สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 606 ท่านพ่อ!
บทที่ 606 ท่านพ่อ!
เซวียนผิงโหวออกจากเพิงร้านน้ำชามาก็ยังอดนึกในใจไม่ได้ พวกชาวบ้านที่นี่ช่างมีน้ำใจไมตรีจริงๆ ดื่มชาก็ไม่คิดเงิน
เถ้าแก่ร้านน้ำชาเปิดแผงขายอยู่ที่นี่มาเจ็ดแปดปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็นลูกค้าขี้งกถึงเพียงนี้!
ให้มันได้เช่นนี้สิ!
พายุฝนเทกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย เร่งรุดเดินทางในสภาพอากาศเช่นนี้ช่างอันตรายและลำบากอย่างยิ่ง
แน่นอนว่านั่นมันสำหรับคนอื่น เซวียนผิงโหวเป็นขุนพลนักรบ เคยเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายกว่ายามนี้ในสนามรบอีก เรื่องแค่นี้ไม่มีทางขัดขวางเขาได้
เซวียนผิงโหวสวมเสื้อกันฝนที่ทำจากหญ้าหนวดมังกรตัวหนาเอาไว้ สวมหมวกสาน ขี่ม้าพันธุ์ดีตัวสูงใหญ่ของตัวเอง
เขาตบหัวม้าไปมา ก่อนจะทอดมองฝนห่าใหญ่ดุจม่านน้ำตกพลางเอ่ย “ตาเฒ่านั่นใกล้จะตายแล้ว จะปล่อยให้เขาตายไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
ม้าคล้ายสัมผัสได้ถึงไอสังหารและการตัดสินใจของผู้เป็นนาย มันร้องขึ้น พร้อมกับยกขาหน้า ฮ่อตะบึงไปท่ามกลางสายฟ้าโดยไม่คิดชีวิต
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเซียวเหิงเดินที่ทางไกลมาทั้งวัน ย่ำค่ำก็มาถึงเพิงน้ำชาที่เซวียนผิงโหวเคยหยุดพักในที่สุด
เมื่อตกค่ำเพิงร้านน้ำชาก็จะเก็บแผงแล้ว จนใจที่ฝนแรงเกินไป พวกลูกค้าจึงกลับกันไม่ได้ เถ้าแก่ร้านก็กลับบ้านไม่ได้เช่นกัน
ในร้านน้ำชาผู้คนแน่นขนัดไปหมด ราคาน้ำชากับอาหารก็พุ่งพรวด ซาลาเปาลูกละสองเหวินขึ้นมารวมเป็นสิบเหวิน
รถม้าควบแล่นท่ามกลางสายฝน หลิวเฉวียนสวมเสื้อกันฝน ดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่รอมร่อแล้ว เขาเอ่ย “ลิ่วหลัง ทางนั้นมีเพิงร้านน้ำชาอยู่ จะไปพักสักหน่อยหรือไม่”
เซียวเหิงจ้องมองพลางเอ่ย “ท่านลุงหลิว รบกวนเดินทางต่อดีกว่า”
หลิวเฉวียนดึงบังเหียนแน่น พลางเอ่ย “ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า! เดินทางมาทั้งวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวเหิงเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร เช่นนั้นก็เดินทางต่อเถิด”
“เฮ้อ”
“ช้าก่อน” เซียวเหิงโพล่งขึ้น “หยุดก่อน”
หลิวเฉวียนหยุดรถม้าลง “เป็นอะไรไปรึ”
เซียวเหิงมองแผนที่ในมือ แล้วมองทางแยกตรงหน้า ก่อนเอ่ย “ข้างหน้ามีทางแยก ไม่รู้ว่าเขาไปทางเส้นไหน”
ถนนสองเส้นนี้สามารถไปโผล่ถนนหลวงใกล้ๆ หมู่บ้านซีสุ่ยได้ทั้งคู่ แต่สถานการณ์บนถนนแตกต่างกัน เวลาที่ใช้บนถนนจึงแตกต่างกัน
เซียวเหิงอ่านตำราภูมิศาสตร์ของแคว้นเจาจนคุ้นเคยแล้วถึงได้รู้สถานการณ์พวกนี้ดี เซวียนผิงโหวกลับไม่ค่อยได้ไปเขตปกครองของเหลียงอ๋องเท่าใดนัก คงไม่รู้ว่าเส้นทางไหนใกล้กว่าเป็นแน่
“ไปลองถามที่ร้านน้ำชา” เซียวเหิงบอก
“ขอรับ!”
หลิวเฉวียนขับรถม้าไปที่ร้านน้ำชา
เถ้าแก่ร้านกำลังต้มน้ำอยู่ เห็นรถม้ามาจอดข้างตัวเอง ก็เอ่ยโดยไม่คิดสักนิด “เต็มแล้ว ไม่มีที่ พวกเจ้าเดินทางไปต่อเถิด สี่แยกฝั่งตะวันออกมีหอพักม้า”
เซียวเหิงเลิกม่านขึ้น มองไปทางเถ้าแก่ร้านน้ำชาโดยมีสายฝนขวางกั้น “รบกวนหน่อยเถิด ข้าอยากถามหาคนผู้หนึ่ง วันนี้มีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตารูปงาม อายุราวๆ สามสิบต้นๆ ผ่านทางมาที่นี่หรือไม่”
เซวียนผิงโหวไม่ได้อายุสามสิบต้นๆ แต่เขาหน้าตาอ่อนกว่าวัยยิ่งนัก แม้จะสามสิบต้นๆ ยังคงมีมาดของความเป็นผู้อาวุโสอยู่
เถ้าแก่ร้านน้ำชาเติมฟืนใส่เตา ก่อนตอบไป “มากันตั้งหลายคน เจ้าหมายถึงคนไหนเล่า”
เซียวเหิงอยากจะบอกว่าคนที่หล่อที่สุดน่ะ แต่ชายชาตรีอย่างเขาค่อนข้างพูดไม่ออก หน้าตารูปงามก็เป็นขีดจำกัดที่เขาสามารถเค้นลอดไรฟันออกมาได้แล้ว
เซียวเหิงครุ่นคิด แววตาขยับไหว ก่อนเอ่ยถาม “คนที่ขี้เหนียวเป็นพิเศษมีหรือไม่”
“อ๊ะ! เจ้าหมายถึงเขาน่ะรึ!” เถ้าแก่ร้านน้ำชาพลันพลุ่งพล่านขึ้นทันที พ่นวาจาออกมาเป็นชุดดุจแม่น้ำฮวงโหที่ไหลหลั่งไม่ขาดสาย!
“ข้าเปิดแผงร้านน้ำชามาทั้งชีวิตยังไม่เคยเห็นใครตระหนี่ถี่เหนียวได้ถึงเพียงนี้เลย! ให้มาแค่เหรียญกษาปณ์เหรียญเดียว! เหรียญเดียวเองเจ้าเชื่อหรือไม่!”
“พวกขอทานเขายังให้ข้าสองเหรียญเลย”
“…”
เซียวเหิงได้รับการพ่นวาจาฟ้องร้องที่ไม่ควรจะได้รับในช่วงวัยนี้เป็นชุด
“แล้วเขาไปทางไหนรึ” เซียวเหิงถาม
“ทางนั้น!”
เถ้าแก่ร้านน้ำชาโบกมือชี้ไปอย่างโมโห
“ขอบคุณมาก” เซียวเหิงปลดผ้าม่านลง ก้มหน้ากางแผนที่ “ท่านลุงหลิว ออกเดินทาง”
เถ้าแก่ร้านน้ำชางงเป็นไก่ตาแตก
เดี๋ยวสิ มาถามข้อมูลกันแล้วก็ไปน่ะรึ
ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็ซื้อซาลาเปาสักสองลูกค่อยไปสิ!
“ช้าก่อน!” เถ้าแก่ร้านน้ำชาเรียกรถม้าของเซียวเหิงไว้
เซียวเหิงเลิกม่านขึ้น “ไม่ทราบว่ายังมีธุระใดอีกหรือ”
เถ้าแก่ร่านน้ำชาคว้าซาลาเปาสองลูกยื่นให้เขา แล้วยกมือพลิกหงายขึ้น
ห้าสองมือ ก็คือสิบ
เซียวเหิงไม่มีอารมณ์จะกินอะไร จึงไม่อยากรับไว้ แต่เถ้าแก่ก็จะให้มาให้ได้ เขาจึงต้องฝืนใจรับไว้
เขารับซาลาเปามาก็โบกมือให้เถ้าแก่ร้านน้ำชา “ขอบใจมาก ไว้เจอกันใหม่”
จากนั้นก็ไปเลย
เถ้าแก่ร้านน้ำชา “…!!” อีกครา
เขามองมือที่ชะงักค้างกลางอากาศของตัวเอง แล้วมองซาลาเปาที่ถูกเอาไปแล้ว
ข้าหมายความเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า!
……
สายฝนเทกระหน่ำแรงสุดๆ ม้าวิ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จำต้องค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ
“ท่านลุงหลิว หากฝนตกหนักเช่นนี้ตลอด ยามนี้เขาจะก็น่าจะมาถึงแค่ตรงนี้สิ” เซียวเหิงชี้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแผนที่ “หมู่บ้านหยางหลิ่ว”
หลิวเฉวียนไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก เขาไม่เคยไปเมืองผิงเล่อมาก่อน ระหว่างทางมานี้เซียวเหิงเป็นคนบอกทางทั้งนั้น
เขาถาม “เช่นนั้นเขาอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไกลหรือไม่ หากไม่ค่อยไกล บางทีอาจจะไม่ทันโดนดินโคลนถล่มก็ได้”
เซียวเหิงเอ่ย “หากเป็นคนอื่นมาทางนี้ก็คงไม่ทันแน่”
แต่เขาเป็นเซวียนผิงโหว
ต่อให้เบื้องหน้าอันตรายกว่านี้ เขาก็จะหาเส้นทางไปยังจวนเหลียงอ๋องจนได้
หลิวเฉวียนได้ยินความกังวลของเซียวเหิง เขาก้มหัวลอบถอนหายใจ ก่อนถาม “เช่นนั้นพวกเราจะตามเขาทันหรือ”
ยากมาก
นี่คือความเป็นไปได้ที่เซียวเหิงวิเคราะห์ออกมาจากเส้นทางทุกสายในแผนที่
“ไปอีกทาง” เซียวเหิงบอก
“ได้” หลิวเฉวียนขับรถม้าไปยังทางสายเล็กฝั่งตรงข้าม
ถนนเส้นนี้ไกลกว่าเส้นที่เซวียนผิงโหวเลือกไป แต่ไม่ขรุขระ สถานการณ์บนถนนดีกว่าถนนเส้นนั้น
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนแค่สองชั่วยามก็สุดถนนเส้นนี้แล้ว แต่พวกเขากลับเดินทางกันทั้งคืน
โชคดีที่เซียวเหิงให้หลิวเฉวียนเปลี่ยนเป็นม้าศึกที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพทหารองครักษ์เสียก่อน ไม่อย่างนั้นยามนี้พวกเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ม้าคงได้เหนื่อยตายก่อน
ฟ้าสางแล้ว ทว่าฝนยังคงเทกระหน่ำ ทั่วทั้งเมืองผิงเล่อแทบจะไม่เห็นแสงตะวัน
เซียวเหิงขมวดคิ้ว “พวกเรายังไม่ถึงหมู่บ้านหยางหลิ่วอีกหรือ”
ความเร็วของเซวียนผิงโหวเร็วกว่าพวกเขา หากดูจากความเร็วเช่นนี้ ค่อนคืนหลังต้องไปถึงจุดเกิดเหตุแล้ว
เซียวเหิงเลิกม่านขึ้น เอ่ยกับหลิวเฉวียน “ท่านลุงหลิว พวกเราทะลุผ่านป่าทางฝั่งเหนือไป จะไปโผล่ใกล้ๆ หมู่บ้านซีสุ่ยได้”
หลิวเฉวียนตกใจ “ทะลุผ่านป่าอย่างนั้นรึ แบบนั้นไม่ได้หรอก รถม้าผ่านไม่ได้!”
เซียวเหิงเอ่ย “ทิ้งรถม้าไว้ ขี่ม้าไปแทน”
หลิวเฉวียนไม่เห็นด้วย เอ่ย “บาดแผลเจ้าขี่ม้าได้รึ”
เซียวเหิงหยิบชุดกันฝนออกมาจากใต้รถ แล้วหยิบหมวกสานขึ้นมาใส่ “ข้าแค่บาดเจ็บภายนอก ไม่ได้ถึงเอ็นถึงกระดูก ไม่เป็นไรหรอก”
บาดเจ็บภายนอกก็ตากฝนไม่ได้อยู่ดี!
อีกอย่าง ต่อให้ถึงเอ็นถึงกระดูก เจ้าจะยอมหยุดรึ
หลิวเฉวียนเถียงสู้เขาไม่ได้ จำต้องทิ้งรถม้าไว้ข้างทาง โชคดีที่รถม้าพ่วงด้วยม้าสองตัว ทั้งคู่จึงขี่ม้าคนละตัวไปทางป่า
เส้นทางที่เซวียนผิงโหวใช้ไม่ค่อยราบรื่นนัก เขาเลือกทางที่ใกล้ตามแผนที่แล้วแท้ๆ แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย
เซวียนผิงโหวมองสะพานไม้ที่ถูกฝนถล่มหัก ก็พลันรู้สึกเข็ดฟันขึ้นมา
ข้างล่างไม่ใช่ธารน้ำเล็กๆ แต่เป็นน้ำใหญ่ไหลเชี่ยวราวกับน้ำป่าไหลหลาก
เซวียนผิงโหวลูบหัวม้า มองสะพานขาดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ก่อนเบี่ยงทิศทางกลับ ราวๆ ห้าสิบก้าวเขาก็หยุดลง แล้วเบนกลับมาทางเดิม แววตาคมกริบขึ้นมา “ย่าห์!”
ม้ายกขาหน้าขึ้นควบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้จะถึงสะพานขาด สองเท้าเซวียนผิงของก็หนีบท้องม้าไว้ แล้วดึงบังเหียนอย่างแรง!
เมื่อม้าเจอกับกระแสน้ำเชี่ยวก็ไม่มีท่าทีจะถอย กระโจนทะยานตัวข้ามสะพานขาดไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย!
“เก่งมาก” เมื่อถึงพื้น เซวียนผิงโหวก็ลูบมัน “ไปต่อ!”
ผ่านหมู่บ้านข้างหน้าไปก็จะเป็นถนนหลวงที่มุ่งไปถึงจวนเหลียงอ๋องได้แล้ว
เหล่าเหลียงอ๋อง ชะตาเจ้าถึงฆาตแล้ว
…
“ลิ่วหลัง! เจ้าช้าหน่อยสิ!”
หลังจากล้มลงไม่รู้กี่รอบ หลิวเฉวียนก็ใกล้หมดแรงแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขาแม้แต่ม้าก็ยังไม่ยอมเดินต่อ พวกเขาจำต้องจูงม้าเดินทางอย่างยากลำบาก
“เจ้าดูสิ! ถึงแล้ว!”
เซียวเหิงชี้หมู่บ้านที่ฝนตกชุก “นั่นหมู่บ้านซีสุ่ย!”
“มีหรือ”
ฟ้ามืดเกินไป ฝนก็ตกหนักมาก ตะเกียงของหลิวเฉวียนแทบจะส่องบริเวณสายตาได้ไม่ไกล
พวกเขาเดินทางกันตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้แล้วว่าตอนนี้มันชั่วยามที่เท่าใด เขารู้แค่ว่าตัวเองเดินไม่ไหวแล้ว
“น่าจะใกล้ยามจื่อแล้ว” เซียวเหิงหอบแฮกๆ พลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก รอข้าอยู่ตรงนี้แหละ”
“แบบนั้นมันได้ที่ไหน…ไม่ได้…” หลิวเฉวียนนั่งลงกับพื้น
เซียวเหิงคว้าตะเกียงมาจากมือเขา ก่อนจะเดินไปทางหมู่บ้านตัวเปล่า ไม่ได้จูงม้าไปด้วยแล้ว
“ละ…ลิ่วหลัง…” หลิวเฉวียนไม่มีแม้แต่แรงจะเรียกแล้ว
ชาวบ้านในหมู่บ้านอพยพกันแล้ว เอาอาหารไปได้ก็เอาไป หมู่บ้านจึงว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียว
เขาทะลุจากในหมู่บ้านเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากถนนหลวงไกลๆ
เป็นเขา!
เป็นเซวียนผิงโหว!
เซียวเหิงอยู่ห่างจากถนนหลวงไกลมาก กว่าจะวิ่งมา ม้าก็วิ่งไปไกลแล้ว
เขาจำต้องวิ่งฝ่าฝนไปข้างหน้า พลางร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง “หยุดก่อน! หยุดก่อน!”
เสียงห่าฝนดังกระหึ่มกลบทุกสรรพเสียงมิด แม้แต่เสียงเกือกม้าใต้ร่างยังแผ่วลง นับประสาอะไรกับเสียงคนจากที่ไกลๆ
ทว่าเซวียนผิงโหวยังได้ยินอยู่แว่วๆ ไม่ค่อยเหมือนจริงเท่าใดนัก
มีคนกำลังพูดอยู่รึ
มีคนกำลังเรียกเขารึ
เหมือนจะเป็น…เสียงลูกชาย
แล้วเซวียนผิงโหวก็หัวเราะ ลูกชายเขาอยู่ที่เมืองหลวง จะมาที่นี่ได้อย่างไร
ตนคงหูแว่วไปแน่นๆ
“ย่าห์!”
เขาตวาดขึ้น
เซียวเหิงตาปริบๆ มองหนึ่งคนหนึ่งม้าควบผ่านหน้าตัวเองไปบนถนนหลวง
เขารู้สึกจะหายใจไม่ออก
เซวียนผิงโหวเห็นตะเกียงในมือเขา แต่เซวียนผิงโหวไม่ได้หยุดชะลอ เขาไม่มีทางหยุดแวะข้างทางให้คนแปลกหน้าอยู่แล้ว
เซียวเหิงมองเทือกเขาโอนเอนใกล้จะถล่มลงมา หินบนภูเขาร่วงกราวลงมาแล้ว เขาแทบจะได้ยินเสียงเคลื่อนตัวถล่มภายในภูเขา
เขามองเงาแผ่นหลังสูงใหญ่ที่มุ่งหน้าไปทางเทือกเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ในใจมีเสียงหนึ่งที่ทะลุพันธนาการอันหนาแน่น
“ท่านพ่อ…”
************