สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 584 สำเร็จ
บทที่ 584 สำเร็จ
“เขายังไม่ตาย!”
ยังหายใจอยู่ชัดๆ
กู้เจียวไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรดี
ลำบากองค์หญิงซิ่นหยางแย่ ต้องมาเจอองครักษ์หลงอิ่งอย่างหลงอี องค์หญิงซิ่นหยางไม่เสียสติไปเสียก่อนก็บุญโขแล้ว
แมลงพิษที่เกาะอยู่เต็มตัวหลงอียังคงไม่ไปไหน และทั้งหมดก็ถูกหลงอีทับตาย
แต่แมลงพิษที่อยู่บนร่างขององครักษ์หลงอิ่งอีกสี่นายกลับยังคงกัดแทะผิวหนังที่โผล่พ้นร่มผ้าของพวกเขา
กู้เจียวนั่งย่อตัวลง แล้วดึงแมลงพิษตัวหนึ่งบนลำคอขององครักษ์หลงอิ่งออกมา
ใครจะไปรู้กันว่าพอแมลงสีดำถูกดึงออกมา แต่เดือยพิษยังคงปกอยู่บนผิวหนัง
ดูท่าแล้วคงต้องปล่อยให้เจ้าแมลงน้อยพวกนี้คายเดือยพิษออกมาเอง
เช่นนั้นก็ได้ นางมีน้ำมันสมุนไพรครอบจักรวาลอยู่นี่
กู้เจียวล้วงขวดน้ำมันสมุนไพรออกมจากช่องอก ก่อนจะหยดลงบนตัวของแมลงพิษที่เหลือ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เหล่าแมลงถูกรมด้วยกลิ่นฉุนจนเวียนหัว จากนั้นก็พากันร่วงกรูลงจากร่างขององครักษ์หลงอิ่ง
บาดแผลบนลำคอขององครักษ์หลงอิ่งคนที่หนึ่งจำเป็นต้องรักษาอย่างเร่งด่วน ที่นี่ไม่มีแหนบคีบ กู้เจียวจึงจำต้องใช้อาวุธลับอย่างเข็มเงินที่พกติดตัวมาแหวกปากแผล ก่อนจะบ่งเดือยพิษออกมา
สุดท้ายกู้เจียวก็ทายาทาแผลให้เขา
ตลอดทั้งกระบวนการกู้เจียวไม่ได้ป้องกันตนเองแม้แต่น้อย แต่แมลงเหล่านั้นกลับไม่กัดนาง ผนวกกับฉินเฟิงเยียนเองก็เคยพกแมลงพิษเหล่านี้ติดตัว ดูท่าแล้วเจ้าแมลงพวกนี้คงจะกัดเฉพาะทหารพลีชีพ
แต่หลงอีเองก็เป็นทหารพลีชีพเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่กัดเขาล่ะ
หลงอีที่รู้แล้วว่าเหล่าสหายปลอดภัยดีจึงเลิกแกล้งตาย ไม่รู้ว่าถือคติมีมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านหรืออย่างไร เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น ก่อนจะหยิบแมลงตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนลงบนหลังมือของตัวเอง
โยนแล้วโยนอีก
คาดว่าเจ้าแมลงคงถูกเขาจับโยนจนเวียนหัวแล้ว
กู้เจียวล้วงขวดเปล่าออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะจับแมลงพิษสองสามตัวใส่ลงไป ตั้งใจว่าจะนำกลับบ้านไปศึกษาสักหน่อย
องครักษ์หลงอิ่งสี่นายนั่งพิงกำแพง แมลงพิษเหล่านี้นับว่ารุนแรงสำหรับพวกเขา พวกเขาจึงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อฟื้นพลังปราณ
กู้เจียวเข้าไปข้างในเพื่อจัดยา ส่วนหลงอีนั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก
เรือนเล็กนี้มิได้ใหญ่โตนัก มีเพียงสี่ห้องเท่านั้น กู้เจียวเดินดูทีละห้อง ก็พบชั้นยาอยู่ที่ห้องที่สองรองสุดท้าย
บนชั้นมีวัตถุดิบยาทาภายนอกไม่น้อย มีทั้งยาทาแผล ยาห้ามเลือด ยาอเนกประสงค์ เรียกได้ว่าครบครัน เพียงแค่พวกนี้ไม่ใช่ยาที่กู้เจียวกำลังตามหา
หลังจากนั้น กู้เจียวก็เหลือบไปเห็นขวดกระเบื้องสิบกว่าขวดที่ตั้งอยู่ในมุมอับของชั้นล่างสุด ภายในเต็มไปด้วยยาที่นางไม่รู้จัก
“อันไหนคือยาถอนพิษกันแน่ ช่างเถิด เอาไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
กู้เจียวล้วงกระสอบออกมา คัดยาทาแผลภายนอกที่ตนเองรู้จักออก ก่อนจะโกยยาที่ไม่รู้จักลงกระสอบทั้งหมด
ฉินฉู่อี้กำลังรอยาถอนพิษอยู่ กู้เจียวจึงไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางแล้วคงยกเค้าทั้งเรือนหลังนี้ไม่มีเหลือ
เพื่อความปลอดภัย กู้เจียวจึงเข้าไปค้นในห้องสุดท้าย เมื่อแน่ใจว่าไม่มียาขวดใดตกหล่น นางจึงเดินกลับออกมายังระเบียงทางเดิน
องครักษ์หลงอิ่งทั้งสี่คนโดนพิษไปไม่นานเท่าใดนั้น ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง ยามนี้ทั้งสี่คนลุกขึ้นยืนได้แล้ว ทั้งยังออกกระบวนท่าได้แล้วด้วย
“ไปกัน” กู้เจียวเอ่ยกับพวกเขา
หลงอีคว้ากู้เจียวเอาไว้ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวลอยเหนือลานบ้านออกไป
สี่คนที่เหลือแม้จะยังมีพิษตกค้างอยู่ แต่ก็ยังพอใช้วิชาตัวเบาได้สามในสี่ของกำลัง เพียงพอแล้วสำหรับการออกจากลานบ้านของเรือนหลังนี้
ขั้นตอนต่อไปคือหนีไปจากที่นี่แล้วรีบกลับเมืองหลวง
ท้องนภามืดมิด ไร้เดือนดารา
ลมหนาวยามราตรีเดือนสองแม้ไม่หนาวเหน็บเหมือนดั่งคิมหันตฤดู แต่ก็ยังคงพาให้แสบผิว กระดูกร้าวเช่นเดิม
องครักษ์เวรดึกนั้นหนาแน่นยิ่งกว่ายามกลางวันอย่างเห็นได้ชัด หน่วยละสิบคน องครักษ์หนึ่งนายต่อองรักษ์หลงอิ่งเก้านาย เดินลาดตระเวนไปตามเส้นทางภายในรอบรั้ว
องครักษ์หลงอิ่งร้อยนายที่องค์หญิงซิ่นหยางตรัสถึง ไม่ได้หมายความว่าภายในรอบรั้วนี้มีแค่ร้อยนาย แต่องครักษ์ทั่วไปกับหัวหน้าหน่วยก็ปาเข้าไปเกือบรสองร้อยนายแล้ว
กู้เจียวกับหลงอีและคนที่เหลือรวมกันอีกห้าคนพากันหลบเลี่ยงการลาดตระเวนของพวกแคว้นเยี่ยน ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปใกล้รั้วฝั่งทิศใต้ของเรือน พวกนั้นก็บังเอิญเข้ามาพอดี
ทางนี้ใกล้กับถนนหลวงมากที่สุด และหลบหนีได้ง่ายที่สุด
ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ใครจะไปคาดคิดกันว่าระหว่างทางจะมีแมวป่าตัวหนึ่งพรวดพราดออกมา
ที่คือเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ใครจะไปนึกว่าจะมาเจอแมวป่าเอาตอนนี้
เซียวเหิงกลัวแมว
เพราะอย่างนั้นหลงอีจึงเกลียดแมว
เขาแผ่รังสีสังหารออกมา เจ้าแมวตกใจจนร้องเหมียว กระโดดลงมาจากกำแพงก่อนจะเหยียบลงบนกิ่งไม้
เสียงกิ่งไม้หักกรอบแกรบแผ่วเบา
แต่สำหรับคนหูดีจนน่าสะพรึงกลัวอย่างองครักษ์หลงอิ่งแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงพอสมควร
“ตรงนั้นมีคน!”
น้ำเสียงแปลกหูดังขึ้น
ตามมาด้วยศรธนูเลือดเย็นที่ถาโถมเข้ามา และอาวุธลับที่จู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดิน ราวกับตาข่ายผืนใหญ่ทอละเอียด แฝงไปด้วยรังสีอำมหิตอันน่าสะพรึงกลัว หมายจะเอาชีวิตของพวกเขาอย่างไม่มีลังเล
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้สัมผัสการโจมตีของพวกแคว้นใหญ่
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ เพราะตั้งแต่วิธีการโจมตีและยุทธวิธีล้วนแต่แตกต่างจากทัพทหารทั่วไป
กู้เจียวคว้าทวนพู่แดงออกมา ค้ำยันด้ามทวนมั่นกับพื้นดิน ร่างทั้งร่างของนางทะยานขึ้น หลบเลี่ยงศรธนูที่โจมตีเข้ามาอย่างถี่รัว
ส่วนหลงอีนั้นกางแขนแกร่งทั้งสองข้าง ปล่อยพลังปราณออกมาทั้งสองทิศ สี่คนที่อยู่รอบตัวกระเด็นกระดอน ส่วนร่างของเขานั้นลอยตัวขึ้นกลางอากาศ เหยียบขึ้นเหนือลูกธนูที่พุ่งเข้ามา ก่อนจะพุ่งตัวไปทางทหารลาดตระเวนที่กระหน่ำยิงฝนธนู
เสียงกรอบดังขึ้นเมื่อเขาหักคอของหัวหน้าองครักษ์ฝั่งตรงข้าม
กู้เจียวเองก็รู้งาน ก่อนจะเอ่ยกับองครักษ์หลงอิ่งทั้งสี่คน “พวกเราไปกันเถอะ!”
ทั้งสี่คนไม่อยากทิ้งลูกพี่เอาไว้
กู้เจียวจับร่างออกพวกเขาโยนออกไปทีละคน
เพราะพิษยังออกฤทธิ์ในร่างของทั้งสี่ สภาพร่างกายจึงไม่สู้ดีนัก ถึงได้ถูกกู้เจียวเหวี่ยงกระเด็นเสียขนาดนั้น
กู้เจียว ‘ความรู้สึกยามโยนองครักษ์หลงอิ่งนี่มันสะใจชะมัด!’
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้องครักษ์ในเรือนแตกตื่น องครักษ์หลงอิ่งก็ยิ่งกรูกันเข้ามา หลังจากกู้เจียวโยนร่างองครักษ์หลงอิ่งขององค์หญิงซิ่นหยางคนสุดท้ายออกไปได้ ตัวนางเองก็ทะยานตัวขึ้นกำแพงไป
ทว่าวินาทีที่นางกำลังจะข้ามกำแพงนั้น เชือกเส้นหนึ่งก็พลันทะลวงเข้ามาพันรวบเอวของนางไว้
ทันใดนั้นเอง นางถูกกระชากลับเข้ามาในรั้ว กระแทกลงกับพื้นดินอย่างแรง
กู้เจียวห่วงยาที่อยู่กับตัว จึงไม่ทันได้ป้องกันตัวเอง คราวนี้จึงเจ็บตัวไม่น้อย
นางฮึดฮัดด้วยความหงุดหงิด
เจ้าของเชือกเส้นนั้นยังคงไม่ปล่อยมือ แต่กลับออกแรงกระชากยิ่งกว่าเดิม ลากกู้เจียวเข้ามาใกล้ กู้เจียวคว้าทวนพู่แดงบนพื้นขึ้นมา ก่อนจะใช้มือเปล่าคลายผ้าขาวที่หุ้มทวนอยู่
นางพลิกตัวกลับ ชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้นดิน กำทวนพู่แดงในมือแน่นก่อนจะตวัดแทงอย่างรุนแรง
เสียงฉับดังขึ้น เชือกเส้นบางถูกทวนพู่แดงหั่นสะบั้น!
องครักษ์ที่กำเชือกพลันไร้สิ่งยึดเหนี่ยว เซถลาถอยหลังแล้วล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างจัง
กู้เจียวในคราบเด็กหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น สวมหน้ากากขนนกยูงสีฉูดฉาด สองตาที่โผล่พ้นออกมานั้นดุดันด้วยแรงสังหาร
ชายหนุ่มแคว้นเยี่ยนที่อยู่ออกไปไม่ไกลเร่งรุดเข้ามา ทว่าพอเห็นภาพนั้นก็พลันชะงัก
สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของเด็กหนุ่ม เขาตกตะลึงกับฝีมือและรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมา
มือไม้ว่องไวไม่เท่าไหร่ เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ในแคว้นเยี่ยนมีถมเถไป แต่แววตาและรังสีที่แผ่นช่านออกมานั้น เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วก็ทวนพู่แดงของเขาด้วย
นั่นมัน…
ทวนพู่แดงถูกเสี่ยวจิ้งคงตกแต่งด้วยดอกไม้สีแดงสด ปักตรงนี้นิด เสียบตรงนี้หน่อย ว่ากันตามตรง เห็นแวบแรงยังมองไม่ออกว่าคือสิ่งใดด้วยซ้ำ
เขาอยากจะมองอีกสักนิด แต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกทหารหน่วยกล้าตายพาตัวออกไป
…จะเรียกว่าหนีบตัวออกไปก็ได้
“ท่านแม่ทัพ!” องครักษ์คนหนึ่งยกมือขึ้นคำนับ “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ปล่อยให้คนลอบเข้ามาได้!”
ชายแคว้นเยี่ยนเอ่ย “ส่งคนตามล่า แล้วก็ค้นให้ทั่วทั้งเรือนว่ามีอะไรหายไปไหม”
“ขอรับ!”
องครักษ์พากำลังพลพร้อมม้าสองหน่วยออกตามล่า
ชายแคว้นเยี่ยนทอดสายตามองตามทางที่เด็กหนุ่มหนีไป เนิ่นนานก็ยังคงเหม่อเลยเช่นนั้น
สายลับนายหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านมองอะไรอยู่หรือ”
ชายแคว้นเยี่ยนใช้สายตาส่งสัญญาณไปทางกำแพงท้ายเรือน “เมื่อครู่เจ้าเห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นหรือไม่ รู้สึกคุ้นตาเช่นไรก็ไม่รู้”
“คุ้นตาหรือขอรับ” สายลับเอ่ย “ไม่เลยขอรับ เขาสวมหน้ากาก ข้าเห็นเขาไม่ชัด…”
ชายแคว้นเยี่ยนคล้ายกับคิดอะไรบางอย่าง “ไม่ใช่เช่นนั้น หมาย…หมายถึงรังสีสังหารน่ะ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ออกกระบวนท่ามากมายนัก ทั้งยังไม่ได้ลงมือขั้นนองเลือด ทว่าบางคนนั้นมีรังสีเช่นนี้ตั้งแต่กำเนิด แค่ออกฝีไม้ลายมือนิดหน่อยก็รู้ว่าแตกต่าง
สายลับหัวเราะพลางเอ่ย “เช่นนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นก็คงฝีมือไม่เท่าไหร่กระมังขอรับ ไม่นับว่าเก่งกาจอันใด ฝีมือเช่นนั้นในแคว้นเยี่ยนมีถมเถไป”
ชายแคว้นเยี่ยนขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกคุ้นตานัก… เพราะแววตาหรือ หรือว่า…เพราะอาวุธของเขา”
สายลับเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพหมายถึงทวนด้ามยาวนั้นหรือ”
ชายแคว้นเยี่ยนพึมพำ “นั่นไม่ใช่ทวนยาวธรรมดา แต่เป็นทวนพู่แดง เหมือนอาวุธวิเศษของเซวียนหยวนลี่… เซวียนหยวนลี่”
สายลับหัวเราะ “ทวนพู่แดงของเซวียนหยวนลี่นั้นตกทอดอยู่ในแคว้นเจาก็จริง หากท่านแม่ทัพเจอเข้าก็คงไม่แปลก ท่านแม่ทัพคงไม่ได้คิดว่าเมื่อครู่ได้พบกับทายาทของเซวียนหยวนลี่กระมัง”
ชายแคว้นเยี่ยนทอดถอนใจ “ข้าคงคิดมากไป ลูกชายตระกูลเซวียนหยวนไร้ผู้สืบทอด แม้แต่ทารกที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมยังไม่ละเว้น ไม่มีทางจะหลงเหลือทายาทได้หรอก”