สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 587 ได้สติ
บทที่ 587 ได้สติ
ลมโชยแผ่วเบาคลอเคล้าแสงตะวันสดสวย เกิดเป็นวสันตฤดูอันงดงาม
กู้เจียวตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว นางลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา
ด้วยนิสัยของนางแล้วต้องตื่นตัวระแวดระวังในทันที แต่ยามนี้กลับไม่เช่นนั้น
หมอนกับผ้าห่มส่งกลิ่นหอมและกลิ่นอายคุ้นเคยออกมา ชวนให้สงบใจอย่างประหลาด
แอ๊ดดด
ประตูถูกคนผลักเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆ จากด้านนอก เงาร่างสูงใหญ่เร้นกายเข้ามา
หลงอีนั่นเอง
เขาถือตะหลิวใหญ่เดินวนอยู่ในห้องรอบหนึ่ง
กู้เจียวแทบจะหลับตาลงในทันที
หลงอีโน้มตัวลงมา ใบหน้าถมึงทึงจ้องกู้เจียวอยู่ครู่ใหญ่ ราวกับกำลังแปลกใจว่าเหตุใดตัวเองได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้วแท้ๆ แต่คนคนนี้กลับไม่ตื่น
ในที่สุดหลงอีก็ถือตะหลิวของตัวเองออกไป
กู้เจียวแอบพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
นางไม่อยากโดนหลงอีเอาตะหลิวป้อนข้าวหรอกนะ
กลิ่นอายบนเตียงและหลงอีที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทำให้กู้เจียวมั่นใจว่าสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้ปลอดภัย
แอ๊ดดด
ประตูเปิดออกอีกครั้ง กู้เจียวหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ กลัวว่าหลงอีจะเข้ามาวุ่นอีก
สุดท้ายสิ่งที่ได้ยินกลับไม่ใช่เสียงฝีเท้าของหลงอี
กู้เจียวลืมตาขึ้นมา หันไปมองทางหน้าห้อง
เซียวเหิงสาวเท้าเดินมาข้างเตียง เห็นนางลืมตาอยู่จึงรีบถาม “ฟื้นแล้วหรือ”
“อืม” กู้เจียวส่งเสียงอืมออกมา
เซียวเหิงเดินมาข้างเตียง โน้มตัวลง ก่อนเอื้อมมือเรียวยาวดุจหยกไปลูบหน้าผากนาง “ไม่ร้อนแล้วนี่”
“ข้าหลับไปนานเท่าใดหรือ” กู้เจียวถาม
“สามวัน” เซียวเหิงบอก
“นานเพียงนั้นเชียว” กู้เจียวพึมพำ
“นี่เป็นบ้านที่อยู่ตรงถนนจูเชวี่ย ข้าบอกกับคนในบ้านว่าท่านแม่ข้าเจ็บหน้าอก เจ้ามาอยู่ดูแลนางที่นี่” เซียวเหิงนั่งลงบนม้านั่งข้างเตียง พินิจมองกู้เจียวอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “เจ็บตรงไหนหรือไม่”
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่มี แค่นอนนานไปหน่อยเลยอ่อนล้า”
“นอนนานก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ข้าพยุงเจ้านั่งดีกว่า”
เซียวเหิงช้าไปเสียแล้ว เพราะกู้เจียวกำลังจะลุกขึ้นนั่งเองแล้ว ร่างน้อยๆ ของกู้เจียวจึงชะงักค้างกลางอากาศ ดวงตานางขยับไหว แล้วนอนลงไปใหม่ “เหมือนจะไม่ค่อยมีแรงเลย”
เซียวเหิง “…”
เซียวเหิงพยุงคนบางคนที่ ‘ไม่มีแรง’ ขึ้นมา
นางสวมชุดนอนตัวบาง ปลายนิ้วและฝ่ามือเขาแทบจะสัมผัสได้ถึงความเนียนละเอียดของแขนนางได้
ขนตาเซียวเหิงกะพริบไหว ก่อนหยิบเบาะรองมารองหลังให้นาง แล้วหยิบเสื้อกันหนาวตัวบางจากในตู้เสื้อผ้ามาคลุมให้นาง
เป็นอาภรณ์ที่องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนหาช่างเย็บปักมาวัดตัวตัดเย็บให้กู้เจียว เต็มตู้เสื้อผ้าไปตั้งหลายตู้ เพียงแต่องค์หญิงซิ่นหยางไม่เคยบอก และไม่มีทางเป็นฝ่ายให้เองด้วย
“ขอบคุณยิ่ง” กู้เจียวสวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย
ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว อากาศจึงไม่ได้หนาวเหน็บถึงเพียงนั้นแล้ว แต่เพื่อให้กู้เจียวได้พักรักษาตัว ภายในห้องจึงยังเผาถ่านไร้ควันไว้อยู่
เสื้อกันหนาวหนึ่งตัวบนร่าง กู้เจียวก็คิดว่าพอจะให้ความอบอุ่นแล้ว
นางลูบลำคอโดยสัญชาตญาณ เจอยันต์ผาสุกที่ร้อยด้วยเชือกแดงเส้นหนึ่ง นางครางเครือขึ้นในลำคอ
เซียวเหิงมองยันต์ผาสุกบนลำคอนางพลางเอ่ย “ไม่ใช่เส้นเดิม เส้นนั้นหาไม่เจอแล้ว ท่านแม่ข้าจึงให้คนร้อยให้ใหม่”
ตอนนั้นโกลาหลวุ่นวายเกินไป ยันต์ผาสุกจึงผสมปนเปไปกับเลือด มืดมิดไร้แสงไฟ ซ้ำกู้เจียวก็ไร้สติ จึงไม่สะดวกจะหามัน
เซียวเหิงจึงส่งคนไปหา และจนใจที่ที่นั่นเสียหายหนักเกินไป ยันต์ผาสุกจึงแหลกลาญไปแล้ว
กู้เจียวจำหลังจากที่ยันต์สาผุกหล่นได้แบบกระท่อนกระแท่น นางรู้ว่าตัวเองฆ่ายอดฝีมือแคว้นเยี่ยนไป แต่หลังจากนั้นเล่า หลังจากนางนั้นทำอะไร
นางอ้าปาก “ยา…”
เซียวเหิงเอ่ย “ส่งถึงแล้ว เจ้าส่งยาเข้าเมืองหลวงไปแล้ว มอบให้กับองครักษ์เฝ้าเมืองเรียบร้อย เจ้าเจ็ดได้ถอนพิษเรียบร้อยแล้ว กำลังพักรักษาตัวที่ตำหนักคุนหนิงอยู่ รอเจ้าว่างข้าจะพาเขามาขอบคุณเจ้า”
กู้เจียวตั้งอกตั้งใจครุ่นคิด “จะขอบคุณแค่ปากเปล่าไม่ได้”
เซียวเหิงอดหัวเราะไม่ได้ เอ่ย “ได้สิ ให้ตำหนักคุนหนิงตอบแทนด้วยเงินทองหนักๆ เลย”
“องครักษ์หลงอิ่งขององค์หญิงซิ่นหยางเล่า” กู้เจียวจำได้ว่าพวกเขาโดนพิษแมลง
พูดถึงเรื่องนี้ เซียวเหิงก็คงไม่ภูมิใจกับนางไม่ได้ “ยาที่เจ้าเอากลับมาก็มียาถอนพิษแมลงอยู่ด้วย อาจารย์แม่หนานเซียงซือเหนียงช่วยพวกเขาถอนพิษที่ค้างในร่างกายออกหมดแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยอีก “แล้วแมลงของข้า…”
เซียวเหิงยิ้ม “อยู่ที่หนานเซียงซือเหนียง หนานเซียงซือเหนียงบอกว่าแมลงพันธุ์นั้นต้องเลี้ยงไว้ มิฉะนั้นจะตายในสองวัน นางจึงเลี้ยงไว้แทนเจ้าอยู่ เจ้าหายดีเมื่อใดนางจะเอามาให้”
กู้เจียวพยักหน้า
แบบนี้ดียิ่งนัก
กู้เจียว “ทวนพู่แดงของข้า”
เซียวเหิง “เอากลับมาแล้ว”
“แล้ว…” กู้เจียวยังอยากจะถามว่านางได้ทำร้ายใครหรือไม่ พอหันหน้าไปก็เหลือบไปเห็นแผลบนคอเซียวเหิงเข้าพอดี
เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ไม่ได้เกิดจากใบมีด แต่เป็นรอยฟันซี่เล็กๆ สองแถวสะดุดตาสุดๆ
กู้เจียวพลัน “…”
เซียวเหิงเห็นว่านางเห็นเข้าแล้วก็ไม่ได้รีบปิดบังอะไร เอ่ยเย้าหยอก “จำได้แล้วหรือ”
กู้เจียวก้มหน้ามองนิ้วมือ “ยัง”
เซียวเหิงยิ้มเอ่ย “แรงเยอะนัก”
กู้เจียวไม่ยอมรับท่าเดียว “ข้าเปล่า”
เซียวเหิงลุกพรวดขึ้น ก่อนโน้มตัวไปใกล้นาง กระซิบเบาๆ ข้างหู “คราวหน้ากัดที่อื่นนะ เพื่อนร่วมงานหัวเราะข้าใหญ่เลย”
กู้เจียวเกาหูตัวเอง “อืม”
เซียวเหิงหยอกเย้าได้พอสมควรก็หยุด อย่างไรเสียฝีมือเขาเองไม่ได้สูงส่งเท่าใด หากเย้าต่อไปคนที่หน้าแดงอาจเป็นเขาก็ได้
“ที่ครัวมีข้าวต้มข้าวฟ่าง ข้าจะไปยกมาให้”
“อืม”
……
“เอา”
“อืม เอาอีก”
“เด็กดี มากไปกลัวเจ้าจะรับไม่ไหว”
“ข้ารับไหว เอาอีก”
องค์หญิงซิ่นหยางเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าห้องกู้เจียวก็ได้ยินบทสนทนาที่ชวนคิดเลยเถิดเข้า ‘เอาอีก’ อะไรกัน ไหนจะ ‘มากไปกลัวเจ้าจะรับไม่ไหว’ นั่นอีก
กลางวันแสกๆ แท้ๆ ไม่ยับยั้งชังใจบ้างเลยรึ!
มิหนำซ้ำแม่หนูนั่นก็ยังบาดเจ็บอยู่ ทำตามอำเภอใจเช่นนี้จะดีรึ!
“ไม่รู้จักปิดประตูเสียบ้าง!”
องค์หญิงซิ่นหยางสูดหายใจลึก เดินมาด้านข้าง กำลังจะเอื้อมมือปิดประตูให้ทั้งคู่เงียบๆ
“ท่านแม่รึ”
เซียวเหิงดันเดินออกมา เขามององค์หญิงซิ่นหยางที่มีท่าทางแปลกๆ แอบอยู่ข้างประตูด้วยความแปลกใจ “นี่ท่านกำลังทำอะไรรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางปากอ้าตาค้างมองเซียวเหิงที่เสื้อผ้าอาภรณ์ครบถ้วน นางกะพริบตาปริบๆ ชะเง้อไปมองกู้เจียวที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยเสื้อผ้าเรียบร้อยดี จึงกระแอมขึ้นเบาๆ ถามอย่างไม่กระโตกกระตาก “ไม่มีอะไร ข้าแค่ผ่านมา จึงได้มาดู เมื่อครู่ประตูมีบางอย่างเกาะอยู่ ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” เซียวเหิงหันไปมองประตูเงาวับเหมือนใหม่
“เจ้า…” สายตาองค์หญิงซิ่นหยางตกลงบนชามเปล่าในมือเซียวเหิง “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังกินข้าวต้มกันหรือ”
เซียวเหิงเอ่ย “ชามที่สองแล้ว เจียวเจียวคงจะหิวหนัก”
ที่แท้ก็กินข้าวนี่เอง นางก็ว่าอยู่จะเอาอะไรไม่พอเสียที นึกว่าสองคนนี้จะเปิดบริสุทธิ์กันเสียแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงขรึม “เช่นนั้นก็อย่ากินต่อเลย!”
เซียวเหิงยิ้ม “ท่านแม่พูดถูก ท่านจะเข้ามาดูเจียวเจียวหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางมองชามเปล่าในมือเขา ก่อนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กินเก่งเพียงนี้ ยังต้องดูอีกรึ ข้ามาหาเจ้าต่างหาก”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่รู้ว่าใครมาดูตั้งสามสี่รอบอยู่ทั้งคืน”
“หุบปาก!”
องค์หญิงซิ่นหยางหน้าเย็นเยียบ พาคนบางคนมายังห้องหนังสือตรงปลายทางเดิน
มีหลงอีเฝ้าเรือนไว้ องค์หญิงซิ่นหยางจึงไม่ห่วงว่าจะถูกใครมาแอบฟัง
สองแม่ลูกนั่งลงตามกันมาในห้องหนังสือ
องค์หญิงซิ่นหยางส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา “สืบเจอตัวคนแคว้นเยี่ยนที่เข้าออกเรือนนั้นแล้ว เป็นที่ปรึกษาของตระกูลจวง แซ่เจี่ยง นามว่าเจี่ยงผิง ในนั้นระบุทะเบียนบ้านและประวัติความเป็นมาไว้อย่างชัดเจน เจ้าอ่านดูเอง”
เซียวเหิงแกะจดหมาย หลังจากอ่านอย่างละเอียดก็เอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยาง “เจี่ยงผิงเป็นคนของราชครูจวงหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “ถูกต้อง เป็นหนึ่งในคนสนิทของเขา ว่ากันว่าตอนนั้นแผนการมากมายที่จัดการจวนเซวียนผิงโหวก็มาจากคนสนิทคนนี้นี่ล่ะ”
เซียวเหิงวิเคราะห์ “ในเมื่อเป็นคนสนิทที่สำคัญเพียงนี้ ความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกคนนอกซื้อตัวไปก็ต่ำมากทีเดียว”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า “ราชครูจวงผู้นี้มักใหญ่ใฝ่สูง หลังจากที่หนิงอ๋องถูกกักบริเวณสถานเบาเขาก็ยังไม่ยอมรามือ ไปเยี่ยมหนิงอ๋องเป็นระยะๆ ดูผิวเผินเป็นการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างปู่หลาน แต่ความจริงแล้วกำลังเป่าหูให้หนิงอ๋องก่อกบฏ โชคดีที่หนิงอ๋องปลงตกแล้ว ไม่สนใจเขาเลยสักนิด”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “หนิงอ๋องไม่สนใจเขา ไทเฮาก็ไม่ปกป้องเขาอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ยอมถอดใจ”
องค์หญิงซิ่นหยางแค่นเสียงเย็น “นั่งอยู่บนเมฆมานาน ไม่อยากตกลงไปน่ะสิ ราชครูจวงทะเยอทะยานเกินไป ตระกูลจวงที่บอบช้ำสนับสนุนจิตใจทะเยอะทะยานของเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว”
เซียวเหิงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยถาม “แล้วแม่ทัพหนานกงคนนั้นมีที่มาอย่างไร”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “ในบรรดาสิบหกสกุลใหญ่แห่งแคว้นเยี่ยน ตระกูลหนานกงอยู่อันดับที่สิบเอ็ด ไม่รู้ว่าแม่ทัพผู้นี้มาจากตระกูลหนานกงหรือไม่ หากใช่ เช่นนั้นคู่ต่อสู้ของเราก็ไม่ธรรมดา อย่าคิดว่าตระกูลหนานกงอยู่ตั้งอันดับที่สิบเอ็ดเชียว แต่เกือบสามสิบปีมานี้แคว้นเยี่ยนทรงอิทธิพลที่สุดในบรรดาแคว้นเบื้องบน สุ่มตระกูลชนชั้นสูงจากแคว้นเยี่ยนมาสักตระกูลยังมองข้ามไม่ได้สักตระกูล แต่ว่าแคว้นเยี่ยนมีกฎหมายของแคว้นเยี่ยน ต่อให้เป็นตระกูลหนานกงก็ไม่อาจบุ่มบ่ามนำทัพมาหาเรื่องแคว้นเบื้องล่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ พวกเขาไม่กล้ามาอย่างโจ่งแจ้งหรอก ทีนี้เราก็มีแผนรับมือกับพวกเขาแล้ว”