สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 593-2 ปล่อยไม้ตาย (2)
บทที่ 593 ปล่อยไม้ตาย (2)
ทว่าเพราะการล้มครั้งนี้ หมอยาแคว้นเยี่ยนจึงได้ยินเสียงร้องโอดโอยเข้า เขาให้คนรับใช้มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
องครักษ์คนหนึ่งเจอองค์หญิงซิ่นหยางล้มอยู่ในคูน้ำหุบเขา ยามนี้เครื่องประดับศีรษะนางปลิวกระเด็นออกไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีหญ้าต้นหนึ่งเสียบอยู่บนศีรษะเป็นรังนก ฝุ่นโคลนเต็มตัวไปหมด เหมือนฮูหยินตกอับเสียจริงๆ
“มีคนล้มอยู่ตรงตีนเขาขอรับ” องครักษ์รายงาน
“ไปดูหน่อย” หมอยาแคว้นเยี่ยนเอ่ย
เมื่อหมอยาแคว้นเยี่ยนมาถึงตีนเขา ก็ให้องครักษ์ดึงตัวคนขึ้นมาจากคูน้ำในหุบเขา องค์หญิงซิ่นหยางใบหน้ามีแต่โคลน มองไม่เห็นสภาพเดิมแม้แต่น้อย
หมอยาแคว้นเยี่ยนย่อมมีฝีมือการแพทย์ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตเขาจึงไม่กล้าแตะต้องตัวนาง ทำเพียงจับชีพจรผ่านแขนเสื้อให้ง่ายๆ “สัญญาณชีพจรไม่ค่อยมีปัญหา ไม่ทราบว่ามีอาการบาดเจ็บภายในใดหรือไม่”
เขาเอ่ยพลางมองไปรอบๆ อวี้จิ่นกับหลงอีรีบหลบเข้ามาในรถม้า
รถม้าของพวกเขาแอบอยู่หลังแนวต้นไม้ใหญ่ ไม่เดินมาก็ไม่เห็น
หมอยาแคว้นเยี่ยนเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “พวกเจ้าไปเอาเปลหามมา แบกคนขึ้นรถม้าไปก่อน”
“ขอรับ”
องครักษ์สองนายไปเอาเปลมาจากรถม้า แล้วหามองค์หญิงซิ่นหยางไป
หมอยาแคว้นเยี่ยนเก็บสมุนไพรได้พอสมควรแล้ว เขาจึงขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วย
ด้านหน้ารถม้าคันนี้ไม่มีผ้าม่าน หน้าต่างด้านหลังก็เปิดอ้าไว้ ไม่เรียกว่าเป็นพื้นที่มิดชิด องค์หญิงซิ่นหยางจึงไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าใด
องค์รักษ์ “หมอยา เราจะไปไหนดีขอรับ”
หมอยาแคว้นเยี่ยน “ข้างหน้ามีศาลาพักม้า ไปศาลาพักม้าก็แล้วกัน”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่คาดคิดเลยว่ากลยุทธ์สาวงามของตัวเองจะไม่สำเร็จ มาสำเร็จได้ด้วยกลยุทธ์ทนทุกข์กาย
ทว่าก็ไม่เลว หลอกเขาให้ไปได้ก็พอ
เมื่อรถม้ามาถึงหอพักม้า องค์หญิงซิ่นหยางก็แสร้งสะลึมสะลือลืมขึ้นมา
ฝีมือการแสดงของนางสู้จี้จิ่วอาวุโสกับเซียวเหิงไม่ค่อยได้ แต่เก่งกาจกว่ากู้เจียวมากพอดู อย่างน้อยๆ ก็ไม่ติดๆ ขัดๆ ผนวกกับเดิมทีนางก็ล้มตึงไป จึงเรียกได้ว่าแสดงจากเรื่องจริง
“บ้านข้า…อยู่ข้างหน้า…”
นางเอ่ยเสียงอ่อนระโหย
ในเมื่ออยู่ข้างหน้า เช่นนั้นก็ไปส่งให้มันถึงที่เลยแล้วกัน
หมอยาแคว้นเยี่ยนให้คนไปข้างหน้าต่อ
ผลสุดท้ายเดินทางมาค่อนวัน…
หมอยาแคว้นเยี่ยนถาม “ฮูหยินท่านนี้ ข้างหน้าไหนหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางแสร้งเวียนหัว “กะ…ก็ข้างหน้านี้”
ไปต่ออีกค่อนวัน…
หมอยาแคว้นเยี่ยน “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้จำผิดทาง”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “แน่ใจ บ้านข้าอยู่ข้างหน้าจริงๆ…เป็นบ้านหลังหนึ่ง…เจ้าเลยมาแล้วกระมัง”
“ไม่นี่” หมอยาแคว้นเยี่ยนมองไปนอกหน้าต่าง
ขณะนั้นเอง จู่ๆ องครักษ์ที่ควบม้าติดตามมาก็ชี้ไปข้างหน้าพลางเอ่ย “หมอยา! ตรงนั้นมีบ้านคน!”
“นั่นใช่บ้านเจ้าหรือไม่” หมอยาแคว้นเยี่ยนมององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางหลับตาลง ‘สลบ’ ไปทันที
หมอยาแคว้นเยี่ยนถอนหายใจ “ช่างเถิด ไปถามก่อนแล้วกัน”
คนขับรถขับรถม้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพึมพำ “บ้านผู้ใดกัน…เหตุใดจึงมาสร้างใกล้สุสานเช่นนี้”
รถม้าจอดลง
องครักษ์คนหนึ่งลงจากรถม้าไปเคาะประตู
“มีใครอยู่หรือไม่ มีใครอยู่หรือไม่ พวกเราผ่านทางมา ฮูหยินของพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ!”
“ใช่ฮูหยินของพวกเจ้าหรือไม่”
“เฮ้ย! มีคนอยู่หรือไม่!”
องครักษ์ย้อนกลับมาอย่างแปลกใจ “หมอยาเหมือนจะไม่มีคนอยู่ขอรับ”
องค์หญิงซิ่นหยางหนังตากระตุก
ไม่มีคนอยู่อย่างนั้นรึ
หรือว่ามีคนอยู่แต่ไม่กล้าเปิดประตูกันแน่
“อาจเพราะว่าบ้านใหญ่โตเกินไป คนข้างในจึงไม่ได้ยิน พวกเราเข้าไปดูกัน”
“ขอรับ!”
“อย่าทำข้าวของเขาเสียหายล่ะ”
“ทราบแล้ว หมอยา”
องครักษ์ผลักประตูเรือนเปิดออก ประตูเรือนไม่ได้ลงกลอนจากข้างใน พวกเขาทำเช่นนี้ก็น่าจะไม่เรียกว่าบุกรุกเข้ามาหรอกกระมัง
“มีใครอยู่หรือไม่”
องครักษ์หาด้านในเรือนพลางตะโกนถามเสียงดัง
ทว่าเดินจนครบรอบออกมา องครักษ์ก็มึนงงเต็มสีหน้า “หมอยา ในบ้านไม่มีใครอยู่เลยสักคน!”
องค์หญิงซิ่นหยางลุกขึ้นมานั่ง “ไม่มีใครอยู่สักคนหมายความว่าอย่างไร”
หมอยามองนางอย่างนิ่งอึ้ง “เจ้าฟื้นแล้วรึ นี่ใช่บ้านเจ้าหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่สนใจความเมื่อยขบทั่วร่าง กัดฟันลงจากรถม้า นางเข้าไปในบ้าน พบว่าเป็นดังที่องครักษ์บอกจริงๆ ในบ้านว่างเปล่า ไม่เห็นเงาคนสักคน
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร คนไปไหนกันหมด”
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้วนิ่งอยู่กับที่ สมองแล่นอย่างรวดเร็ว นางนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีพระพักตร์พลันเปลี่ยน
“แย่แล้ว! ติดกับแล้ว!”
…
นอกเมืองหลวงมีคูเมืองอยู่แห่งหนึ่ง สามารถล่องเรือไปตามแม่น้ำได้ตั้งแต่ประตูเมืองฝั่งตะวันตกไปจนถึงประตูเมืองทางใต้ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว
นอกประตูเมืองใต้ เรือสินค้าหลายสิบลำกำลังทยอยเข้าฝั่ง
“เจ้าเป็นใคร” องครักษ์เฝ้าประตูขวางขบวนพ่อค้าเอาไว้
พ่อค้าที่นำหน้าแย้มยิ้ม หยิบหนังสือเบิกทางและทองคำหนักอึ้งถุงหนึ่งส่งให้เขา “ข้าน้อยทำกิจการร้านผ้า พวกนี้เป็นผ้าไหมที่ข้าน้อยขนส่งมาจากทางใต้ขอรับ”
องครักษ์รับทองคำมา เดินดูขบวนรถยาวเหยียดรอบหนึ่ง ก่อนสุ่มหยิบกล่องมาตรวจดูสองกล่อง เป็นผ้าไหมจริงๆ
“ผ้าไหมมากมายพวกนี้เป็นของเจ้าหมดเลยรึ”
“ขอรับ ของข้าหมดเลย”
“ต้องตรวจสอบรถทุกคัน”
“ได้ขอรับ ได้ขอรับ ท่านตรวจสอบได้เลย!”
รถม้าทุกคันที่เคลื่อนผ่านมา องครักษ์จะเลือกกล่องใบหนึ่งมาตรวจสอบ บ้างก็เป็นกล่องด้านบนสุด บ้างก็เป็นกล่องด้านล่างสุด ไม่ว่าจะสุ่มตรวจอย่างไรก็เป็นผ้าไหมทั้งสิ้น
“เอาละ ผ่านไปได้”
องครักษ์บอก
“ขอรับ!” พ่อค้าหน้าสุดยิ้มพลางนำขบวนสินค้าตัวเองเข้าเมือง
ทว่าบนโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ประตูเมือง มีชายชราและชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ในห้องปีกข้างชั้นสองติดถนน
ทั้งสองมองขบวนสินค้าบนถนนลอดหน้าต่าง
พ่อค้าที่นำหน้าพยักหน้าให้ชายชราโดยไม่กระโตกกระตาก
ชายชรายิ้มอย่างรู้กัน ดื่มชาอึกหนึ่ง ก่อนเอ่ย “องค์หญิงซิ่นหยางคงจะคาดไม่ถึงว่าเราจะใช้กลยุทธ์เมืองร้างกับนาง”
ชายชุดดำเอ่ยด้วยความพออกพอใจ “ราชครูจวงฉลาดเฉลียวแผนการลึกล้ำยิ่ง น่าเลื่อมใส”
ชายชราหรือราชครูจวงยิ้มพลางโบกมือ “แม่ทัพหนานกงชมเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพหนานกงเชื่อใจข้า บอกข้าเรื่องเซียวลิ่วหลังคือเซียวเหิง ข้าจะคิดได้หรือว่าต้องไปจับตามององค์หญิงซิ่นหยางไว้”
แม่ทัพหนานกงเอ่ย “องค์หญิงซิ่นหยางผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก นึกไม่ถึงว่าจะเดาสาเหตุได้ว่าเราลงมือในเมืองหลวงไม่ได้เพราะอะไร ซ้ำยังล่อทูตฉางเฟิงแคว้นเยี่ยนของพวกเราออกไปด้วย หากพวกเราไม่อพยพออกมาเร็ว ป่านนี้คงได้ถูกทูตฉางเฟิงพบเข้าแน่แล้ว”
ทูตฉางเฟิงรับใช้ราชวงศ์แคว้นเยี่ยน แม้ตระกูลหนานกงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์
ราชครูจวงเอ่ยอย่างโอหัง “ยามนี้นางล่อทูตฉางเฟิงออกไปแล้ว พวกเจ้าลงมือในเมืองหลวงได้แล้วล่ะ”
แม่ทัพหนานกงเอ่ยอย่างลุ่มลึก “ตัวตนของเซียวลิ่วหลังข้าไม่ได้บอกใครแม้แต่ฉินเฟิงเยียน แต่กลับบอกให้ราชครูรู้ และความจริงก็ยืนยันแล้วว่าข้าเดิมพันถูกคน ราชครูช่างเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมกว่าฉินเฟิงเยียนจริงๆ ”
ราชครูจวงหัวเราะ “ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนพวกนางเยอะ ร่วมมือกันกับข้า แม่ทัพหนานกงไม่มีทางผิดหวัง พวกเขาคิดว่าข้าไม่มีราชโองการแล้วจะสงบเสงี่ยมเสียแต่โดยดี เฮอะ คิดจะให้ข้าใช้ชีวิตลำบาก เช่นนั้นก็อย่าได้มีใครคิดจะมีวันคืนที่ดีเลย! ข้าอยากจะเห็นนักว่าหลังจากเซียวเหิงตกสู่เงื้อมมือข้าแล้ว ไทเฮาจะทำเช่นไร ฮ่องเต้กับเซียวเหิงอยู่ด้วยกันแล้ว ข้าอยากจะดูซิว่านางจะปกป้องคนไหน!”
“หากนางปกป้องฮ่องเต้ นางก็ทรยศตัวเอง ล่วงเกินตระกูลกู้ และล่วงเกินองค์หญิงซิ่นหยางกับเซวียนผิงโหว หากนางปกป้องเซียวเหิง นางก็เหมือนปลงพระชงม์ฮ่องเต้ หักหลังราชวงศ์และหักหลังทั้งแผ่นดิน!”
“องค์หญิงซิ่นหยางถูกจับตัวไว้นอกเมือง เซวียนผิงโหวทำศึกยังไม่กลับ แม่ทัพหนานกง นี่เป็นโอกาสทองที่เจ้าจะลงมือเชียวนะ แม้แต่ข้ายังช่วยเจ้าเลย!”
“คิดถูกจริงๆ ที่ร่วมมือกับราชครู” แม่ทัพหนานกงเอ่ยอย่างพอใจ “หลังจากสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าต้องการหัวของเซียวเหิง และนางเด็กผู้หญิงนั่น นางนั่นฆ่ายอดฝีมือข้าไปคนหนึ่ง ข้าจะล้างแค้นแทนเขา”
ราชครูจวงยิ้มบางพลางเอ่ย “วางใจได้ ล้วนเป็นของแม่ทัพหนานกงทั้งหมดนั่นแหละ!”