สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 611 เผยธาตุแท้ (1)
บทที่ 611 เผยธาตุแท้ (1)
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยต่อ “เจ้ายังไม่ต้องให้คำตอบข้าตอนนี้ กลับไปตริตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่อยากให้เจ้าหุนหันรีบตัดสินใจแล้วมานึกเสียดายเอาภายหลัง”
เอ่ยจบ เขาก็ลุกเดินออกไปเก็บของต่อ
กู้จิ่นอวี๋ลุกขึ้นยืนก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้ายินดี! ยินดีที่จะแต่งงานกับท่าน! ขอแค่ท่านไม่ดูแคลนปูมหลังของข้า ข้าจะติดตามท่านไปยังชายแดนด้วยความสมัครใจ!”
อันจวิ้นอ๋องหันกลับมาอย่างเนิบช้า “ก่อนหน้านี้ที่ข้ายังเป็นจวิ้นอ๋อง ข้าก็มิเคยปรามาสภูมิหลังของเจ้า ตอนนี้ก็เช่นกัน”
กู้จิ่นอวี๋คลี่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี”
จากนั้นเขาจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของนาง “แต่ว่า พ่อของเจ้าอาจไม่เห็นด้วย หากเจ้ายังยืนยันเช่นนั้น เจ้าอาจต้องแอบหนีออกมาเท่านั้น”
“ข้าไม่กลัว!” กู้จิ่นอวี๋โพล่งขึ้น
อันจวิ้นอ๋อง “เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้เช้า ข้าจะรอเจ้าที่ประตูเมือง”
หลังจากกู้จิ่นอวี๋กลับไปแล้ว หลิวเฉวียนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ “จะพานางไปด้วยจริงๆ หรือ”
วีรกรรมของนางทั้งแย่งผลงานกู้เจียว ไหนจะชอบก่อเรื่องให้กู้เจียวและแม่นางเหยาต้องตกที่นั่งลำบาก จนหลิวเฉวียนอดมองไม่ได้ว่านางคือตัวปัญหา
อันจวิ้นอ๋องเองก็ดูกระอักกระอ่วน “พวกเราถูกผูกมัดด้วยงานแต่ง ในเมื่อนางยินยอมที่จะหนีไปกับข้า ข้าเองก็ปฏิเสธไม่ลง”
พอกู้จิ่นอวี๋กลับมาถึงจวนติ้งอันโหว ก็รีบไล่บ่าวและนางกำนัลออกไปจากห้อง
พวกเขาต่างพากันงุนงง
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” นางกำนัลใหญ่เอ่ยถาม
“ไม่ต้องเข้ามานะ ออกไปให้หมด!” กู้จิ่นอวี๋เปิดตู้เสื้อผ้าออก พลางหันไปตะโกนที่ประตู
“คุณหนู! เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ” นางกำนัลใหญ่เดินมาที่หน้าประตูแล้วถามอีกครั้ง
“บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา!” กู้จิ่นอวี๋ตะโกนพลางโกยเสื้อผ้าจากในตู้ออกมาทั้งหมด
ด้วยความที่ไม่เคยเห็นคุณหนูมีท่าทีผิดแปลกเช่นนี้มาก่อน จึงอดสงสัยมิได้
พอนางกำนัลใหญ่ผลักประตูออก ก็พบว่าบนเตียงของกู้จิ่นอวี๋เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องและเมินคำสั่งกู้จิ่นอวี๋ “คุณหนู! นี่ท่านคิดจะทำอะไรเจ้าคะ เหตุใดถึงเอาเสื้อผ้าออกมาหมดเลย หรือว่าคุณหนู…คุณหนู…”
ระหว่างที่พูดก็เหลือบไปเห็นกล่องสัมภาระใบใหญ่ที่กู้จิ่นอวี๋กำลังพยายามยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในนั้น
“คุณหนูจะย้ายออกหรือเจ้าคะ” นางกำนัลใหญ่เอ่ยถาม
กู้จิ่นอวี๋แผดเสียงอีกครั้ง “ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่งกับข้า! แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด!”
เหล่าบ่าวรับใช้และนางกำนัลต่างก็มองหน้ากัน
นางกำนัลใหญ่เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบส่งสายตาให้คนอื่นๆ “รีบไปตามท่านโหวมาเร็ว!”
หนึ่งในนางกำนัลที่ฝีเท้าไวที่สุดอาสาออกไปตามให้
และบังเอิญวันนี้ท่านโหวกู้อยู่ที่จวนพอดี จวนใหม่ของไทเฮาหลังจากผ่านการบูรณะและขยายหลายครั้ง ในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์ ตอนนี้เหลือเพียงพิธีส่งมอบ และเชิญให้นักโหราศาสตร์มาช่วยดูฤกษ์
และเขาก็กำลังรอผลฤกษ์ที่จวน
จากนั้น นางกำนัลก็เข้ามาแจ้งข่าวที่หน้าประตู “ท่านโหวเจ้าคะ! เกิดเรื่องกับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูพอกลับมาถึงจวนก็รีบโกยเสื้อผ้ายกใหญ่ ซ้ำยังมิให้บ่าวบอกใครด้วยเจ้าค่ะ!”
ท่านโหวกู้ฟังจบก็ย่นคิ้ว จากนั้นลุกขึ้นพรวดและตรงไปหากู้จิ่นอวี๋โดยไม่พูดอะไร
หลังจากกู้จิ่นอวี๋เก็บสัมภาระลงกล่องใบแรกเสร็จ ก็เริ่มจัดแจงเก็บเครื่องประดับต่อ ขณะที่นางกำลังดึงลิ้นชักเครื่องประดับออก ท่านโหวกู้ก็เดินเอามือไขว้หลังพรวดเข้ามาในห้องของนาง
“จิ่นอวี๋ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
กู้จิ่นอวี๋ได้ยินดังนั้นก็เกิดผงะตัวสั่นจนเผลอทำกล่องเครื่องมุกตกลงบนพื้น
“ท่านพ่อ…” กู้จิ่นอวี๋หันกลับไปมองอย่างลุกลี้ลุกลน
ท่านโหวกู้ชำเลืองไปมองสัมภาระของนาง จากนั้นเลื่อนไปมองเครื่องมุกที่อยู่บนพื้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา “จิ่นอวี๋ นี่เจ้าคิดจะแอบหนีออกไปรึ”
“ข้า…ข้า…” กู้จิ่นอวี๋เริ่มพูดติดอ่าง
ท่านโหวกู้หันไปถลึงตาใส่บ่าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง “วันนี้คุณหนูของเจ้าไปที่ใดมา”
บ่าวก้มหน้าลงพร้อมกับตอบเสียงแผ่ว “ไป…ไปที่ตรอกปี้สุ่ยมาเจ้าค่ะ”
“โดนเด็กนั่นรังแกมาอีกแล้วรึ” ท่านโหวกู้ถาม
กู้จิ่นอวี๋รีบโต้กลับทันควัน “ไม่ใช่อย่างนั้นนะท่านพ่อ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านพี่เลย! ข้าไปหาอันจวิ้นอ๋องมา! ข้าจะเดินทางไปชายแดนกับอันจวิ้นอ๋อง!”
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วแน่น “ชายแดนรึ นี่เขาเองก็ถูกเนรเทศไปด้วยหรอกรึ แล้วเจ้า…”
กู้จิ่นอวี๋ก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วคว้าลำแขนของท่านโหวกู้ “ท่านพ่อ! เขาไม่ได้ถูกเนรเทศ เขาไปที่นั่นด้วยความสมัครใจ ถึงขั้นยอมถอนยศของตัวเอง เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ห่วงใยและคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ข้าต้องการติดตามเขาไป! ได้โปรดท่านพ่อ ยินยอมให้ข้าไปด้วยเถิด!”
“ข้าไม่ยอม!” ท่านโหวกู้โพล่งตอบโดยแทบไม่ต้องคิด
กู้จิ่นอวี๋ร้องขออย่างขมขื่น “ข้ามีความสัมพันธ์ทางกายกับอันจวิ้นอ๋องแล้ว ชีวิตนี้ข้ามิอาจแต่งกับใครได้อีก”
ท่านโหวกู้ทำหน้าไม่สบอารมณ์ “เรื่องแบบนั้นถ้าเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด เขาไม่พูด ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้”
ขนาดว่ากู้เจียวที่แต่งงานแล้วเขายังไม่ยอมรับเลย นับประสาอะไรกับกู้จิ่นอวี๋ที่ยังไม่เข้าประตูวิวาห์
ดวงตาของกู้จิ่นอวี๋เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยต่อ “ท่านพ่อ! ข้ามีใจให้อันจวิ้นอ๋องจริงๆ … ขอร้องท่านพ่อ ได้โปรดยอมรับการตัดสินใจของลูกด้วย…”
ท่านโหวกู้โกรธมาก ถ้าเป็นลูกชายเขาคงจะทุบตีไปนานแล้ว!
เขากัดฟันแน่นพลางเอ่ย “จิ่นอวี๋! เจ้ายังเด็กเกินไป! เจ้ารู้หรือว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร เจ้าดูองค์หญิงหนิงอันเป็นตัวอย่างสิ พระองค์ทรงมีพระทัยให้หวงฝู่เจิงก็จริง แต่ท้ายที่สุดเป็นอย่างไรล่ะ พระองค์สิ้นพระชนม์ที่ชายแดน! คนเป็นพ่ออย่างข้าไม่มีวันที่จะยอมให้เจ้าแต่งงานกับคนเร่ร่อนพรรค์นั้น!”
แต่ก่อนเขาเคยนับถืออันจวิ้นอ๋องไว้สูงฉันใด วันนี้กลับดูแคลนและกดอันจวิ้นอ๋องให้ต่ำลงฉันนั้น
ในเมื่อสิ้นฐานะการเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลที่เคยเป็นอันดับต้นแล้ว ก็ไม่มีวันคู่ควรกับลูกสาวของเขา
แต่อย่างไร จิ่นอวี๋เป็นบุตรสาวของเขา ท่านโหวกู้มิอาจใช้วาจาที่ดุดันจนเกินเหตุ เขาจึงพยายามผ่อนน้ำเสียงลง “จิ่นอวี๋ เจ้าเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของข้านะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทนทุกข์ทรมานในชายแดนเป็นอันขาด!”
“แต่ว่า ท่านพ่อ…”
“จิ่นอวี๋ อย่าทำให้พ่อผิดหวัง!” ท่านโหวกู้อดไม่ได้ที่จะต้องเข้มงวดกับนาง
ที่ผ่านมา กู้จิ่นอวี๋ไม่เคยทำให้ท่านโหวกู้โกรธเดือดดาลเช่นนี้มาก่อน เหล่าบ่าวรับใช้ทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ
ท่านโหวกู้ยังคงเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้าต้องถูกเด็กคนนั้นล้างสมองมาแน่ๆ ! เจ้าถึงได้มีนิสัยดื้อรั้นเช่นนาง!”
“ท่านพ่อ…” กู้จิ่นอวี๋เริ่มสะอื้น
“ไปตามคนมา!” ท่านโหวกู้มองปราดด้วยสายตาคมกริบ
“เจ้าค่ะ ท่านโหว” นางกำนัลใหญ่เดินเข้ามา
“ตั้งแต่นี้ไป จงเฝ้าประตูทั้งกลางวันและกลางคืน จับตาดูนางไว้และอย่าปล่อยให้นางออกไป หากพวกเจ้าไม่ทำตามคำสั่งของข้า รอวันถูกขับไล่ได้เลย!”
นางกำนัลใหญ่หันไปชำเลืองที่กู้จิ่นอวี๋หนึ่งที ก่อนโค้งตัวน้อมรับ “เจ้าค่ะ ท่านโหว!”
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!” กู้จิ่นอวี๋เดินตามหลังท่านโหวกู้ที่เพิ่งเดินออกไป
เหล่าบ่าวรีบเข้าไปรั้งตัวนางไว้
“คุณหนูรีบเข้าห้องเถิดเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะพลอยเดือดร้อนเอานะเจ้าคะ”
“พวกเจ้าปล่อยข้าเถิด ข้าจะไปหาท่านพ่อ ข้าจะไปขอร้องเขาอีกครั้ง…” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยทั้งน้ำตา
นางกำนัลใหญ่พยายามโน้มน้าว “คุณหนู ที่ท่านโหวทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวคุณหนูเองนะเจ้าคะ ท่านอันจวิ้น… เอ่อ… จวง… เอ่อ ตอนนี้เขาผู้นั้นไม่มียศอะไรแล้ว เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ถ้าคุณหนูแต่งงานกับเขา คุณหนูจะไม่ได้มีชีวิตที่ดีนะเจ้าคะ บ่าวเข้าใจคุณหนู คุณหนูเป็นคนใจดีและทนไม่ได้ที่จะทรยศคู่หมั้นของคุณหนู แต่ในเวลานี้คุณหนูไม่คิดถึงหัวอกของท่านโหวบ้างเลยหรือเจ้าคะ ท่านโหวรักคุณหนูมาก หากคุณหนูจากไปคราวนี้ คุณหนูอาจไม่ได้อยู่เคียงข้างท่านโหวอีก ท่านโหวจะต้องตรอมใจเพราะคิดถึงคุณหนูเอามากๆ เลยนะเจ้าคะ”
กู้จิ่นอวี๋ทรุดเข่านั่งลงบนพื้น เอามือปิดหน้า และปล่อยร้องโฮจนไม่เป็นเสียง
“คุณหนูรองใจดีเกินไปแล้ว”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดเหมือนคุณหนูใหญ่ได้นี่นา ที่คิดถึงแต่สามีจนลืมพ่อบังเกิดเกล้าอย่างท่านโหว”
“ก็เพราะสามีของคุณหนูใหญ่เป็นคนมีความสามารถต่างหาก เขาเป็นบัณฑิตที่เก่งกาจที่สุดในสำนักบัณฑิตของชนบท คุณหนูใหญ่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาเพราะเขาได้ดิบได้ดี หากท่านชายเซียวไร้ประโยชน์ไม่ก็ถูกเนรเทศมีหรือที่คุณหนูใหญ่จะยังเต็มใจอยู่ด้วยกับเขา”
“แต่คุณหนูรองมีใจให้เขาจริงๆ ”
“บุญมีแต่กรรมบังแท้ๆ ชะตาคงกำหนดไม่ให้พวกเขาคู่กัน”
เมื่อราตรีมาเยือน เสียงสนทนาตามทางเดินของเหล่าบ่าวและนางกำนัลก็ค่อยๆ ลดลง
กู้จิ่นอวี๋นั่งเงียบๆ ในห้องมืด นางไม่ได้จุดตะเกียงสักดวง รวมถึงไม่แตะอาหารที่พวกบ่าวรับใช้นำเข้ามาให้อีกด้วย
ทุกอย่างหยุดนิ่งลง
ทันใดนั้น พอกู้จิ่นอวี๋เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเงามืดแวบวับมาจากหน้าต่าง
*********************