหลวงว่าอย่างไร”
“พวกเขาตรวจไม่พบอะไรเลย”
พอทั้งสองมาถึงตำหนักคุนหนิง ก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของฮองเฮามาแต่ไกล
ไท่จื่ออยู่ในองค์ประชุม จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
เซียวฮองเฮาเองก็มิได้วานให้คนไปแจ้งข่าว
“ฝ่าบาท ใต้เท้าเซียวกับท่านหมอกู้มาถึงแล้วขอรับ!” ซูกงกงยืนหน้าประตูแจ้งให้ฮองเฮาทราบ
เซียวฮองเฮาบอกให้นางในและขันทีคนอื่นออกไป เหลือแค่ซูกงกงคนเดียว
“อาเหิง!” เซียวฮองเฮาเรียกเสียงหลง
ในฐานะฮองเฮาแห่งแคว้น ต้องวางกิริยาให้เหมาะสมและอดกลั้นอยู่เสมอ แทบไม่มีครั้งไหนที่พระองค์เสียอาการเช่นนี้
เซียวเหิงปลอบเบาๆ “เสด็จน้าโปรดรักษาสุขภาพด้วยขอรับ เรื่องนี้ปล่อยให้เจียวเจียวจัดการก่อนจะดีกว่า”
“เจียวเจียว เจ้าต้องช่วยองค์ชายเจ็ดให้ได้นะ…” เซียวฮองเฮาเอ่ยพร้อมกับหลีกทางให้
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” เจียวเจียวพยักหน้า
กู้เจียววางตะกร้าลง เปิดกล่องยา แล้วหยิบหูฟังออกมา ไม่มีเสียงในปอด และดูเหมือนหัวใจของเขาเต้นเร็วกว่าปกติ
จากนั้นกู้เจียววัดชีพจรให้เขา เส้นชีพจรแปลกพิลึก ขนาดกู้เจียวอยู่มาสองชาติยังไม่เคยเจอเส้นชีพจรที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน
กู้เจียวหันไปถามเซียวฮองเฮา “พระองค์ช่วยอธิบายรายละเอียดตอนที่องค์ชายเจ็ดหมดสติได้ไหม”
“ตอนนั้น องค์ชายเจ็ดกำลังเสวยพระกระยาหาร เขาบอกว่าเขาไม่อยากกินผักสีเขียว ข้าก็เลยเอ็ดเขาหนึ่งที และทันใดนั้น เขาก็ร้องตะโกนออกมา เอามือกุมที่หน้าอกข้างซ้ายแล้วเซล้มลง” เซียวฮองเฮาอธิบาย
“เอามือกุมหน้าอกอย่างนั้นรึ หรือว่าจะแน่นหน้าอก” กู้เจียวพึมพำ ก่อนจะถามต่อ “ปกติเขาเป็นเช่นนี้หรือไม่”
เซียวฮองเฮาสะอื้นไห้พร้อมกับส่ายศีรษะ “ไม่เคยเลยนะ แต่พอตั้งแต่เขาถูกผู้หญิงคนนั้นลักพาตัวไป เขาก็ดูหดหู่กว่าเมื่อก่อน ตอนแรกข้าคิดว่าเขามีอาการวิตก หมอหลวงเองก็วินิจฉัยเช่นนั้น เขายังเด็กนัก มิอาจถวายโอสถสุ่มสี่สุ่มห้าได้ หมอหลวงบอกว่าอีกไม่นานเขาจะหายดี แต่ใครจะไปคิดว่า…”
กู้เจียวดึงผ้านวมออก ปลดเสื้อผ้าของฉินฉู่อวี้ แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีบาดแผลซ่อนอยู่บนร่างกายของเขาหรือไม่
ไม่มีบาดแผลอะไรเลย
“เจียวเจียว ดูที่ข้อมือขวาของเขาสิ” ทันใดนั้น เซียวเหิงก็ทักขึ้น
กู้เจียวมองไปที่ข้อมือขวาของฉินฉู่อวี้ แต่ไม่เห็นอะไรเลย เลยลองเปลี่ยนมุมโดยไปยืนข้างๆ เซียวเหิง คราวนี้กู้เจียวเห็นรอยนั้นได้ชัดเจน
มีรอยประหลาดสีเทาหม่นบนข้อมือของเขา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้หากอยู่ในที่สว่างเกินไปหรือมืดเกินไป
กู้เจียวลองถูบริเวณนั้นด้วยปลายนิ้วของนาง ทว่ากลับเช็ดไม่ออก “รอยนี้มีอยู่ก่อนแล้วหรือไม่”
เซียวฮองเฮาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่นะ ถ้ามีอยู่ก่อนหน้าจริงๆ ข้าคงเห็นไปนานแล้ว ต่อให้มันดูไม่เตะตาก็ตาม”
“เช่นนั้นก็แปลว่ามันเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้น” กู้เจียวเอ่ย
“หัวหน้าหอเซียนเล่ออยู่ที่ไหน นางต้องรู้แน่ๆ ว่ามันคืออะไร” กู้เจียวหันไปถามเซียวเหิง
“นางถูกคนของฝ่าบาทพาตัวไป ฝ่าบาทตรัสไว้ว่าจะจัดการกับนางด้วยตัวพระองค์เอง” เซียวเหิงตอบ
“รีบไปตามคนของฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด!” เซียวฮองเฮาตะโกนสั่งซูกงกง