สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 608-3 สามีภรรยา (3)
บทที่ 608 สามีภรรยา (3)
ยามบ่ายที่ลมโชยอ่อน แสงแดดกำลังดี ดอกชงโคในตรอกปี้สุ่ยเบ่งบาน สีม่วงละลานตาไปหมดทั้งบริเวณ ล้วนเป็นฝีมือการปลูกของเสี่ยวจิ้งคงทั้งสิ้น
อันที่จริงฝีมือการปลูกในที่นี้หมายถึงการยกกระถางดอกไม้จากเรือนขององค์หญิงซิ่นหยางมาที่ตรอกปี้สุ่ยต่างหาก แม้แต่คนยกยังเป็นหลงอี แต่เขาเป็นคนรับมันมาวางไว้บนพื้น ดังนั้นก็คือเขาเป็นคนปลูก
ทางหน้าบ้าน กู้เจียวกำลังสอนหวงฝู่เสียนทำกายภาพอยู่
หวงฝู่เสียนลุกขึ้นยืนได้สำเร็จด้วยการใช้ขาเทียม ยามนี้กำลังฝึกการใช้ไม้เท้าเดินเหินอยู่
กู้เจียวทำขาเทียมให้ตามรูปร่างของเขา เห็นเขาอายุยังน้อยเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าตัวจะสูงกว่ากู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนเสียอีก
อีกด้านหนึ่งของบ้าน สุนัขสีขาวตัวใหญ่สองตัวนั่งเหยียดแขนเหยียดขาอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอาบแดดกันอยู่
เซวียนผิงโหวแขนขาเข้าเฝือก ลำคอและบั้นเอวก็เข้าเฝือก ใต้คางลงมาขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด
เขาขยับได้แต่ลูกตา พยายามมองลูกชายที่อยู่ข้างๆ “คันหลังน่ะ เกาให้ข้าที”
แม้เซียวเหิงจะไม่ได้เข้าเฝือก แต่ทั้งตัวก็ถูกผ้าพันแผลพันเสียแน่นหนา จึงไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าใดนัก “เกาไม่ถึง”
…
เหล่าเหลียงอ๋องถูกคนสังหารตายอย่างทารุณ สถานที่เกิดเหตุโหดร้ายจนทนดูไม่ได้
ฮ่องเต้กริ้วโกรธเป็นอย่างมาก รับสั่งให้ศาลาว่าการท้องที่ไปตรวจสอบเรื่องนี้ และเพื่อสืบหาฆาตกรตัวจริงให้เร็ววัน ฮ่องเต้จึงส่งเจ้ากรมยุติธรรมซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการไขคดีต่างๆ ไปด้วย
เจ้ากรมยุติธรรมครานี้พาเซียวเหิงไปด้วยไม่ได้ เพราะเซียวเหิงบาดเจ็บ
เขาจึงออกตรวจคดีด้วยตัวเอง จนด้วยเกล้าที่ที่เกิดเหตุสะอาดหมดจด ไม่เหลือร่องรอยเบาะแสอะไรไว้เลย เหมือนกับว่า…อีกฝ่ายมีความสามารถต่อต้านการสำรวจอันแข็งแกร่งมากอย่างไรอย่างนั้น
เจ้ากรมยุติธรรมกลับเมืองหลวงไปทูลฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ดูจากบาดแผลของผู้ตายแล้ว นี่เป็นการฆ่าด้วยความอาฆาต ฆาตกรระบายโทสะที่น่ากลัวยิ่งบนตัวผู้ตาย ผู้ตายเจอกับความทรมานที่ไม่อาจทนมองได้…ทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย”
ฮ่องเต้พระพักตร์เกรี้ยวกราด!
นั่นเป็นพี่ชายที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเคารพรักที่สุดเชียวนะ นึกไม่ถึงว่าในระหว่างจะสิ้นลมจะโดนคนสังหารได้ทารุณเพียงนี้!
ใครมันบังอาจขนาดนี้!
ในขณะที่เจ้ากรมยุติธรรมกำลังทูลรายงานคดีต่อฮ่องเต้นั้น ขันทีนายหนึ่งก็รีบร้อนเดินมาหา ก่อนเอ่ยทูลอยู่หน้าห้องทรงอักษรเสียงดัง “ฝ่าบาท! เหล่าเหลียงอ๋องเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ! นางบอกว่านางรู้ว่าใครเป็นฆาตกรสังหารเหล่าเหลียงอ๋อง!”
เว่ยกงกงตกใจจนเกือบโยนแส้ขนหางจามรีในมือทิ้ง
ขันทีที่สามารถโวยวายเสียงดังนอกห้องทรงอักษรได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนของเราเอง เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนที่เหล่าเหลียงอ๋องเฟยซื้อตัวไว้
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยเดิมทีถูกเซียวฮองเฮาส่งคนไปจับกุมและคุมขังไว้แล้ว แต่ข่าวของเหล่าเหลียงอ๋องลอยมาจากเมืองผิงเล่อ ฮ่องเต้จึงส่งคนไปส่งข่าวที่จวนเหล่าเหลียงอ๋องในเมืองหลวง
คงเพราะคนไปส่งข่าวนี้โดนเหล่าเหลียงอ๋องเฟยซื้อตัวไปแล้ว ก่อนจะซื้อตัวมาที่วังหลวงต่อ
“เรียกเข้ามา” ฮ่องเต้ตรัส
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยไม่ได้กลับเมืองผิงเล่อเป็นเพราะนางได้ยินข่าวการสวรรคตของเหล่าเหลียงอ๋องแล้วก็เป็นลมไปตรงนั้นเลย ‘เป็นลม’ อยู่หลายวันหลายคืน เพิ่งจะฟื้นตอนนี้
“ฝ่าบาท!”
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยซวนเซโผมาคุกเข่าตรงหน้าโต๊ะทรงอักษรของฮ่องเต้
ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นอ้อมโต๊ะไปประคองนางขึ้น “ป้าสะใภ้รีบลุกขึ้นเถิด!”
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยจับแขนฮ่องเต้แน่น ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับท่านลุงของพระองค์นะเพคะ!”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีพระพักตร์จริงจัง “ป้าสะใภ้บอกว่ารู้ข่าวของฆาตกรแล้ว ขอถามได้หรือไม่ว่าฆาตกรเป็นผู้ใด”
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยกัดฟันกรอด โพล่งออกไป “องค์หญิงซิ่นหยาง!”
ฮ่องเต้ชะงักงันก่อนตรัส “ป้าสะใภ้ล้อกันเล่นแล้ว ฆาตกรจะเป็นซิ่นหยางได้อย่างไร นางฆ่าคนไม่เป็น โดยเฉพาะท่านลุงจิ่วซูยิ่งไม่มีทาง”
ซิ่นหยางมีนิสัยอย่างไรพระองค์จะไม่รู้เลยหรือ ไม่มีทางทำเรื่องฆ่าคนวางเพลิงเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ไปสังหารเหล่าเหลียงอ๋องด้วย
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยราวกับใช้เรี่ยวแรงหมดทั้งตัวแล้ว เอ่ยเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาทเชื่อข้าเถอะ! ฆาตกรคือนาง! เป็นนางจริงๆ !”
ฮ่องเต้จะไปเชื่อว่าซิ่นหยางเป็นฆาตกรได้อย่างไร
ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำใสใจจริง “ท่านป้าสะใภ้ คงจะเหนื่อยแล้ว ข้าให้เว่ยกงกงส่งกลับไปพักที่จวนดีกว่า”
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยไม่ไป สิ้นเหล่าเหลียงอ๋องไปแล้ว จวนเหลียงอ๋องก็จะล่มสลายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะนังแพศยาซิ่นหยางทั้งสิ้น!
อีกฝ่ายไม่ให้พวกนางได้มีชีวิตที่ดี นางก็จะไม่ให้อีกฝ่ายได้ตายดีเช่นกัน!
ก็แค่ตกตายไปด้วยกันแค่นั้น!
มัจฉาตายตาข่ายขาดกันไปข้าง[1]!
เหล่าเหลียงอ๋องเฟยชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทต้องเชื่อข้า! ข้ายินดีสาบานกับฟ้าดิน หากฆาตกรไม่ใช่องค์หญิงซิ่นหยาง ให้ฟ้าผ่าข้าตาย!”
นางเพิ่งจะเอ่ยจบ ฟากฟ้าก็ส่งเสียงครืนๆ นึกไม่ถึงว่าสายฟ้าจะฟาดลงมาในห้องทรงอักษร ผ่าลงตรงร่างเหล่าเหลียงอ๋องเฟยเข้าอย่างจัง
เหล่าเหลียงอ๋องเฟย “…”
เจ้ากรมยุติธรรม “…”
ฮ่องเต้ “…”
เมื่อฮ่องเต้ให้เว่ยกงกงเรียกกู้เจียวเข้าวังมา เหล่าเหลียงอ๋องเฟยก็สิ้นลมแล้ว
เซียวฮองเฮาก็เสด็จมาด้วย
นางมองเหล่าเหลียงอ๋องเฟยในห้องทรงอักษร ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูก แล้วเอ่ยอย่างเดียดฉันท์ “อัปมงคลจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะมาตายในห้องทรงอักษรของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ก็เองรู้สึกอัปมงคลเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้แย้งถ้อยคำของเซียวฮองเฮา
เพียงแต่ว่าพระองค์ยังคงเรียกองค์หญิงซิ่นหยางเข้าวังมาอยู่ดี
“ท่านป้าสะใภ้บอกว่าเจ้าเป็นฆาตกร เรารู้สึกแปลกมาก เจ้าไปทำเรื่องอะไรให้นางเข้าใจผิดมาหรือไม่”
“ไม่มีเพคะ อาจเพราะนางสะเทือนใจ สติไม่ค่อยสมประดี”
เมื่อฮ่องเต้มาคิดดูแล้ว ไม่ควรตัดความเป็นไปได้นี้ออกจริงๆ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ฝ่าบาทถึงยังรู้สึกว่าเรื่องราวยังมีบางอย่างที่แปลกๆ อยู่
พระองค์ทอดพระเนตรองค์หญิงซิ่นหยางนิ่ง “วันที่เกิดเหตุเจ้าอยู่ที่ใด ได้ยินว่าเจ้าออกจากเมืองหลวงไป”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ข้าไปเยี่ยมท่านลุงจิ่วซู วันนั้นท่านป้าสะใภ้มาหาข้า บอกว่าท่านลุงจิ่วซูร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อยากพบหน้าข้าก่อนจะหมดลม ข้าจึงรีบไป แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างทางเจอภัยธรรมชาติเข้า เสียเวลาอยู่ที่หอพักม้า หากฝ่าบาทไม่เชื่อก็ส่งคนไปสอบถามได้”
องค์หญิงซิ่นหยางพักที่โรงพักม้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นจึงได้กลับเมืองหลวง คนที่โรงพักม้าสามารถเป็นพยานให้ได้ทุกคน
“แล้วเซวียนผิงโหวเล่า” ฮ่องเต้จ้องมองพลางตรัสถาม
จำต้องบอกว่าเรื่องระหว่างจิ้งไท่เฟยกับฉินเฟิงเยียนทำให้ฮ่องเต้เติบโตขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนพระองค์ไม่มีทางสงสัยซิ่นหยางแน่ แต่ยามนี้ พระองค์รอบคอบขึ้นมามาก
แต่องค์หญิงซิ่นหยางก็ไม่ใช่ไก่กา นางตรัสอย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ “ข้าไม่รู้เรื่องฝนฟ้าวันนั้น อาเหิงได้ยินว่าข้าออกจากเมืองหลวงไป เป็นห่วงข้าจะเจอว่าภูเขาและดินโคลนถล่มใส่ จึงเร่งรุดไล่ตามข้าไป พ่อเขาเป็นห่วงเขา จึงตามกันไปด้วย อาเหิงเป็นห่วงหมู่บ้าน อยากจะดูว่าอพยพกันไปหมดแล้วหรือยัง สุดท้ายพบทารกพลัดร่วงตกลงไปในบ่อน้ำแห้ง ทุ่มชีวิตช่วยทารกขึ้นมา ทั้งคู่จึงบาดเจ็บสาหัสด้วยเหตุนี้”
เรื่องที่เซวียนผิงโหวออกจากหอพักม้าไปกลางดึกมีแค่พวกกู้เจียวที่รู้ กู้เฉิงเฟิงแต่งตัวเป็นเซวียนผิงโหวกลับมาที่เมืองหลวง ซ้ำยังพูดคุยกับทหารหน้าประตูเมืองอีกสองสามคำด้วย
และนี่ก็เป็นสิ่งที่สามารถสืบเจอได้เช่นกัน
เซวียนผิงโหวเองก็มีพยานหลักฐานว่าไม่ได้อยู่ที่จุดเกิดเหตุเช่นกัน
องค์หญิงซิ่นหยางเล่าต่อ “จากนั้นทั้งสองก็พักรักษาตัวกันอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย ไม่เคยออกไปไหนเลย”
ไม่กี่วันก่อนคนที่พักรักษาตัวคือกู้เฉิงเฟิง แต่ใบหน้าถูกพันไว้ ใครมันจะไปมองออก
พวกเขาปากเรียกท่านโหวๆ พวกเพื่อนบ้านต่างก็นึกว่านั่นเป็นท่านโหว
ต่อให้ฮ่องเต้ไปตรวจสอบดู คนทั้งตรอกก็ต่างบอกว่าเซวียนผิงโหวอยู่ที่นั่นตลอดหลายวัน
ฮ่องเต้พยักหน้า “วันที่สองหลังจากอาเหิงกลับเมืองหลวงมาก็เข้าวังหนหนึ่ง เราเจอเขาที่ตำหนักเหรินโซ่วแล้ว แต่ไม่ได้พูดคุยเท่าใดนัก เขาก็เหนื่อยจนหลับไป”
และนี่ก็ทำเพื่อเป็นพยานที่อยู่ให้แก่เซวียนผิงโหวไว้ล่วงหน้า
ทั้งสองล้วนพักรักษาตัวกันอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยตลอด ตราบใดที่เซียวเหิงเป็นตัวจริง ก็ไม่มีใครสงสัยว่าเซวียนผิงโหวจากปากทุกคนเป็นตัวปลอมแล้ว
เมื่อออกมาจากวัง องค์หญิงซิ่นหยางก็ไปยังตรอกปี้สุ่ย
เซวียนผิงโหวอาบแดดอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง เขามององค์หญิงซิ่นหยางที่วันทั้งวันแทบจะปรากฏตัวขึ้นแปดหนอย่างลุ่มลึก “ฉินเฟิงหว่าน หมู่นี้เจ้ามาบ่อยเชียวนะ เจ้าคงไม่ได้ถูกใจข้าเข้าแล้วกระมัง ทางที่ดีเจ้าทิ้งความคิดนี้ไปเสียดีกว่า ข้าปกป้องเจ้าก็เพราะเจ้าเป็นภรรยาในนามของข้า เป็นแม่ของลูกชายข้า ไม่ใช่ว่าข้ามีความรู้สึกอะไรกับเจ้าหรอกนะ”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสเสียงเย็น “ข้ามาหาลูกชายต่างหาก!”
เซวียนผิงโหวมองนางอยู่พักหนึ่งตาไม่กะพริบ ก่อนจะขยับลูกตาเป็นการส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…!!”
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
————————