สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 607 ยอมรับซึ่งกันและกัน (1)
บทที่ 607 ยอมรับซึ่งกันและกัน (1)
สายฝนกระหน่ำกลบเสียงของเขาจนมิด
ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไร เงาร่างของเซวียนผิงโหวก็หายไปในม่านฝนแล้ว
ในที่สุดเรี่ยวแรงทั้งร่างของเซียวเหิงก็หมดลง เขาทรุดนั่งลงกลางแอ่งน้ำข้างถนนหลวง ห่าฝนเทกระหน่ำซัดสาดแผ่นหลังเขาอย่างไร้ปรานี
เขากำก้อนหินข้างทางแน่น
สายฝนเย็นเยียบไหลเข้าตาเขา ก่อนจะกลายเป็นความอุ่นร้อนออกมาทั้งสาย
สุดท้ายเขาก็ห้ามอีกฝ่ายไม่ทัน
อีกฝ่ายก็ไปอยู่ดี
ที่แท้คนบางคน เรื่องบางเรื่อง เมื่อคลาดกันแล้วก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่อีกฝ่ายไม่รักและทะนุถนอมลูกชายอย่างตนคนนี้ให้ดี แต่เป็นลูกชายคนนี้ไม่ได้รักและทะนุถนอมพ่อให้ดีต่างหาก
เขาไม่มีโอกาส…เรียกอีกฝ่ายว่าพ่ออีกแล้ว
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
เสียงคุ้นหูดังขึ้นเหนือศีรษะ เซียวเหิงสะดุ้งโหยง นึกว่าตัวเองหูแว่ว แต่ก็ยังเงยหน้าขึ้นไปอย่างงุนงง
เขาเห็นเซวียนผิงโหวในชุดคลุมกันฝน สวมหมวกสาน ขี่บนหลังม้าพันธุ์ดีตัวสูงใหญ่ที่เคยร่วมติดตามเขาออกศึกด้วย
เซวียนผิงโหวมองลงมาจากหลังม้า ก่อนถามอีก “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
เซียวเหิงกำมือที่กดอยู่ในแอ่งน้ำแน่น ในใจพลันอุ่นวาบ ความเศร้าโศกเสียใจพลันหายไป เขาหันหน้าหนี แค่นเสียงเอ่ย “มะ…ไม่มีอะไร”
“ไม่มีเช่นนั้นข้าไปแล้วนะ” เซวียนผิงโหวเอ่ยจบก็ดึงบังเหียนหันหัวม้าไปอีกทาง
“ทะ…ท่านพ่อ!”
เซียวเหิงกัดฟันเอ่ยขึ้น
เซวียนผิงโหวมุมปากหยักยก พาม้าวนกลับมา แล้วมองบุตรชายตัวเองอย่างลำพอง “ไล่ตามมาหลายร้อยลี้ก็เพื่อมาเรียกข้าว่าพ่อคำเดียวนี่น่ะรึ”
“หนึ่งร้อยสิบสามลี้ต่างหาก”
ไม่ได้หลายร้อยลี้เสียหน่อย
เซียวเหิงเอ่ยแก้เขาด้วยความเข้มงวดและขุ่นเคือง
เซวียนผิงโหวยิ้มเสียน่าเตะ เขาโน้มตัวลงพลางยื่นมือไปหาเซียวเหิง
เซียวเหิงเหนื่อยล้าจนตัวอ่อนยวบ ยามนี้ลุกไม่ไหวแล้ว
แรงจะยกมือขึ้นยังไม่มี แต่เซียวเหิงไม่อยากสนใจเขา
เซวียนผิงโหวหน้าด้าน ลูกชายไม่สนใจ แต่เขาสนใจลูกชายก็ได้นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่ลูกชายเรียกพ่อแล้วด้วย ช่างเป็นเด็กดีนัก
เซวียนผิงโหวคว้าแขนเซียวเหิงดึงตัวขึ้นมาบนหลังม้ามันเสียเลย จากวรยุทธ์ของเขาต่อให้ได้รับบาดเจ็บก็สามารถหิ้วตัวชายวัยผู้ใหญ่ได้สบายๆ
สองคนพ่อลูกขี่ม้าตัวเดียวกัน เซียวเหิงนั่งอยู่ข้างหลัง
ขณะนี้สองพ่อลูกนับว่ายอมรับกันอย่างแท้จริงแล้ว
เซวียนผิงโหวอารมณ์ดีขึ้นมา มุมปากหยักยกขึ้นจนกดไม่ลง “ข้าจะไปฆ่าคน เจ้าจะไปด้วยกันกับข้าหรือให้ข้าไปส่งเจ้าในหมู่บ้านข้างล่างหลบฝนก่อน”
เซียวเหิงสะดุ้งโหยง เจ้าไปตายเองยังจะลากข้าไปด้วยอีก! เจ้ามีความแค้นต่อลูกชายแท้ๆ เพียงใดกันแน่!
“ไปไม่ได้” เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าไม่ให้ใครรู้หรอกว่าข้าเป็นคนฆ่า” เซวียนผิงโหวไม่ได้บอกทันทีว่าเขาจะไปฆ่าใคร แต่เขาเดาได้ว่าลูกชายน่าจะรู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ไล่ตามมาถึงเขตปกครองของเหลียงอ๋องหรอก
เซียวเหิงเอ่ย “ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่อีกไม่นานข้างหน้าจะมีภูเขาถล่ม และเกิดดินโคลนไหล ถนนหลวงทั้งสายข้างหน้ารวมถึงหมู่บ้านข้างล่างนั่นจะถูกภูเขาและดินโคลนถล่มกลบหมดเลย”
เซวียนผิงโหวถาม “เจ้าได้ยินใครเขาพูดมา”
เซียวเหิงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าเป็นขุนนางสำนักฮั่นหลิน ข้าอ่านตำหรับตำราภูมิศาสตร์มานักต่อนักแล้ว และรู้วิธีการสังเกตดวงดาวด้วย”
เซวียนผิงโหวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “สังเกตปรากฏการณ์ดวงดาวยามราตรีน่ะรึ นั่นไม่ใช่หน้าที่ของโหรหลวงหรือไร”
“ข้าก็ทำเป็นเช่นกัน” เซียวเหิงคุยโวโดยไม่กระดากอาย
เซวียนผิงโหวหัวเราะ “ลูกชายข้าช่างเก่งกาจเสียจริง”
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นน้ำเสียงเอาใจเด็กน้อย
เซียวเหิงได้ยินก็รู้ทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อตนจริงๆ แต่เขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถบุกฝ่าไปได้
ความร้ายกาจของภัยพิบัติครานี้อยู่ที่ไร้ซึ่งลางบอกเหตุล่วงหน้า ยามที่ภูเขาเริ่มเคลื่อน ความจริงนั้นครึ่งยอดเขาได้พังถล่มจากด้านในแล้ว
เซียวเหิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าบอกว่าห้ามไปก็คือห้ามไป!”
เซวียนผิงโหวหันกลับมาเล็กน้อย เอ่ยอย่างจนใจ “อาเหิง อย่างอแง”
เซียวเหิงจะงอแง “ข้าบาดเจ็บนะ ไม่อยากขี่ม้า ไม่อยากตากฝน!”
เซวียนผิงโหวมองหมู่บ้านข้างล่าง เซียวเหิงรีบเอ่ย “คนในหมู่บ้านอพยพกันออกไปหมดแล้ว ไม่มีหมอ”
สุดท้ายเซวียนผิงโหวก็พ่ายแพ้ “ก็ได้ ข้าจะไปส่งเข้าที่โรงพักม้าก่อน”
เขาจำได้ว่าย้อนกลับไปสิบลี้มีโรงพักม้าเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง
เซียวเหิงลอบคำนวณความเร็วกับระยะทางในใจ ไปถึงที่นั่นแล้วจะถ่วงเวลาอีกนิดก็น่าจะรอดพ้นภูเขาถล่มได้แล้ว
เขาจึงไม่คัดค้าน
เซวียนผิงโหวขี่ม้าพาลูกชายย้อนกลับไป
สมกับเป็นม้าของท่านโหวยอดขุนพล หากเป็นม้าตัวอื่นคงตกใจจนไม่กล้าขยับแล้ว แต่มันยังสามารถกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขได้อีก เพิ่มคนมาคนหนึ่งก็ไม่มีปัญหา
ครั้งล่าสุดที่เซียวเหิงนั่งม้าของเซวียนผิงโหวก็เป็นตอนเด็กๆ นู่น เขานั่งอยู่ข้างหน้า ร่างเล็กๆ ถูกเซวียนผิงโหวกอดไว้ในอก
เซวียนผิงโหวมักจะคิดว่าพ่อเป็นเสือ ลูกย่อมไม่เป็นหมา เขาเป็นเสือ ลูกชายเขาก็ต้องเป็นเสือเช่นกัน!
ม้าตัวนั้นสูงกว่าคนเสียอีก เซียวเหิงตัวน้อยผู้น่าสงสารขี่ม้าครั้งแรก สะเทือนใจจนสงสัยในชีวิต ร้องไห้จ้าละหวั่นขึ้นมา!
ก็ได้องค์หญิงซิ่นหยางนี่ล่ะรีบมาช่วยเซียวเหิงน้อยลงจากหลังม้าได้ทันเวลา ตั้งแต่นั้นมาเซียวเหิงน้อยก็ไม่กล้าขี่ม้าอีกเลย
“เจ้าขี่ม้าเป็นตั้งแต่เมื่อใด ช่วงตอนที่อยู่ในชนบทหรือ” เซวียนผิงโหวถาม
นี่เป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกคุยเรื่องเมื่อช่วงนั้นขึ้นมาอย่างจริงจัง เซวียนผิงโหวน่ะเคยถามมาแล้ว แต่เซียวเหิงไม่เคยตอบเขาเลยสักครั้ง
คืนนี้เขาตอบแล้ว “อืม เรียนกับพี่ใหญ่”
เซวียนผิงโหวเอ่ย “พี่ใหญ่เจ้า…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไป
เซียวเหิงเอ่ยเสียงเบา “ชื่อว่าเซียวซู่”
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้ว “เขาแซ่เฉิงมิใช่หรือ ชื่อ…เฉิง…โก่วตั้นอะไรนี่ล่ะ”
“โก่วตั้นเป็นชื่อเล่น” เซียวเหิงเอ่ย “พี่ใหญ่เปลี่ยนชื่อแล้ว”
เฉินอวิ๋นเหนียงเปลี่ยนให้ หลังจากที่บิดาของเฉิงซู่ตายคนตระกูลเฉิงก็มาหาเพื่อพาเฉิงซู่กลับไปให้บ้านลุงของเขาเลี้ยง เพราะบ้านลุงเขาไม่มีลูกชาย
เฉินอวิ๋นเหนียงหักใจไม่ลง เฉิงซู่ก็ไม่อยากจากมารดาไปจึงตัดขาดสายเลือดกับตระกูล
ม้าควบไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ เซวียนผิงโหวก็โพล่งขึ้น “เรื่องในตอนนั้น…ขอโทษนะ”
เซวียนผิงโหวเป็นคนหน้าด้านหน้าทน แต่ไม่ได้หมายความเขาจะพูดอะไรออกมาก็ได้ตามใจปาก
นิสัยของเขามีด้านแปลกๆ อยู่ เพียงแต่เรื่องปกติกระตุ้นความแปลกของเขาไม่ได้
เซียวเหิงไม่ได้ถามเขาว่าตอนนั้นที่เขาว่าหมายถึงปีนั้นที่เขาเกิด หรือว่าปีนั้นที่เซียวลิ่วหลังเกิด
หน้าต่างกระดาษบางบานแหย่ขาดได้ แต่บางบานก็ไม่ควรไปแหย่มัน รู้กันดีแก่ใจก็พอแล้ว
เซวียนผิงโหวเอ่ยขึ้น “เจ้าจับให้แน่นๆ นะ ข้าจะเร่งความเร็วแล้ว เดี๋ยวจะตก”
“ข้าไม่มีทาง…อ้ากกก…”
เซียวเหิงเพิ่งจะเอ่ยได้ครึ่งเดียว เซวียนผิงโหวก็หนีบท้องม้าอย่างแรง ม้ารู้ใจ ฮ่อตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เซียวเหิงหงายไปด้านหลัง เกือบจะโดนสะบัดตกแล้ว เขาแทบจะกอดเอวเซวียนผิงโหวไว้โดยสัญชาติญาณ
บริเวณที่เซียวเหิงมองไม่เห็น เซวียนผิงโหวกำลังยิ้มอยู่!
“ช้าก่อน” จู่ๆ เขาก็หุบยิ้ม ดึงบังเหียนไว้ ม้าหยุดลงอย่างชาญฉลาด
“มีอะไรรึ” เซียวเหิงถาม
“เจ้าได้ยินหรือไม่” เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วถาม
“ได้ยินอะ…” เสียงเซียวเหิงชะงักงัน “เหมือนเด็กทารกกำลังร้อง”
เซวียนผิงโหวหันไปมอง “อยู่ในหมู่บ้านนั่น!”
ในหมู่บ้านอพยพกันไปหมดแล้วมิใช่หรือ
เมื่อครู่ตอนที่เขาวิ่งผ่านมาไม่เห็นจะได้ยินเสียงร้องเลย
“มีเด็กอยู่คนหนึ่ง” เซวียนผิงโหวนิ่งฟังอีกพักหนึ่ง มั่นใจว่าไม่ได้หูแว่ว “เจ้าไปก่อนเลย”
เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า
ตอนที่เขาฮ่อตะบึงบนถนนตัวคนเดียวไม่ได้คำนึงถึงภัยพิบัติเลยสักนิด แต่เมื่อลูกชายอยู่ตรงนี้ด้วยเขาก็เชื่อในพลังของภัยพิบัติแล้ว
“ขี่ม้าไวกว่า!” เซียวเหิงบอก
“ยังพอมีเวลาหรือไม่” เซวียนผิงโหวถาม
“หากหาเจอเร็วก็มี” เซียวเหิงบอก
“เอาละ นั่งให้ดีนะ” เซวียนผิงโหวแววตาคมกริบขึ้นมา จับบังเหียนแน่น หันเปลี่ยนทิศทาง มุ่งไปยังหมู่บ้านด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ใครจะคิดว่าเมื่อทั้งคู่เข้าไปในหมู่บ้าน เสียงร้องไห้ก็หายไปอีกแล้ว
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เด็กคนนั้นคงร้องจนเหนื่อยแล้วแน่ๆ เดี๋ยวร้องเดี๋ยวหยุด เมื่อครู่ตอนที่ข้าผ่านหมู่บ้านก็ไม่ได้ยินอะไรเช่นกัน”
เซวียนผิงโหวลงจากม้า
สองพ่อลูกไล่หาไปทีละหลัง เมื่อเซวียนผิงโหวหาห้องนอนของบ้านหลังที่สิบแปด เซียวเหิงก็ร้องเรียกขึ้นจากบ่อน้ำหลังบ้านเสียงดัง “อยู่ตรงนี้!”
เซวียนผิงโหวรีบเร่งฝีเท้าไปหลังบ้าน
นี่เป็นบ่อน้ำร้าง ปากบ่อมีฝาบ่อปิดไว้ แต่ไม่ได้ปิดตาย เปิดออกได้ เด็กน่าจะปีนขึ้นมาบนฝาบ่อ แล้วเหยียบพลิกร่วงลงไป
ฝาบ่อบดบังสายฝนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ตกเข้าไปในบ่อน้ำ
เซียวเหิงไปที่ห้องหาร่มกระดาษน้ำมันมากางเหนือบ่อน้ำ เซวียนผิงโหวขยับฝาบ่อเปิดออก เขากำลังจะลงบ่อไปช่วยคน กลับพบว่าปากบ่อแคบเกินไป ตัวเขาลงไปไม่ได้
เซียวเหิงเป็นหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สามารถมุดลงไปได้พอถูไถ
“ข้าลงไปดีกว่า” เซียวเหิงบอก
เซวียนผิงโหวหยิบเชือกออกมาจากอานม้า ปลายข้างหนึ่งผูกเอวลูกชายไว้ ปลายอีกข้างผูกเอวตัวเองไว้
เซียวเหิงอ้าปากหวอ “แผลตรงเอวของท่าน…”
“ลงไป” เซวียนผิงโหวบอก
***********************