สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 586 จบสิ้นการทรมาน
บทที่ 586 จบสิ้นการทรมาน
สัญชาตญาณของชายชุดดำสัมผัสได้ถึงพลังคุกคาม
ว่ากันตามตรงแล้วฝีมือของเด็กหนุ่มคนนั้นห่างไกลกับเขานัก เขาไม่ควรที่จะรู้สึกเช่นนี้ถึงจะถูก
เด็กหนุ่มโจมตีเขา กระบวนท่าไม่ต่างจากก่อนหน้านี้สักนิด เพลงทวนของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่รู้ว่าร่ำเรียนมาจากผู้ใด ช่างธรรมดาเหลือเกิน กลับไปกลับมาไม่กี่กระบวนท่า ทว่าแต่ละกระบวนท่านั้นล้วนแต่เป็นท่าไม้ตาย
เด็กหนุ่มกำทวนพู่แดงด้วยสองมือ ปลายทวนเล็งเป้ามาที่เขา
เขาตวัดกระบี่ป้องกัน
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เจ้าเด็กหนุ่มนั่นใช้กระบวนท่าเดิมแท้ๆ แต่แรงโจมตีกลับรุนแรงกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า จนทั้งมือทั้งแขนของเขาชาไปหมดแล้ว!
เด็กหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสให้เขาพักเลย อีกครั้งที่ทวนพุ่งมาทางเขา คราวนี้เขายังคงเลือกที่จะใช้กระบวนท่าตั้งรับดังเดิม ปลายคมของทวนพู่แดงน้ำหนักมหาศาลง้างสูงตระหง่าน เด็กหนุ่มพละกำลังล้นเหลือ ร่างทั้งร่างของเขาจมลึกลงพื้นดินไปไม่รู้กี่นิ้ว!
เมื่อครู่เจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรน่ะ
เหตุใดพละกำลังถึงได้พลุ่งพล่านขึ้นมาได้
ทวนพิฆาตของเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามาเป็นหนที่สาม คราวนี้เขาไม่เลือกที่จะตั้งรับอีกต่อไป เขาโต้กลับการโจมตี คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกทวนพู่แดงต้อนจนถอยหลังไปหลายสิบเก้า
ทว่าเด็กหนุ่มนั้นยังไม่ลดละ!
ความตกตะลึงวาบผ่านแววตาของชายชุดดำ
ว่ากันตามตรง เขาไม่ได้ออกแรงเต็มกำลังยามประมือกับเด็กหนุ่ม เพราะเขาไม่อาจทุ่มสุดตัวได้ขนาดนั้น เหมือนกับอาชาเหงื่อโลหิตที่วิ่งได้ไกลที่สุดสี่ร้อยลี้ในหนึ่งวัน แต่หากจะให้มันวิ่งเต็มกำลังสี่ร้อยลี้ก็คงหมดลมหายใจ
ยามเริ่มแรกชายชุดดำยั้งแรงไว้กึ่งหนึ่ง คิดว่าเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว
แต่ยามนี้เขาจำต้องเพิ่มเป็นหกในสิบแล้ว
ตั้งแต่มาถึงแคว้นเจา นี่คือคนแรกที่ทำให้เขาต้องใช้กำลังถึงหกส่วน
ทั้งสองแลกกระบวนท่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มโจมตีแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีออมมือ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นท่าไม้ตาย
ชายชุดดำได้แผลบนร่างกาย ทั้งภายในและภายนอกต่างบาดเจ็บ เขาฝืนทดความเจ็บปวดที่มาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย
อีกฟากหนึ่ง แม้เด็กหนุ่มเองก็บาดเจ็บเช่นกัน แต่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิด ไม่สนใจทั้งแผลที่ปริอ้าและเลือดสด ทั้งยังโจมตีเขาไม่หยุด
ยามปะทะกันนั้นหากไม่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาละก็เป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต หากรู้สึกเจ็บปวดก็แปลว่าจะบาดเจ็บตรงนั้นไม่ได้อีก แต่หากสูญเสียประสาทส่วนนั้นไป ผลที่ตามมานั้นช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
กู้เจียวจู่โจมด้วยทวนพิฆาตอีกครั้ง พละกำลังนั้นมหาศาล จิตสังหารเข้มข้น
ยอดฝีมือชุดดำเห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจว่าจะไม่เสียเวลาต่อกรกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้อีกต่อไป เขาเพิ่มกำลังเป็นแปดส่วน เพียงพอที่จะสยบเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ได้
แน่นอนว่านี่คือขีดจำกัดในการต่อสู้อย่างปลอดภัยของเขา หากออกแรงมากกว่านี้มีหวังคงเจ็บตัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศัตรู พากันตายทั้งคู่
แต่หากฆ่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ได้ จะเจ็บตัวสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
ยอดฝีมือชุดดำคิดเช่นนั้น ก่อนจะใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดโจมตีเด็กหนุ่ม
เขาคิดว่าในที่สุดก็กำจัดเด็กหนุ่มตรงหน้าได้เสียที แต่หารู้ไม่ว่ารังสีอำมหิตของเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับรุนแรงยิ่งกว่าเดิม!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
ยอดฝีมือชุดดำมึนงงไปหมด
เขากัดฟันกรอด
ช่างเถิด เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันเสียเลย!
ยอดฝีมือชุดดำออกแรงสุดกำลัง! เส้นเอ็นในร่างกายของเขาไม่อาจรับพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ มันค่อยๆ ปริออก เลือดแดงสดไหลออกมจากทั้งเจ็ดทวาร
เขารวบรวมพลังปราณทั้งหมดไว้ที่กระบี่ชั้นยอดในมือขวา ก่อนจะพุ่งเป้ามาที่กู้เจียว
เสียงฉึกดังขึ้น ทวนพู่แดงแทงทะลุหน้าอกของเขาอย่างไร้ความปรานี
เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เข้าด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง มือข้างหนึ่งคว้าทวนเอาไว้ก่อนจะออกแรงแทงให้มันทะลวงผ่านร่างของเขาไป
ยอดฝีมือชุดดำล้มลงในทันใด ก่อนตายก็ยังไม่วายสงสัยว่าเหตุใดตนเองถึงได้ตามด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มผู้นี้
เขามองขอบฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด
เทพสังหาร
เขาได้พบเทพสังหารเข้าแล้ว
ทุกอย่างจบลง ทุกสรรพสิ่งบนถนนหลวงริมศาลาเฟิ่งหวงเงียบสงัด ในอากาศมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
กู้เจียวกำทวนพู่แดง ดวงตาดำขลับมองไปตามถนนหลวงตรงหน้า ทว่าสายตากลับเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
รังสีสังหารของนางไม่ได้ลดลงเลยแม้จะจัดการยอดฝีมือชุดดำได้แล้ว
นางยังอยากที่จะฆ่าอีก
หากไม่ได้ฆ่าคนอื่น เช่นนั้นก็ฆ่าตัวเองก็แล้วกัน
“ฟิ้ว!”
เสี่ยวจิ่วสยายปีกถลาลงมา บินวนเหนือศีรษะของกู้เจียว
“ฟิ้ว ฟิ้ว!”
เสี่ยวจิ่วร้องเรียกกู้เจียว
“กรู๊ก!”
“จย้า!”
“กรู๊กกก!”
กู้เจียวเล็งทวนพู่แดงมาทางเสี่ยวจิ่ว
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินหนีขนกระจุยกระจาย “ฟิ้ว”
เสี่ยวจิ่วกลัวเหลือเกิน แต่มันก็ไม่ได้หนีไป
เจ้านกบินอยู่เหนือหัวของกู้เจียวอย่างห้าวหาญ ใช้จะงอยปากจิกเชือดรัดผมของกู้เจียว
“ฟิ้ว”
“ฟิ้ว”
“ฟิ้ว”
แววตาของกู้เจียวดูสับสน นางโยนทวนพู่แดงลงกับพื้น ก่อนจะดึงเชือกที่พันรอบเอวออกมาแล้วมัดแขนทั้งสองข้างของตัวเองให้ติดกันไว้แน่น
นางพลิกตัวขึ้นม้า อาศัยความโกรธแค้นควบคุมจิตสังหารแรงกล้าที่อยู่ภายใน
เสี่ยวจิ่วบินตามหลังม้า ใช้จะงอยปากจิกบั้นท้ายของม้า
เจ้าม้าเจ็บปวด จึงควบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เลือดแดงสดกลิ่นคาวไหลออกมาจากหางตาของกู้เจียว นางมองไม่เห็นทางด้านหน้า
เสี่ยวจิ่วนำทางอยู่ข้างหน้า คาบเชือกจูงม้าเอาไว้
หนึ่งคน หนึ่งนก หนึ่งม้า พากันควบไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางราตรี
เสี่ยวจิ่ว เร็วกว่านี้อีกนิด ข้าจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เสี่ยวจิ่วราวกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของกู้เจียวที่พลุ่งพล่านออกมา มันส่งเสียงร้อง นำทางม้ามุ่งหน้าไปทางประตูเมือง
รอบกำแพงเมืองต่างได้รับคำสั่งกันแล้ว ให้เฝ้ารอยาถอนพิษที่นางนำกลับมา
บนกำแพงเมือง องครักษ์คนหนึ่งพลันชี้ไปทางเขาชางเป้ย ก่อนจะร้องตะโกน “ใต้เท้า! ท่านดูสิขอรับ! มีคนมาแล้ว!”
“มีกี่คน”
“เหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มที่ออกจากเมืองไปเมื่อก่อนหน้านี้!”
“เร็วเข้า! รีบเปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองเปิดกว้าง เหล่าองครักษ์หน้าประตูก้าวขึ้นมาต้อนรับ
ไม่รู้ว่าหน้ากากของกู้เจียวถูกกระชากออกไปตั้งแต่เมื่อใด ร่างของนางโชกเลือด ใบหน้าสีแดงฉาน ทว่าสองมือของนางกลับถูกมัดผูกติดกันไว้ หากไม่ได้เห็นนางออกจากเมืองก่อนหน้านี้ คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่านางเป็นใคร
แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารในแววตาของนาง
นางกำลังจะฆ่าคน!
“ถอย!” หัวหน้าองครักษ์ตะโกนลั่น
ทุกคนชักกระบี่ออกมาพร้อมทั้งก้าวถอยหลัง
กู้เจียวปลดห่อผ้าที่มัดอยู่บนหลัง ใช้มือที่ถูกมัดติดกันยื่นมันให้กับหัวหน้าองครักษ์
“ยาถอนพิษ”
ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองหัวหน้าองครักษ์ ใช้สติสัมปชัญญะเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่เอ่ยขึ้น “ปิดประตูเมือง…ห้ามเปิด!”
หัวหน้าองครักษ์หัวใจเต้นระส่ำ!
“ใต้เท้า…” ลูกน้องที่อยู่ข้างกายเขามองเขาอย่างตกตะลึง
หัวหน้าองครักษ์มองกู้เจียวที่รังสีสังหารแผ่ซ่าน เขายกมือขึ้นด้วยความสับสน “ทุกคนเข้ามาในเมือง ปิดประตูเมือง!”
“ใต้เท้า!”
“ทำตามที่ข้าสั่ง!”
ทุกคนกัดฟัน เคลื่อนพลเข้ามาในประตู หมุนคันโยกก่อนจะปิดประตูเมืองลง
เสี่ยวจิ่วกระพือปีก ส่งเสียงร้องคำรามลั่นใส่กู้เจียว
กู้เจียวจับมันเอาไว้ ก่อนจะเหวี่ยงร่างของมันลอดผ่านซอกประตูเมืองเข้าไป
“ใต้เท้า!”
วินาทีประตูเมืองกำลังจะปิดสนิท ร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างบานประตูก่อนจะเล็ดลอดออกไป
ทุกคนอยากจะคว้าเขาไว้แต่ก็ไม่ทัน มีแต่เสียงดังกึงก้อง ประตูที่ต้องใช้กำลังสิบสองคนปิดพร้อมกันก็ปิดลงอย่างสนิทไร้ร่องรอย
เสียงตะโกนลั่นมาจากกำแพงเมือง “พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่ห้ามเอาไว้ นั่นคือใต้เท้าเซียวแห่งสำนักฮั่นหลินนะ”
เชือกที่ข้อมือของกู้เจียวนั้นออกแบบมาเพื่อตัวนางเอง เพื่อตั้งรับยามตนเองคลุ้มคลั่งอย่างกะทันหัน เชือกนั้นมีเข็มเล็กๆ ฝังอยู่หากนางเสียสติจนถึงขั้นที่ปลายเข็มหัก ยาระงับประสาทที่ปลายเข็มจะแล่นริ้วเข้าสู่ร่างกายของนาง
ยิ่งนางดิ้นมากเท่าไร ยาก็จะยิ่งแพร่กระจายมากขึ้น
ปริมาณของยามากพอที่จะทำให้นางถึงชีวิตได้
นางโน้มตัวแนบกับหลังม้า ให้ยาระงับประสาทนั้นออกฤทธิ์ชาไปทั่วร่าง
นางไม่รู้ว่าจะต้องใช้ยามากเท่าใดจึงจะทำให้รังสีสังหารของนางสงบลงได้
“เจียวเจียว”
ทันในนั้นเอง น้ำเสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้นข้างหูนาง
ลำแขนแกร่งสองข้างยื่นเข้ามาใกล้ โอบอุ้มร่างของนางลงจากหลังม้าอย่างไม่ลังเล
เชือกที่ข้อมือของนางถูกปลดออก
นางถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมอกอันแสนอบอุ่น
‘ไอ้แซ่กู้! ลูกสาวแกคือปีศาจ! แกรีบเอามันไปให้พ้น’
‘แม่’
‘แม่จ๋า หนูจะเป็นเด็กดี อย่าไล่หนูไปอยู่ที่อื่นเลย หนูไม่กินข้าวก็ได้ หนูจะไม่ฉี่รดกางเกง หนูจะไม่ร้องไห้’
‘ฉันไม่สนว่าแกจะร้องไห้หรือเปล่า! ไปให้พ้น! ฉันไม่ต้องการแกแล้ว!’
‘แม่จ๋า’
‘ไปให้พ้น!’
‘แม่จ๋า แม่จ๋า แม่จ๋า…’
ฝ่ามือของกู้เจียวน้อยวัยสามปีอาบไปด้วยเลือด เธอกอดตุ๊กตาหัวขาดเอาไว้ ยืดเท้าเปล่าอยู่กลางโถงทางเดินตึกอันมืดมิด ลมหนาวพัดหวีดหวิด เสียงเคาะบานประตูเย็นเฉียบที่ปิดสนิทดังขึ้นเป็นระยะ ‘แม่จ๋า แม่จ๋า…’
“หนูไม่ใช่ปีศาจ” ท่ามกลางความมืดมิด กู้เจียวตัดพ้อ
เซียวเหิงนั่งลงบนพื้น กอดร่างอาบเลือดของนางเอาไว้ ลำคอของเขาถูกนางกันจนเป็นแผล เลือดสดแดงฉานชุ่มไปทั้งชุดของเขา
ดวงแก้มเย็นเฉียบของเขาแนบสนิทกับหน้าผาอันร้อนผ่าวของนาง เขาเอ่ยอย่างปวดใจ “เจียวเจียวไม่ใช่อยู่แล้ว เจียวเจียวคือเจียวเจียวที่เก่งที่สุดในโลก เป็นภรรยาของอาเหิง อาเหิงไม่กลัวเจียวเจียว”
กู้เจียวที่สติเลือนลางใช้สองนิ้วเรียวยาวกำแขนเสื้อของเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนแรง “ใช่ ข้าเก่งมากเลยล่ะ”