สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 581 เจียวเจียวออกโรง
บทที่ 581 เจียวเจียวออกโรง
บริเวณข้างตำหนักฮว๋าชิงมีห้องลับไว้ใช้สำหรับสอบสวนคนในวัง แม้บรรยากาศจะไม่วังเวงและมืดมิดเท่าในคุก แต่ก็ชวนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย
องค์หญิงหนิงอันนอนราบอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ เนื่องจากขาทั้งสองข้างหักอยู่ ทำให้ไม่สามารถเดินเหินได้
แม้ที่คุกจะมีหมอประจำช่วยต่อกระดูกให้นาง แต่ใช่ว่าจะฟื้นตัวเร็วได้ทันท่วงที
ฮ่องเต้ประทับบนที่นั่งซึ่งห่างจากนางราวสิบก้าว มีเว่ยกงกงและองครักษ์อีกสองคนยืนประกบ
“ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอันใด” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉิน…ฉินเฟิงเยียน” นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับตระกูลฉิน” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเย็นชาที่ใบหน้าซึ่งเกือบจะเหมือนกับหนิงอัน ฮ่องเต้อดรู้สึกพระทัยสลายมิได้พอคิดถึงหนิงอัน แต่พอได้เห็นใบหน้าของหนิงอันตัวปลอมที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ความรู้สึกโกรธก็กลับปะทุขึ้นอีกครั้ง “เจ้ากับพรรคพวกของเจ้ารวมหัวกันทำร้ายหนิงอันใช่หรือไม่”
ฉินเฟิงเยียนแสยะยิ้ม “หากข้าบอกว่าไม่ได้ทำ ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่”
พระองค์ทรงทนทุกข์ด้วยน้ำมือของแม่ลูกสาวคู่นี้มามากพอแล้ว ไม่แปลกที่จะทรงไม่เชื่อคำพูดของนาง
“เช่นนั้น ข้าเปลี่ยนคำถาม ร่างของหนิงอันถูกฝังไว้ที่ไหน”
ฉินเฟิงเยียนทำหน้ากรุ้มกริ่ม “นางอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ฝ่าบาท หากท่านปล่อยข้าไป ข้าจะบอกที่อยู่ของนางกับท่าน…”
ฮ่องเต้เอามือกำที่วางแขนไว้แน่น
ต้องยอมรับว่า ชั่วครู่หนึ่ง เขาเกือบจะหลงเชื่อคำพูดนั้น
เว่ยกงกงรีบเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ระวังจะเป็นกับดักนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยายามสงบอารมณ์และตรัสอย่างจริงจัง “เจ้าไม่จำเป็นต้องหลอกลวงข้าอีกต่อไป เจ้าได้ทำความชั่วร้ายมามากมาย และข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าอย่างเด็ดขาด ที่วันนี้ข้าให้เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อถามถึงหนิงอัน เอาละ ถ้าเจ้ายอมสารภาพอย่างจริงใจ ข้าอาจจะให้เจ้าจากไปอย่างไม่ทรมาน”
“อย่างไม่ทรมานงั้นเรอะ…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” ฉินเฟิงเยียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เสด็จพี่เอ๋ยเสด็จพี่ ท่านไม่คิดว่าสิ่งที่ท่านพูดแลดูเสแสร้งเกินไปหรือ ความตายก็คือความตาย มีด้วยหรือที่ว่าตายอย่างไม่ทรมาน ข้าละไม่เข้าใจ แล้วในเมื่อทั้งข้าและหนิงอันเป็นน้องของท่าน เหตุใดชีวิตของหนิงอันถึงดีกว่านัก แต่ข้าถูกพาออกไปนอกวังตั้งแต่ยังเด็ก ใช้ชีวิตไม่ต่างจากผีสาง เสด็จพี่รู้ไหมว่าข้าทรมานแค่ไหน ข้าต้องเผชิญกับแสงแดดที่แผดเผาในฤดูร้อน หิมะกัดกร่อนในฤดูหนาว ต้องทนอดข้าวอดน้ำ ต้องถูกเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง…ทุกๆ เดือน ข้าเฝ้ารอวันที่ได้เข้าวังอย่างเป็นที่สุด…วันที่ข้าได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นองค์หญิง ได้เป็นองค์หญิงของราชวงศ์”
“เหตุใดเจ้าไม่พูดออกมาแต่แรก” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ฉินเฟิงเยียนหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าไม่เคยพูดรึ เสด็จพี่ ข้าไม่เคยจริงๆ หรือ”
จู่ๆ ความทรงจำที่เคยหายไปอย่างยาวนานก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด
ณ ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ฮ่องเต้และหนิงอันในวัยเด็กกำลังใช้กิ่งไม้เขียนตัวอักษรบนพื้นดิน
หนิงอันตัวน้อยเขียนคำว่า ‘เยียน’ ขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยเรียก “เสด็จพี่ ข้าไม่ใช่เหยียนเอ๋อร์นะ แต่ข้าคือเยียนเอ๋อร์”
เขาเอากิ่งไม้มาสะบัดหน้าผากของนาง “เด็กโง่ ทำไมถึงเขียนชื่อตัวเองไม่ถูก”
หนิงอันตะโกนร้องอย่างโมโห “ข้าคือเยียนเอ๋อร์! นี่เป็นชื่อของข้า!”
เอ่ยจบ นางก็วิ่งหนีไป
ฉินเฟิงเยียนพูดทั้งน้ำตา “เสด็จพี่จำได้แล้วใช่ไหม พอเสด็จแม่รู้เรื่องเข้า นางก็ขู่ข้าว่าอย่าพูดกับใครอีก มิฉะนั้นนางจะไม่ให้ข้ามาที่วังอีก เสด็จพี่ ตอนนั้นข้าเป็นแค่เด็กตัวเล็กวัยเดียวกับองค์ชายเจ็ด ข้าไม่มีทางสู้เสด็จแม่ได้เลย ข้าก็แค่ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตแบบนั้น ข้าผิดอันใด เหตุใดท่านถึงเอาแต่สนใจหนิงอัน…ไม่มีใครห่วงข้าเลยสักคน”
ฉินเฟิงเยียนปล่อยโฮอย่างหนัก
ความรู้สึกผิดเริ่มปะทุขึ้นภายในพระทัยของฮ่องเต้ คนเราเกิดมาไม่มีใครร้ายตั้งแต่เกิด หากนางได้รับการดูแลและเติบโตด้วยความรักของบุพการีเช่นหนิงอัน นางคงไม่ต้องมาเป็นเช่นนี้หรอกใช่ไหม
นางควรจะได้เป็นองค์หญิงผู้ไร้ซึ่งกังวล ควรจะมีความสุขกับเกียรติยศและความมั่งคั่งทั้งหมด นางควรจะ…
เสียงเปิดประตูดังปัง!
ความคิดเหม่อลอยของฮ่องเต้พลันหยุดในทันที ขณะที่กำลังกำลังจะหันไปดุผู้บุกรุก ทว่ากลับเห็นร่างผอมบางเข้ามาใกล้อย่างก้าวร้าวแล้วเตะฉินเฟิงเยียนที่กำลังร่ำไห้อยู่จนกลิ้งตบลงบนพื้น!
“โอ๊ย” ฉินเฟิงเยียนกรีดร้อง ก่อนที่ร่างจะไถลกระแทกเข้ากับกำแพง
“หมอ หมอเทวดารึ” ฮ่องเต้กำลังตะลึง
กู้เจียวก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วเตะอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของฉินเฟิงเยียนออกไป ก่อนจะใช้เท้าเหยียบขยี้ลงไปที่แผ่นอกของนาง
ฮ่องเต้ทรงตะลึงกับภาพที่เห็น
เหล่าองครักษ์รีบพากันยืนคุ้มกันให้
“พวกเจ้า ถอยออกไปก่อน”
เหล่าองครักษ์เดินถอยกลับไปด้านข้าง ฮ่องเต้มองดูหีบห่อที่บรรจุอะไรบางอย่างที่กู่เจียวเตะออกไปเมื่อครู่นี้ “นั่น…มันคือ…”
เว่ยกงกงห่อมือด้วยผ้าเช็ดหน้าและหยิบถุงนั้นขึ้นมา เมื่อเขาเปิดออก ก็เจอกับผงยาสีน้ำตาลบด มีกลิ่นหอมของสมุนไพรและดอกไม้
“กลิ่นนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…กระหม่อมเคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อน” เว่ยกงกงเอ่ย
“ยาขาวยังไงล่ะ” กู้เจียวเหลือบมองแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
เว่ยกงกงฟังจบก็สูดปาก
ฝ่าบาทถูกกล่อมด้วยยานี้มาหลายปี กว่าจะทำให้ยาหมดฤทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าฝ่าบาทแตะต้องยานั้นอีกมีหวังทรงได้กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปตลอดชีวิตแน่ๆ !
ฮ่องเต้ทรงกริ้วพร้อมตะโกนขึ้น “ที่ศาลต้าหลี่ทำงานกันประสาอะไร! ไม่ตรวจร่างกายนักโทษกันมาก่อนเลยเรอะ!”
โดยปกติแล้วนักโทษชายจะถูกค้นตัว แต่ด้วยความที่นางไม่ใช่นักโทษธรรมดา และการตามหาแม่นมเพื่อมาทำหน้าที่ค้นตัวให้นางก็ไม่ใช่มืออาชีพขนาดนั้น ดังนั้นจึงไม่ยากที่นางจะพกของแบบนี้ติดตัวไว้
“เจ้าโชคดีนะที่เศษเสี้ยวภายในใจของข้ายังรู้สึกสงสารเจ้าบ้าง…แต่ที่ไหนได้ เจ้าเล่นละครตบตากับข้ามาโดยตลอด!” ฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่ฉินเฟิงเยียนด้วยแววตารังเกียจขยะแขยง
ฉินเฟิงเยียนพยายามดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ฝีเท้าที่หนักราวภูเขาของกู้เจียวกดทับอยู่บนหน้าอกของนางจนแทบหายใจไม่ออก
กู้เจียวมองร่างบนพื้นด้วยสายตาอำมหิต “เจ้าทำอะไรกับฉินฉู่อวี้”
พระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนในทันใด พลางหันไปถามกู้เจียว “เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเจ็ด”
กู้เจียวย้ำฝีเท้าลงไปจนกระดูกซี่โครงของฉินเฟิงเยียนเกิดเปราะหัก
ฉินเฟิงเยียนคิดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ปกติสอบปากคำนักโทษก่อนแล้วค่อยเข้าสู่ขั้นตอนทรมานไม่ใช่หรือ เหตุใดแม่นางคนนี้พอปรากฏตัวก็เข้ามาหักกระดูกกันเลยล่ะ
กู้เจียวยืนหันหลังให้กับแสงที่ส่องลอดเข้ามา เห็นเป็นเงาตะคุ่มของใบหน้าในความมืด รูม่านตาที่ดำขลับและเย็นยะเยือกคู่นั้นของนางชวนให้นึกถึงเทพเจ้าแห่งความตายที่กำลังเข้ามาในเมืองมนุษย์
แม้ฉินเฟิงเยียนจะมีไพ่ตายซ่อนอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวต่อหน้าเทพสังหารผู้ทรงพลังองค์นี้
นางรวบรวมความกล้าบ้าบิ่นทั้งหมดที่มีและตะโกนจนสุดเสียง “ถ้าข้าตาย เขาก็จะตายด้วย!”
ฮ่องเต้พรวดลุกพร้อมกับแผดเสียงตะโกนใส่นาง “ว่าอย่างไรนะ เจ้าทำอะไรกับเขา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของฉินเฟิงเยียนดังกังวาลไปทั่วทั้งห้อง
นางบ้าไปแล้ว
นางเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
ตายคนเดียวไม่พอ ต้องลากคนอื่นไปด้วย
ปากบอกว่าตัวเองเป็นน้องสาว แต่การกระทำกลับให้ร้ายหลานแท้ๆ ของตัวเอง
เมื่อครู่นี้ยังนึกสงสารคนพรรค์นี้อยู่เลย ฮ่องเต้เกลียดที่ตัวเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กู้เจียวใช่เท้าขยี้ที่ข้อมือขวาของนาง และเห็นเครื่องหมายสีเทาหม่นเช่นเดียวกับข้อมือขวาของฉินฉู่อวี้
“อ๋อ ที่แท้ เจ้าก็เห็นแล้วนี่เอง…ฮ่าๆๆ …แต่แล้วยังไงล่ะ เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไร เจ้ารู้วิธีแก้มันไหมล่ะ”
“เจ้าแก้มันไม่ได้หรอก!”
“ลมหายใจของฉินฉู่อวี้ตกเป็นของข้าแล้ว!”
“พวกเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
“พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นะ จะได้รู้ว่าข้าพูดโกหกหรือไม่”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ ข้าจะบอกบุญให้เจ้ารู้เอาไว้ก็ได้ วิธีแก้อยู่ในกำมือของพวกแคว้นเยี่ยน หากเจ้าแน่จริงก็ไปเอามาสิ!”
จิตสังหารของฮ่องเต้ปะทุเดือดดาลจนอยากจะฆ่าคนเสียตอนนี้เลย!
สีหน้าของกู้เจียวยังคงราบเรียบไม่เปลี่ยนราวกับบ่อน้ำนิ่งที่ถูกขุดมาแล้วกว่าพันปี “ที่แท้ก็มีวิธีแก้สินะ”
ฉินเฟิงเยียนทำหน้าผงะ
นี่น่ะหรือประเด็นของเจ้า
นี่ฟังเข้าใจใช่ไหมว่ากำลังพูดถึงใครอยู่
พวกแคว้นเยี่ยน!
คนพวกนั้นคือคนของแคว้นเยี่ยนนะ!
กู้เจียวยกกริชขึ้นมา จากนั้นจิ้มไปที่นิ้วของฉินเฟิงเยียนและฮ่องเต้
แล้วหยิบกระดาษตรวจหมู่เลือดออกมาจากกล่องยา
เหมาะเหม็ง หมู่เลือดของพวกเขาตรงกัน
กู้เจียวสวมถุงมือ หยิบสายท่อและตัวกรองสีขาวแบบใช้แล้วทิ้งออกมา
การเคลื่อนไหวของนางทั้งสงบและสง่างาม
ฉินเฟิงเยียนเริ่มใจคอไม่ดี และความกลัวก็พุ่งสูงขึ้นโดยสัญชาตญาณ “เจ้าจะทำอะไร”
กู้เจียวยกมือขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเฉย
ฉินเฟิงเยียนยกมือขึ้นด้วยความกลัว “เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ จะทำอะไร จะทำอะไรน่ะ อย่าเข้ามานะ!”
นางถอยกรูดไปที่มุมห้องและไร้ซึ่งทางหนี
กู้เจียวหยุดอยู่ตรงหน้านาง ยกมือที่สวมถุงมือขึ้นแล้วตบที่กระหม่อมของนางเบาๆ “ข้าเกลียดพวกที่ชอบขู่เข็ญมากที่สุดเลยล่ะ”
ฮ่องเต้ผู้ซึ่งกลัวการฉีดยาบัดนี้ได้เป็นลมสลบไปแล้ว
องครักษ์สองนายครั้นคิดจะเข้าไปช่วย แต่ดันถูกกู้เจียวขัดขวางไว้
เว่ยกงกงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ให้ออกไปก็ไม่ได้ แต่จะให้อยู่ต่อเขาเองก็ไม่ไหวเช่นกัน
“ส่องไฟให้ที” กู้เจียวเอ่ย
“ได้เลยขอรับ!” เว่ยกงกงรีบคลานเข้ามา