สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 613 จบเห่ (1)
บทที่ 613 จบเห่ (1)
หลังจากกู้ฉังชิงลากกู้เหยี่ยนออกมาจากจวน และได้มาส่งกู้เหยี่ยนลงที่ตรอกปี้สุ่ย
พวกเขาขี่ม้าตัวเดียวกัน โดยกู้เหยี่ยนนั่งข้างหน้า
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีเรียกได้ว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อวิสัยของกู้ฉังชิงแต่อย่างใด เขากุมสายบังเหียนแน่นและโอบร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนของเขา
กู้เหยี่ยนที่เพิ่งจะทำท่าระรี่ระริกไปหมาดๆ ก็ดูจะเริ่มสะลึมสะลือเข้าแล้วจริงๆ จึงเอนหัวพิงนอนบนแผ่นอกของพี่ใหญ่ หัวของเขาผงกหงึกหงักราวกับหัวไก่ที่กำลังจิกเม็ดข้าวสาร
กู้ฉังชิงทั้งฉุนทั้งอดขำไม่ได้ในคราวเดียวกัน ก่อนจะยื่นมือโอบเอวบางง่อนแง่นของคนร่างเล็ก “ง่วงแล้วสิ”
“หืม” กู้เหยี่ยนขานตอบด้วยความมึนงงพลางยืดนั่งตัวตรง จากนั้นพยายามเบิกตาให้กว้างเฉกเช่นคนเต็มตื่น “ข้าไม่ง่วง!”
กู้ฉังชิงได้แต่หัวเราะ แล้วเอ่ยถาม “เรื่องกู้จิ่นอวี้ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
กู้เหยี่ยนตอบด้วยความมั่นใจ “ก็สืบเอาน่ะสิ ข้าออกจะฉลาดขนาดนี้!”
กู้ฉังชิงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง พลางเย้ยหยัน “ไม่ถ่อมตัวเลยรึ”
เขาไม่ได้ซักถามต่อว่ากู้เหยี่ยนใช้วิธีสืบอย่างไร เพราะเจ้าเด็กน้อยกำลังทำท่าสัปหงกอีกครั้ง กระนั้นต่อให้ไม่ถาม เขาก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้
จวงอวี้เหิงเข้ามาอาศัยที่ตรอกปี้สุ่ย กู้เหยี่ยนคงได้รู้เรื่องจากปากของจวงอวี้เหิงว่าเขาถูกจวงเย่ว์ซีวางยา
จวงอวี้เหิงไม่สงสัยการปรากฏตัวในนั้นวันนั้นของกู้จิ่นอวี้ คิดว่านางแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น และคิดว่านางเป็นห่วงเขาอยู่จริงๆ
กู้เหยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์พอรู้ดังนั้นก็ไม่ปักใจเชื่อในทันที
เขาคงไม่ได้ลงทุนสืบหาหลักฐานเสียทีเดียว เพียงแต่อาจเก็บรายละเอียดต่างๆ มาปะติดปะต่อเรื่องราว รวมถึงสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับอุปนิสัยของกู้จิ่นอวี๋ เลยพอจะคาดการณ์อะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง
ท้ายที่สุดแล้วมันคือการคาดเดาล้วนๆ
แต่พอได้เห็นปฏิกิริยาของกู้จิ่นอวี๋ก็พบว่า เดาได้แม่นจริงๆ
กู้ฉังชิงก้มลงมองร่างเล็กที่หลับไปในอ้อมแขนของเขา “เวลาเรียนหนังสือไม่เห็นจะฉลาดแบบนี้บ้างเลย”
…
วันถัดมา จวงอวี้เหิงจัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เตรียมขึ้นรถม้าที่จะมุ่งหน้าไปยังชายแดน
ไทเฮาเองก็มาที่ตรอกปี้สุ่ยเพื่อส่งเขา แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ถูกเนรเทศ กระนั้นชายแดนหาใช่ที่ที่จะอยู่อย่างสุขสบายไม่ ในเมื่อเขาต้องการดูแลพี่น้องของเขา ก็ต้องยอมกินอยู่อย่างลำบาก
‘หากทนไม่ไหวก็กลับมาเถิด ที่นี่คือบ้านของเจ้า’
ไทเฮามิได้เอ่ยประโยคนี้กับเขา
หากเทียบกับตอนที่เขาต้องไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉิน การเดินทางของจวงอวี้เหิงในคราวนี้คงเปรียบได้เป็นความรับผิดชอบครั้งยิ่งใหญ่และยาวนานของตัวเขาเอง เขาไม่ได้ออกเดินทางในฐานะตัวแทนแคว้น และไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่นี่คือเส้นทางใหม่ที่เขาเลือกเอง
ทุกย่างก้าว จะเป็นการเริ่มต้นใหม่เพื่อตัวเขาเอง ไร้ซึ่งอำนาจพึ่งพิง ไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากใคร
“ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า” เซียวเหิงยื่นหนังสือให้เขา “เห็นเจ้าอยากศึกษาตำราของแคว้นเยี่ยนมิใช่รึ ข้าเรียบเรียงมันแล้วใส่คำอธิบายไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
มันคือหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิชาคำนวณศาสตร์ของแคว้นเยี่ยน ด้วยความที่จวงอวี้เหิงไม่ถนัดภาษาแคว้นเยี่ยน เซียวเหิงจึงแปลเป็นภาษาแคว้นเจาไว้ให้
เห็นได้ชัดว่าเขาทำมันไว้นานแล้ว เพราะช่วงนี้แขนขาของเขายังกลับมาใช้งานปกติไม่ได้
จวงอวี้เหิงรับหนังสือมา แล้วเอ่ยกับเซียวเหิงที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น “ขนาดเจ้ายังเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าเองก็ต้องทำได้”
เขารู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิงแล้ว
ว่ากันตามตรง เรื่องราวของเซียวเหิงเป็นแรงผลักดันให้เขาอย่างมาก ในเมื่อมีคนเคยทำได้ นั่นแปลว่าเส้นทางที่เขาเลือกต้องไปต่อได้ ตอนนั้นเซียวเหิงอายุเพียงสิบสี่ขวบเท่านั้น
เซียวเหิงในวัยสิบสี่ยังทำได้ ไยเขาจะทำไม่ได้!
จวงอวี้เหิงเอ่ยอย่างหนักแน่นกับเขา “รอวันที่ข้ากลับมายังเมืองหลวงด้วยล่ะ!”
“จะรออย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ” เซียวเหิงตอบ
ส่วนไทเฮามอบกล่องบุกำมะหยี่กล่องหนึ่งให้กับเขา
พอขึ้นรถม้า เขาก็เปิดมันออก
ในนั้นคือหมวกมงกุฎ
มันคือของขวัญที่ท่านย่าเตรียมไว้เพื่อวันเกิดครบยี่สิบปีของเขา และดูเหมือนว่าเขาต้องฉลองวันเกิดบนรถม้า
เขายกมือปาดน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตาแดงก่ำ พร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “ขอบพระทัยขอรับ ท่านย่า”
…
ช่วงนี้ท่านโหวกู้เอาแต่หมกตัวอยู่ที่กรมโยธา กู้จิ่นอวี๋เดินทางไปหาเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบ
ส่วนเซียวเหิงที่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากพักฟื้นอย่างเคร่งครัดในที่สุดก็ถึงเวลาถอดผ้าพันแผลออก ขณะที่เซวียนผิงโหวผู้โชคร้าย นอกจากแผลของเขาจะสาหัสกว่าหลายเท่า กระนั้นยังดื้อรั้นไม่ยอมพักฟื้น ทั้งขี่ม้า ทั้งถูกต้นไม้ล้มใส่ อาการบาดเจ็บของเขาไม่มีวี่แววว่าจะหายดีแต่อย่างใด
ขณะที่เซียวเหิงได้รับอิสระแล้ว เซวียนผิงโหวยังคงนั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับผ้าพันแผลเต็มตัว
แรงแม้แต่จะเล่นไพ่ก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ
“ฉินเฟิงหว่าน”
เซวียนผิงโหวขานเรียกชื่อขององค์หญิงซิ่นหยางที่กำลังช่วยจิ้งคงมัดผมจุก
ผมของเสี่ยวจิ้งคงยาวพอที่จะมัดจุกได้แล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางมัดผมให้เขาอย่างจริงจัง เจ้าตัวเล็กเองก็ยินดีที่องค์หญิงซิ่นหยางมาช่วยเขา
นางไม่อยากเสวนากับเซวียนผิงโหว
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้ว พร้อมเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่ามาทำเป็นรักเด็กต่อหน้าข้าหน่อยเลย ข้าไม่อยากมีลูกกับเจ้า”
องค์ซิ่นหยางได้ยินดังนั้นก็เดือดจนคว้าเข่งที่อยู่ข้างๆ เล็งแล้วขว้างไปที่ศีรษะของเซวียนผิงโหว
เซวียนผิงโหวที่ถูกเข่งครอบหัว “…”
“ฉินเฟิงหว่าน”
“เอาเข่งออกไปเดี๋ยวนี้”
“ฉินเฟิงหว่าน”
“เจ้ากล้าดียังไง”
“ฉินเฟิงหว่าน ฉินเฟิงหว่าน”
ช่วงนี้กู้เจียวขยันขันแข็งเป็นพิเศษ นางยึดพื้นที่ทั้งหน้าและหลังเรือนของจี้จิ่วอาวุโสจนหมด แถมมักจะออกไปที่ร้านขายเหล็ก และมักจะกลับมาที่เรือนในสภาพสะบักสะบอมอีกด้วย
วันนี้นางก็ไปที่ร้านขายเหล็กอีกครั้ง พอกลับมาก็จัดแจงอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อแล้วรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนของข้างๆ
เป็นเวลาทำกายภาพของหวงฝู่เสียนพอดี
วันนี้เขาต้องหยุดใช้ไม้เท้า และใช้มือจับราวเหล็กทั้งสองฝั่งเพื่อพยุงตัวขึ้น
หวงฝู่เสียนไม่กล้าลุกขึ้นจากรถเข็น
กู้เจียวเดินมาหยุดออยู่ตรงหน้าเขา แล้วยื่นมือออกไปในระยะที่พอจะโอบอุ้มร่างของเขาให้ขึ้นมาได้ เอ่ยกับเขา “ไม่ต้องกลัวนะ ลองยืนขึ้นก่อน”
หวงฝู่เสียนยังคงลังเลใจ
ด้วยความที่เขาเป็นคนขี้อาย ต้องทำกายภาพในที่ที่ไม่มีคน ขนาดอวี้หยาร์กับหลิวฉวนจะมาที่ลานหลังเรือนยังต้องรีบเดินผ่านไป
“หากยังลังเลอยู่แบบนี้ ประเดี๋ยวเสี่ยวจิ้งคงจะมาแล้วละมั้ง” กู้เจียวเอ่ย
พอนึกถึงเจ้าหัวเห็ด หวงฝู่เสียนถึงกับกัดฟันแน่น
เขาไม่อยากให้เจ้าหัวเห็ดดูแคลนและรู้สึกผิดหวังในตัวเขา
หวงฝู่เสียนสูดหายใจลึก แล้วใช้มือทั้งสองของข้างคว้าที่ราวเหล็ก
กู้เจียวมองเขา “ลุกขึ้น หวงฝู่เสียน”
เขาออกแรงแขนก็จริง แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมเชื่อฟัง
“ข้า…ข้าลุกไม่ได้”
ตอนที่ใช้ไม้เท้าก็ยังเดินได้ตั้งหลายก้าว พอไม่มีไม้เท้ากลับกลายเป็นว่ายืนไม่ไหวเสียอย่างนั้น
ไม้เท้านั้นกลายเป็นที่พึ่งทางใจของเขาไปเสียแล้ว กู้เจียวต้องช่วยสลัดความคิดนี้ของเขาออกไป
“หวงฝู่เสียน ลุกขึ้น” กู้เจียวเอ่ยซ้ำ
หวงฝู่เสียนออกแรงจนเส้นเลือดที่หลังมือของเขาปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เขาเพิ่งยกตัวขึ้นได้เพียงนิดเดียว ความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับโดนเข็มทิ่มก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วขาของเขา
เขาทรุดตัวนั่งลงบนรถเข็นพร้อมกับเหงื่อที่ชุ่มเต็มใบหน้า “ไม่ไหว!…ข้าทำไม่ได้!”
“หวงฝู่เสียน ลุกขึ้น” กู้เจียวยังคงจ้องเขม็งที่เขา และย้ำประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หวงฝู่เสียน ลุกขึ้น”
“ลุกขึ้น”
หวงฝู่เสียนหวนนึกถึงคืนพายุหิมะในวันนั้นอีกครั้ง ท่านแม่โอบกอดร่างของเขากลางเนินหิมะสูงเพื่อเป็นเกราะกำบังให้
“เสียนเอ๋อร์ เจ้าต้องมีชีวิตรอดให้ได้…”
ดวงตาของเขาแดงก่ำ มือทั้งสองกำพนักรถเข็นแน่น เขากัดฟันอย่างแรง จากนั้นใช้แรงแขนทั้งหมดที่มีค่อยๆ ยกร่างของตัวเองขึ้นมา
หมับ มือข้างขวาของเขาคว้าเข้าไปที่ราวเหล็กข้างขวา และตามมาด้วยข้างซ้าย
ลำแขนของเขาเริ่มสั่นจากการรับน้ำหนัก เขาค่อยๆ ผ่อนแรงจากแขนไปยังขาทั้งสองข้าง
หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว สามนิ้ว…
ร่างของเขาค่อยๆ ห่างจากรถเข็นมากขึ้น
ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาทำเอาทั้งตา จมูก และปากของเขาแทบจะกระจุกอยู่ด้วยกัน
และเป็นอีกครั้งที่เขาเกือบจะยอมแพ้และกลับลงไปนั่งบนรถเข็นเหมือนเดิม
“เจ้ายืนได้ครึ่งทางแล้ว!” กู้เจียวเอ่ยขึ้น
หวงฝู่เสียนกัดฟันอีกครั้ง ใช้แรงฮึดทั้งหมดที่มีเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้น!
ความทรมานนี้แทบทำให้เขาเจียนตาย แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น และในที่สุด เขาก็ลุกยืนขึ้นได้สำเร็จ
**************************************