สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 594-3 หยิ่งผยอง! (3)
บทที่ 594 หยิ่งผยอง! (3)
ราชครูจวงยิ้มเยาะ “ขันทีคนสนิทของไทเฮา ฉินกงกง”
จากนั้นฉินกงกงและม้าก็ถูกทหารของแคว้นเยี่ยนดักไว้
พอนายพลส่งสัญญาณมือให้พวกเขา เหล่าหทารก็เปิดทางให้
ฉินกงกงลงจากหลังม้า จากนั้นก็หายใจหอบก่อนจะหันไปทางราชครูจวง “ไทเฮา…ไทเฮาทรงมีรับสั่ง…ว่าไม่ให้…ทำร้ายใคร…ขอ…ขอแค่พวกท่าน…ไว้ชีวิตเขา…ไทเฮา…จะยอมทำตาม…ข้อแปลกเปลี่ยนของท่าน…”
ราชครูจวงหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่เป็นคำของไทเฮาจริงๆ หรือเป็นคำสั่งเท็จของเจ้า”
“แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคนสั่งเองอยู่แล้ว!”
ทันใดนั้นปรากฏรถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาจากด้านหลังอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงที่สง่างามและทรงพลัง
แววตาของราชครูจวงขยับไหวเล็กน้อย
เขาอยู่ภายใต้ไทเฮามายาวนานหลายปี ไม่แปลกที่ความรู้สึกยำเกรงและหวาดกลัวนี้จะซึมลึกเข้าไปในกระดูกของเขา
แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างรวดเร็ว
เขาตัดขาดกับไทเฮามานานแล้ว และเขาก็ไม่ใช่อำมาตย์ของพระองค์อีกต่อไป
พอนายพลหนานกงแสดงสัญญาณ รถม้าของไทเฮาขับตรงเข้ามา และจอดอยู่ไม่ไกลจากราชครูจวงและนายพลหนานกง
คราวนี้เรียกได้ว่าไทเฮามาที่นี่คนเดียว นอกจากฉินกงกงแล้ว ยังมีขันทีอีกคนซึ่งไม่รู้กำลังภายในตามหลังมา
นายพลหนานกงมองดูรถม้าของจักรพรรดินีจ้วงด้วยรอยยิ้มแบบไม่เต็มใจ “พระพันปีแห่งแคว้นเจาทำให้ข้าประทับใจจริงๆ ”
เสียงของจวงไทเฮาดังขึ้น “ฉินกงกง!”
ฉินกงกงรับคำสั่ง จากนั้นเดินไปเปิดม่านรถม้า
ไทเฮานั่งอยู่ในรถม้าที่หรูหราและเรียบง่ายโดยไม่เกรงกลัวต่ออันตราย ตรัส “นายพลหนานกงแห่งแคว้นเยี่ยน เหตุใดเราไม่ทำข้อตกลงกันเล่า ท่านคิดเสียว่าเซียวเหิงตายที่นี่ในวันนี้และข้าสัญญาว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าท่านอีกในอนาคต ข้าสามารถสัญญากับท่านได้สามเงื่อนไข เงื่อนไขใดก็ได้”
นายพลหนานกงคลี่ยิ้ม “ท่านช่างเป็นคนใจกว้างจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่าน ท่านสามารถเพิกเฉยต่อหนิงอ๋อง หลานชายของท่าน แต่ใยท่านถึงหมกมุ่นอยู่กับการปกป้องคนนอกด้วยเล่า”
จวงไทเฮาไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ทั้งยังถามต่อ “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า หาใช่เรื่องที่ท่านควรกังวลไม่ คำถามเดียว ท่านยอมรับข้อตกลงนี้หรือไม่”
ราชครูจวงรีบแย้งขึ้นทันควัน “นายพลหนานกง อย่าไว้ใจนาง หากท่านปล่อยเซียวเหิงไป นางจะไม่ปล่อยท่านไปง่ายๆ แน่ นางสามารถสั่งกองทัพให้ทำลายท่าน ข้ารู้ว่าทหารของนายพลนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ข้าเกรงว่าอาจไม่พอที่จะต่อกรกับกองทัพแสนนายได้”
จวงไทเฮาตอกกลับอย่างเย็นชา “ท่านนายพลคิดว่าถ้าฆ่าเซียวเหิงแล้วข้าจะปล่อยให้พวกท่านลอยนวลออกไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างง่ายดายรึ หากนายพลหนานกงไม่เชื่อก็ลองดูได้ หากแตะต้องแม้แต่เส้นผมของเซียวเหิง ข้ารับรองเลยว่าจะให้พวกเจ้าทุกคนชดใช้กันถ้วนหน้า!”
นายพลหนานกงหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของผลลัพธ์นี้
จวงไทเฮารู้วิธีที่จะตบหัวแล้วลูบหลังเป็นอย่างดี จึงยังคงแน่วแน่ที่จะโน้มน้าวต่อ “นี่เป็นข้อตกลงที่ไม่ขาดทุน ไม่ว่าเซียวเหิงจะเป็นใคร เขาจะไร้ซึ่งตัวตนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เขาจะไม่ไปเหยียบที่ดินแดนแคว้นเยี่ยน ข้าเชื่อว่านายพลเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แม้ความภักดีของนายพลนั้นมีค่า แต่ชีวิตของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชามากมายนั้นไม่มีค่าเลยหรือ เหตุใดท่านไม่คิดถึงสถานการณ์ที่พวกเราจะได้เปรียบทั้งสองฝ่ายล่ะ นายพลไม่ต้องกังวลเลยว่าข้าจะผิดสัญญา ในเมื่อข้ารับปากแล้วย่อมไม่คืนคำ และเชื่อว่าท่านนายพลจะต้องเห็นประโยชน์ของมันอย่างแน่นอน”
“แม่ทัพหนานกง อย่าไว้ใจนาง นางเป็นน้องสาวของข้า ข้ารู้ว่านางมีนิสัยอย่างไร คนอย่างนางไม่เคยมีคำว่าสัจจะ!”
ราชครูจวงมิอาจทนเห็นจวงไทเฮาทำข้อตกลงกับนายพลหนานกงได้ เช่นนั้นตัวเขาก็จะหมดประโยชน์ในการต่อรอง
จวงไทเฮายังคงพยายามโน้มน้าวต่อ “ที่ท่านนายพลยังตัดสินใจไม่ได้ เป็นเพราะไม่เชื่อใจข้าอย่างนั้นหรือ ที่ข้าเดินทางมาที่นี่อย่างเด็ดเดี่ยว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ท่านเห็นถึงความตั้งใจของข้าอีกหรือ ตระกูลหนานกงถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบเอ็ดของแคว้น แม้ว่าแคว้นเจาของเราจะด้อยกว่า กระนั้นพวกเรามีฝีมือพอที่จะช่วยยกระดับตระกูลของท่านได้”
สายตาของนายพลจับจ้องไปที่ใบหน้าของเซียวเหิง
มือของเซียวเหิงถูกองครักษ์ของราชครูจวงมัดด้วยเชือก กระนั้น เขาก็ยังยืนนิ่งอย่างแน่วแน่ แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวและเหนื่อยล้า
แววตาคู่นั้น ช่างเหมือนกับของใครอีกคนยิ่งนัก
ภาพดวงตาคู่นั้นแวบขึ้นมาในห้วงความคิดของนายพลหนานกงจนความลังเลเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้า
เมื่อราชครูจวงเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ก็คว้าแส้ขึ้นมาแล้วฟาดลงไปบนผิวหน้าที่บอบบางของเซียวเหิง
รอยแดงปรากฏบนพวงแก้มข้างหนึ่งของเขา
จวงไทเฮาชักสีหน้า “จวงฉางเต๋อ เจ้าบ้าไปแล้ว!”
ฉางเต๋อคือนามของราชครูจวง
ชั่วชีวิตนี้จวงไทเฮาไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อนั่นมาก่อน
นายพลหนานกงก็ไม่พอใจเล็กน้อยเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะเซียวเหิงถูกเฆี่ยนตี แต่เพราะแส้นั้นทำให้คิ้วของเซียวเหิงเกิดบวมจนทำให้เขาสลัดความคิดภาพดวงตาคู่นั้นที่ห่างเหินจากความทรงจำของเขาไปได้
นายพลหนานกงเอ่ยเสียงเนิบ “เงื่อนไขที่ท่านเสนอนั้นน่าดึงดูดใจมาก แต่เกรงว่าข้าจะไม่สามารถร่วมมือกับท่านได้ อีกทั้ง ในเมื่อวันนี้ท่านได้รู้จักข้าแล้ว ข้าจึงไม่อาจไว้ชีวิตท่านได้”
“นายพลหนานกง” เซียวเหิงโพล่งขึ้น “คิดจะเป็นปรปักษ์กันจริงๆ รึ”
“ข้าไม่ได้จะเป็นศัตรูกับเจ้า แต่จะฆ่าเจ้าต่างหาก คนอย่างเจ้าไม่มีค่าใดทั้งสิ้นที่จะมาเป็นปรปักษ์กับข้า” นายพลหนานกงเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“นายพลหนานกง อย่ารังแกคนหนุ่มสาวตาดำๆ เลย” เซียวเหิงเอ่ย
ประโยคนี้ทำให้นายพลหนานกงผงะเล็กน้อย
แต่ไม่นาน เขาก็ยกมือให้สัญญาณ “ลงมือได้ อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว!”
ราชครูจวงอ้าปากค้าง “ท่านนายพล…”
องครักษ์หลงอิ่งนายหนึ่งสะบัดกริชขึ้นแล้วเล็งไปที่ศีรษะของเซียวเหิง!
ในตอนนั้นเอง มีเสียงบางอย่างดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ลูกธนูปริศนาพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วก่อนจะแทงทะลุกลางอกขององครักษ์หลงอิ่ง!
แรงของลูกธนูเจาะทะลุร่างคนไม่พอ ยังคงพุ่งตรงจนปักแน่นลงไปตรงพื้นด้านหน้าบริเวณที่แม่ทัพหนานกงอยู่ หางของลูกธนูยังคงแกว่งไปมา แสดงให้เห็นถึงความเร็วและรุนแรงของอาวุธ
ลูกธนูนี้ไม่ได้มีลักษณะทั่วไป มันทั้งยาวและมีหัวที่ใหญ่ อีกทั้งรอบๆ เต็มไปด้วยหนามแหลมราวกับสัตว์ดุร้าย
นายพลหนานกงตกตะลึงกับภาพที่เห็น!
เขาไม่เคยเจอลูกธนูที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน!
เขาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตบางอย่างที่เคลือบคลานเข้ามาใกล้ๆ และในวินาทีต่อมา พื้นดินใต้เท้าของเขาก็เริ่มสั่นสะเทือน ฝุ่นทรายถูกตีคลุ้งทั่วอากาศ
เหล่าม้าของพวกแคว้นเยี่ยนเริ่มมีอาการตกใจและวิ่งหมุนเป็นวงกลมอย่างกระสับกระส่าย
ตึง!
ตึง!
ตึง!
เสียงเกือกม้าจากระยะไกลเคือบคลานเข้าใกล้ราวกับเหล็กที่กระทบกับแผ่นหินที่เย็นชา พร้อมทั้งกระทบเข้าไปยังขั้วหัวใจ!
เห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นยังห่างไกลออกไป แต่รังสีแห่งการสังหารอันทรงพลังได้ปกคลุมท้องฟ้าไปแล้วราวกับทรายที่ปลิวว่อนในอากาศและก้อนหินที่กลิ้งเกลือกบนพื้นดิน!
ตึง!ตึง!ตึง!
ถึงมันจะไม่ใช่เสียงกลองของสงคราม แต่กลับฟังดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า!
เสียงทหารม้าดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
และแล้ว กองทัพทหารหุ้มเกราะสีดำสวมหน้ากากพร้อมหอกและโล่ในมือทั้งสองข้างก็ได้ปรากฏขึ้น แม้แต่หัวม้าก็ถูกสวมหน้ากาก
พวกเขาเป็นเหมือนยมทูตจากนรกที่มาพร้อมกับรังสีแห่งความตาย ทุกคนที่ได้ยลถึงกับต้องกลั้นหายใจด้วยความตกตะลึง!
สีหน้าของนายพลหนานกงเริ่มไม่สู้ดีแล้ว!
นี่มันกองทัพหน้ากากผีในตำนานมิใช่หรือ
แม้จะเรียกว่าหน้ากากผี แต่พวกเขาไม่ใช่ศพหรือวิญญาณแต่อย่างใด ที่ได้รับสมญานามเช่นนั้นเป็นเพราะการปรากฏตัวของพวกเขาให้ความรู้สึกน่ากลัวราวกับได้เห็นโลกวิญญาณ และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็สามารถกระชากศัตรูเข้าสู่ยมโลกและนรกทั้งเป็น
นายพลหน้ากากผีถือดาบยาวขนาดใหญ่กวาดร่างองครักษ์หลงอิ่งราวห้าสิบคนไปได้ในพริบตา ก่อนจะพุ่งตรงไปหานายพลหนานกงและราชครูจวง และเข้ามายืนบังร่างของเซียวเหิงอย่างไร้ซึ่งความลังเล!
ราชครูจวงเพ่งพินิจบุรุษภายใต้หน้ากากผีอย่างตั้งใจ ก่อนจะสูดปากลึก “เซวียนผิงโหว!”
เสร็จแล้วก็หันไปทางเซียวเหิงที่แววตาเรียบเฉยไร้ซึ่งความตระหนกตกใจ
แย่แล้ว!
หลงกลจนได้!
ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนี หรือแม้แต่กับดักที่สันเขา ล้วนเป็นละครตบตาทั้งสิ้น ตัวการที่แท้จริงคือเซวียนผิงโหวต่างหาก!
เซวียนผิงโหวถอดหน้ากากออก
รังสีอำมหิตที่แท้จริงได้แผ่ออกมาจากใบหน้าที่งดงามน่าทึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบุรุษหมายเลขหนึ่งของแคว้นเจา
“คิดจะเล่นงานลูกข้ารึ”
เซวียนผิงโหวชี้ไปที่ดาบยาว ยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “เป็นเจ้าที่ได้ใจเกินเหตุ หรือข้าเองที่ชักดาบไม่ทัน!”
*****************************