สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 610 ตัวช่วยลับ
บทที่ 610 ตัวช่วยลับ
ยามโพล้เพล้ จิ้งคงกลับมาจากกั๋วจื่อเจียน
“เจียวเจียว!”
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากกลับมาคือโยนกระเป๋าหนังสือแล้วตามหากู้เจียว
ด้วยความที่ช่วงนี้สมาชิกในเรือนป่วยกันมากขึ้น กู้เจียวจะอยู่ประจำที่เรือนเป็นหลัก เว้นเสียแต่บางครั้งที่ต้องออกไปตรวจนอกสถานที่หากเป็นกรณีฉุกเฉิน
เสี่ยวจิ้งคงเดินไปหากู้เจียวที่ลานเรือน แต่ก็ไม่เจอ ก็เลยไปที่ห้องนอน
แต่ดูเหมือนกู้เจียวก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนเช่นกัน เจ้าตัวเล็กไม่ยอมแพ้ ยังคงเดินวนตามหาจนทั่วแม้แต่ก้มลงไปดูใต้เตียง จิ้งคงนั่งยองลงบนพื้นเอามือกุมหัวแล้วร้องเสียงหลง “เอ๋ เจียวเจียวล่ะ เจียวเจียวไปไหนแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงตัดสินใจตามหากู้เจียวต่อที่ห้องอื่น ขณะที่เขากำลังลุกขึ้นยืน ก็พลันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนพื้น
ลักษณะของมันชวนให้เขารู้สึกคุ้นเคย
เสี่ยวจิ้งคงหยิบมันขึ้นมา “ว้าว! นี่มันของอร่อยที่เจียวเจียวเคยให้เขาดื่มนี่นา!”
ช่วงก่อนหน้า กู้เจียวเคยพยายามคิดหาทางทำให้เจ้าตัวเล็กตัวสูงขึ้น เช่นวิธีใช้ยาน้ำเสริมแคลเซียม
แต่พอดื่มไปได้แค่ครึ่งเดือน ยาน้ำที่ว่าก็หมดเกลี้ยงจนไม่เหลือของ
เสี่ยวจิ้งคงคิดถึงรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ของเจ้ายาน้ำนี้เหลือเกิน
“ซู้ดดด” จิ้งคงสูดปาก
ทุกครั้ง เจียวเจียวจะให้เขากินทีละขวด แต่บนพื้นมีอยู่สองขวด เขารีบหยิบมันขึ้นมาและตัดสินใจซ่อนมันไว้!
เสี่ยวจิ้งคงค่อยๆ หยิบขวดยาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเจ้าตัวเล็กแทบไม่ต่างกันกับเวลาจวงไทเฮาซ่อนผลไม้อบแห้งเลยสักนิด
พอซ่อนของรักของหวงเสร็จ จิ้งคงก็ทำทีเป็นเอามือไขว้หลัง เชิดคางขึ้น แล้วย่างเท้าออกไปด้วยท่วงท่าเดียวกันกับท่านย่า “อาจ้าว! เล่นไพ่กัน! ”
นับวันสมาชิกในเรือนเริ่มมีจำนวนเยอะขึ้น จนต้องขอใช้พื้นที่เรือนเคียง ซึ่งทะลุถึงกันได้
ที่เสี่ยวจิ้งคงตามหากู้เจียวในเรือนไม่เจอ เป็นเพราะตอนนี้กู้เจียวกำลังง่วนอยู่กับการจัดพื้นที่กายภาพบำบัดให้หวงฝู่เสียนอยู่ที่บ้านใกล้เรือนเคียง
พอเสี่ยวจิ้งคงได้ยินเสียงตึงตัง จากข้างนอก แววตาก็เปล่งประกาย “เจียวเจียว!”
เขาเดินไปตามเสียง ด้วยความที่ตอนนี้ทั้งสองเรือนทะลุถึงกันได้จึงยิ่งไปมาหาสู่ได้สะดวกยิ่งขึ้น
กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นกำลังง่วนกับการทำไม้ พอเห็นเจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามา กู้เจียวก็พลันรีบตะโกนห้าม “อย่าเพิ่งเข้ามานะจิ้งคง! ที่พื้นมีตะปูอยู่!”
“อ้อ” เสี่ยวจิ้งคงหยุดฝีเท้าลงอย่างผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเขย่งเท้าแล้วชะเง้อมองไปที่กู้เจียว
“เจ้าไปทำการบ้านให้เสร็จก่อน กว่าเจ้าจะทำเสร็จข้าคงเสร็จงานพอดี” กู้เจียวบอกกับจิ้งคง
“ก็ได้” เจ้าตัวเล็กทำหน้าหงอคอตกแล้วเดินออกไป
เสี่ยวจิ้งคงกลับไปที่เรือน ก็เห็นเจ้าเสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วกำลังขบกระเป๋าหนังสือของเขาอย่างเมามัน
เสี่ยวจิ้งคงหยิบกระเป๋าขึ้นมา ทำท่าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของเขา
วันนี้การบ้านของเขามีความยากเล็กน้อย มีโจทย์อยู่ข้อนึงที่เขาทำไม่ได้
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจกระโดดลงจากเก้าอี้ แล้ววิ่งไปหาพี่เขยตัวแสบที่ห้องหนังสือ
ประตูเปิดแง้มอยู่
เสี่ยวจิ้งคงผลักประตูออก แล้วก็เห็นว่ามีคนอยู่ในห้องจริงๆ
คนคนนั้นกลับไม่ใช่พี่เขยตัวแสบ แต่เป็นองค์หญิงซิ่นหยาง
“องค์หญิงรึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถามพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปข้างในแล้วถวายบังคม
องค์หญิงซิ่นหยางกำลังยืนหันหน้าให้ชั้นหนังสือ หันหลังให้ประตู
นางรีบเช็ดตาแล้วหันมาทางจิ้งคงพร้อมกับตรัสทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จิ้งคงเองหรือ มีเรื่องอันใดถึงมาที่นี่ มาหาพี่เขยของเจ้ารึ”
เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้ามององค์หญิงพร้อมทั้งพยักหน้าด้วยความสัตย์จริง “อื้อ มีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งที่ข้าทำไม่ได้”
องค์หญิงได้ยินดังนั้นก็ยื่นมือเข้าช่วย “พี่เขยเจ้าไม่อยู่หรอก เดี๋ยวข้าช่วยดูให้เอง”
“ดีเลย” จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงก็ยื่นกระดาษให้องค์หญิง
หลังจากอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางก็ตรัสขึ้น “ประโยคนี้อยู่ในบทคัมภีร์ ’ซือจิง’ พวกเจ้าน่าจะยังเรียนไม่ถึงตรงนี้ใช่ไหม”
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงผงกหัว
“มา ข้าจะสอนเจ้าเอง” องค์หญิงซิ่นหยางยื่นมือออกไปหาเขา
เสี่ยวจิ้งคงขยับเข้าไปใกล้ๆ องค์หญิงซิ่นหยางจากนั้นปีนขึ้นเก้าอี้แล้วนั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย ระหว่างที่องค์หญิงซิ่นหยางอ่านประโยคให้เข้าฟัง เขากลับเอาแต่จ้องมองที่ใบหน้าขององค์หญิงซิ่นหยาง
“มีอะไรรึ” องค์หญิงซิ่นหยางทักถามหลังจากได้สังเกตสายตาของเขา
“ท่านร้องไห้มารึ” เสี่ยวจิ้งคงถาม
“ก็ไม่นี่นา” องค์หญิงซิ่นหยางปฏิเสธ
“อ้อ” บางครั้ง เด็กๆ ก็มักจะเชื่อง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ดูน่าเชื่อถืออย่างองค์หญิงซิ่นหยาง จิ้งคงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ท่านดูไม่มีความสุข หรือว่าจะมีเรื่องทุกข์ใจ”
ได้ยินดังนั้น องค์หญิงซิ่นหยางถึงกับนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ก็ไม่ได้มีเรื่องให้ทุกข์ใจขนาดนั้นนะ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นก็อาจมีเรื่องกวนใจเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าท่านกำลังกังวลพี่เขยตัวแสบอยู่ วางใจเถิด แม้เขาทำตัวออกจะซุ่มซ่ามไปบ้าง ทำกับข้าวไม่อร่อย หัวช้า สอบได้ที่โหล่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้มาเป็นขุนนางจนได้! ท่านดูลูกของตาเฒ่าจ้าวเป็นตัวอย่างสิ อายุไล่เลี่ยกันกับพี่เขยก็จริง แต่กลับเอาแต่กินนอนไปวันๆ ทำเอาคนเขาวุ่นวายกันไปหมด!”
องค์หญิงซิ่นหยางอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีและน้ำเสียงการบ่นของเจ้าตัวเล็ก
เด็กห้าขวบตัวแค่นี้แต่บ่นอย่างกับตาแก่อายุห้าสิบไปได้
แม้เขาจะชอบต่อว่าพี่เขยตัวแสบ แต่เขาก็เคารพนับถือองค์หญิงซิ่นหยางพอๆ กับที่เขานับถือแม่ของกู้เจียว
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันหยิบขวดที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา “องค์หญิง ข้าให้ท่าน” สักพัก เขาก็หยิบอีกขวดขึ้นมา “ไม่เป็นไร ข้าให้ท่านหมดนี่เลย”
“มันคืออะไรรึ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถาม
“มันอร่อยมากเลยล่ะ ผู้ใหญ่ก็ดื่มได้ ข้าเคยเห็นเจียวเจียวเอาให้ท่านย่าด้วย” เสี่ยวจิ้งคงอธิบาย
องค์หญิงซิ่นหยางมองดูขวดเล็กๆ สีฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม “มันคือโอสถรึ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบกลับ “อืม ไม่รู้สิ คราวก่อนท่านย่าตะคริวกินขา เจียวเจียวเลยยื่นขวดนี้ให้ แต่ข้าไม่ได้เป็นตะคริว เจียวเจียวก็ให้ข้ากินอยู่ดี”
“เช่นนั้นเจ้าเก็บไว้เองเถิด” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ทุกข์ใจนี่นา” เสี่ยวจิ้งคงเก็บยาขวดเล็กๆ สีฟ้ากลับไป
องค์หญิงซิ่นหยางกำลังมีเรื่องทุกข์ใจอยู่จริงๆ
แต่ไม่ใช่เพราะเซียวเหิง เขาโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ดี ไม่มีอะไรที่นางต้องห่วง ที่นางเป็นเช่นนี้ ก็เพราะเด็กคนนั้นที่ทำให้นางนึกถึงเซียวชิ่งผู้ล่วงลับ
องค์หญิงซิ่นหยางกำขวดเล็กๆ สีฟ้าไว้แน่น พยายามซ่อนความรู้สึกไว้ข้างใน ก่อนจะตอบกลับ “ดื่มเจ้าสิ่งนี้แล้วจะหายทุกข์ใจจริงหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงผงกหัวรัว “ใช่แล้วใช่แล้ว! ทุกครั้งที่ข้าดื่มมัน ข้ามักจะอารมณ์ดี!”
องค์หญิงซิ่นหยางคลี่ยิ้มกว้าง “เช่นนั้น ข้าขอรับไว้แล้วกัน ขอบใจเจ้ามากเลยนะ”
จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงหยิบสมุดการบ้านกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้วนั่งทำต่อ
องค์หญิงซิ่นหยางเดินไปทักทายกู้เจียวกับเซียวเหิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินทางกลับ
พอถึงเวลาอาหารเย็น ก็พบว่าอวี้จิ่นเดินกะเผลก องค์หญิงซิ่นหยางตรัสถามบ่าวสาวคนสนิทด้วยสีหน้าสงสัย “ขาเจ้าไปโดนอะไรมา”
“หม่อมฉันเป็นตะคริวเจ้าค่ะ” อวี้จิ่นทำหน้าเหยเก
“ไหนข้าดูซิ” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
อวี้จิ่นยิ้มเจื่อน “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นิดเดียวเอง พรุ่งนี้เดี๋ยวก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางพลันนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเปิดกระเป๋าออกแล้วคว้าขวดเล็กๆ สีฟ้าสองขวดขึ้นมาแล้วยื่นให้อวี้จิ่น “ดื่มนี่สิ แล้วจะดีขึ้น”
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่สองพี่น้องยุ่งวุ่นตลอดช่วงบ่าย ในที่สุดพวกเขาก็สร้างอุปกรณ์กายภาพบำบัดได้จนเสร็จ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็สามารถให้หวงฝู่เสียนเริ่มการฝึกการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบได้
และนี่จะเป็นขั้นตอนที่ยาวนานและทรมานอย่างยิ่ง ต้องอาศัยความใจสู้และอดทนของหวงฝู่เสียนเป็นอย่างมาก
การหัดเดินไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกย่างก้าวที่ไม่มีไม้เท้าคอยช่วยจะเจ็บราวกับถูกลูกธนูนับหมื่นยิ่งเข้าที่หัวใจ
“กลัวไหม” กู้เจียวถามหวงฝู่เสียน
“มียาที่ทำให้ข้าไม่เจ็บไหมล่ะ” หวงฝู่เสียนถามกลับ
“ไม่มีหรอก” กู้เจียวตอบ
ยาระงับประสาทล้วนมีผลข้างเคียง ดีสุดคือไม่ต้องใช้
หวงฝู่เสียนสูดหายใจลึก “เช่นนั้น ข้าก็ไม่กลัว ต้องไม่กลัวสิ”
“เจ้าลองทำความคุ้นเคยไปก่อน” กู้เจียวเอ่ยพลางยื่นไม้เท้าให้เขา
“ตกลง” หวงฝู่เสียนหยิบไม้ค้ำยันและลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยความช่วยเหลือของกู้เสี่ยวซุ่น น้ำหนักครึ่งหนึ่งของเขาอยู่บนไม้ค้ำ และครึ่งหนึ่งอยู่ที่แขนของกู้เสี่ยวซุ่นที่พยุงเขา ว่าตามตรงขนาดมีไม้เท้าช่วยไว้ ความรู้สึกเจ็บปวดก็มาเยือนไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่อยากนึกถึงตอนที่ไม่มีไม้เท้าเลย
จากนั้นกู้เจียวก็ลงมือกวาดพื้นลาน
“คุณหนูใหญ่!” อวี้หยาร์รีบพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับจานที่ยังล้างฟองไม่หมดในมือ
“มีอะไรรึ” กู้เจียวถาม
อวี๋หยาร์ไม่พูดอะไร พลางมองไปทางหน้าประตูด้วยท่าทีไม่สบายใจ
เมื่อครู่กู้เจียวได้เสียงเสียงรถม้าเข้าจอด แต่ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอเห็นท่าทีผิดแปลกของอวี๋หยาร์ก็รู้ในทันทีว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน
“ได้ เดี๋ยวข้าไปดูเอง” กู้เจียวเอ่ยพลางวางไม้กวาดลง
“เดี๋ยวข้ามากวาดต่อเองเจ้าค่ะ ใกล้จะล้างเสร็จแล้ว!”
กู้เจียวพยักหน้าตอบแล้วเดินไปที่ประตู ก็ได้พบกับกู้จิ่นอวี๋ที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมานาน
ช่วงก่อนหน้านี้ กู้จิ่นอวี๋ต้องอยู่กับเรือนเพื่อรอแต่งงาน แทบไม่มีโอกาสได้ออกมาข้างนอกเลย
แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากตระกูลจวงถูกล้มล้าง ทำให้งานแต่งของอันอวิ่นอ๋องและกู้จิ่นอวี๋ได้รับผลกระทบไปด้วย
“เจ้ามาตามหาจวงอวี้เหิงรึ” กู้เจียวถาม
“จวง…” กู้จิ่นอวี๋ตกใจเล็กน้อยที่กู้เจียวเรียกว่าที่สามีของนางเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะเอ่ยเบาๆ กับกู้เจียว “ข้ามาหาท่านพี่ต่างหาก”
กู้จิ่นอวี๋ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แก้มของนางตอบลงกว่าเดิมไม่น้อย
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างผิดจังหวะ ไหนจะสงครามแคว้นจนทำให้วันแต่งงานก็ถูกเลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไหนจะเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับคู่หมั้นของนางอีก ไม่แปลกที่นางจะโทรมลงถนัดตา
“มีอะไรรึถึงได้มาหาข้า” กู้เจียวเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เข้าไปคุยกันข้างในได้ไหม” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยถามอย่างเคอะเขินตรงหน้าประตู
กู้เจียวจึงหันหลังเดินเข้าไปข้างใน แล้วลากเก้าอี้มานั่ง
ทั้งสองนั่งลงโดยมีโต๊ะเล็กคั่นกลางระหว่างกัน
วินาทีที่กู้จิ่นอวี๋อ้าปากน้ำตาก็ไหลพรากทันที “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว…อภัยให้ข้า…”
“จะให้ข้าให้อภัยเจ้าเรื่องอะไร” กู้เจียวหรี่ตามองหญิงสาวที่กำลังปล่อยโฮตรงหน้า
กู้จิ่นอวี๋บีบผ้าเช็ดหน้าแน่นพลางร้องสะอื้น “ความผิดของข้าเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าไม่ควรประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปจนคิดแต่จะเอาชนะท่าน ข้าไม่ควรทำตัวอวดดีเพียงเพราะท่านพ่อโปรดข้ามากกว่า ในฐานะที่เราเป็นตระกูลเดียวกัน โปรดท่านพี่ให้อภัยคนโง่เขลาเช่นข้าด้วยเถิด”
“พูดภาษาคน” กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยทั้งน้ำตา “ท่านพ่อต้องการยกเลิกการแต่งงานของข้ากับอันจวิ้นอ๋อง… ท่านน่าจะรู้นิสัยของท่านพ่อดี ตอนนั้นเขาเองก็ไม่เห็นด้วยเรื่องคู่ของท่านพี่ เพราะฉะนั้นท่านพี่ โปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากยกเลิกการแต่งงาน! ทุกอย่างของข้าเป็นของจวงอวี้เหิง ข้าไม่สามารถแต่งงานกับใครได้อีก!”
กู้เจียวถามกลับ “ต่อให้จวงอวี้เหิงไม่มีอะไรเหลือติดตัวแล้ว เจ้ายังยืนยันที่จะแต่งงานกับเขารึ”
กู้จิ่นอวี๋กล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน พี่เขยกับเขาเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาก่อน พี่เขยต้องมีช่องทางในการติดต่อเขาอย่างแน่นอน ข้าหวังว่าท่านพี่ของข้าจะส่งต่อคำพูดให้ข้าได้ และถ้าท่านพ่อขอยกเลิกงานแต่งครั้งนี้ โปรดอย่าให้เขาเห็นชอบ!”
กู้เจียวย่นคิ้ว พลางเอ่ย “จวงอวี้เหิงอยู่เรือนข้างๆ นี้เอง เจ้าไปพูดกับเขาเองแล้วกัน”
กู้จิ่นอวี๋จึงเดินไปที่เรือนข้างๆ ด้วยท่าทางตื่นตระหนก
อันจวิ้นอ๋องกำลังจัดกระเป๋าเดินทางของเขา พอได้ยินว่ากู้จิ่นอวี๋มาพบ เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจออกไปพบนาง
“จวิ้นอ๋อง!” พอได้เจอกัน ความเจ็บปวดจากความคิดถึงก็ถาโถมเข้ากลางใจกู้จิ่นอวี๋จนนัยน์ตาเริ่มร้อนผ่าว
อันจวิ้นอ๋องรักษาระยะห่างกับนางอย่างเหมาะสมและเอ่ยอย่างสุภาพ “เหตุใดแม่นางกู้ถึงมาพบข้า”
จากนั้นกู้จิ่นอวี๋ก็ได้เล่าในสิ่งที่นางเพิ่งพูดให้กู้เจียวไปอีกครั้งหนึ่ง
อันจวิ้นอ๋องถึงกับถอนหายใจ “ข้าซาบซึ้งถึงน้ำใจของแม่นางและรู้สึกขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ทว่า แม่นางกู้ต้องการจะแต่งงานกับข้าจริงหรือ”
กู้จิ่นอวี๋มองเขาอย่างเจ็บปวด “ท่านคลางแคลงใจในตัวข้าเช่นนั้นหรือ หากข้าไม่อยากแต่งงานกับท่านจริงๆ ข้าจะมาขอให้ท่านไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนคำขอของท่านพ่อของข้าได้อย่างไร”
อันจวิ้นอ๋องอธิบาย “ไม่ใช่ว่าข้าสงสัยแม่นาง แต่ข้ากังวลว่าข้าจะทำให้แม่นางต้องตกที่นั่งลำบาก เพราะข้ากำลังจะออกจากเมืองหลวง ที่ที่ข้าจะไปนั้นอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ และข้าอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
“ท่าน…จะเดินทางไปแห่งหนใด” กู้จิ่นอวี๋ทำหน้าไม่เข้าใจ
“ชายแดนน่ะ เป็นที่ที่คนของตระกูลข้าถูกเนรเทศให้ไปอาศัยอยู่” อันจวิ้นอ๋องตอบตามความจริง
กู้จิ่นอวี๋โต้กลับ “แต่ท่านมิได้ถูกเนรเทศมิใช่รึ!”
“ข้าปล่อยตระกูลของข้าไว้แบบนั้นมิได้หรอก” อันจวิ้นอ๋องตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มีเพียงไม่กี่คนที่สมควรได้รับการลงโทษ ขณะที่ผู้บริสุทธิ์อย่างน้องสาวทั้งสองคนของเขาไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในความทะเยอทะยานของราชครูจวงเลยแม้แต่นิด กลับต้องมาลงเรือลำเดียวกันไปด้วย
อันจวิ้นอ๋องยังคงเอ่ยต่อไป “ข้าได้ยื่นคำลาออกต่ออัครเสนาบดีแล้ว และขอให้ฝ่าบาททรงถอดถอนข้าออกจากตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ดังนั้น หากท่านจะแต่งงานกับข้าจริงๆ เจ้าต้องติดตามข้าไปที่ชายแดน… และกลายเป็นคนสามัญ”
เขาอธิบาย พลางมองเข้าไปในดวงตาของกู้จิ่นอวี๋ “แม่นางกู้จะรับได้หรือไม่”
กู้จิ่นอวี๋อ้ำอึ้ง
************************