สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 616 องค์หญิงพิทักษ์แคว้น
บทที่ 616 องค์หญิงพิทักษ์แคว้น
องค์หญิงซิ่นหยางเชื่อก็แย่แล้ว!
นางไม่ต้องการเห็นหน้าตัวการก่อเรื่องทั้งสองอีก ก็เลยวานให้คนไปส่งพวกเขา
จากนั้นให้อวี้จิ่นไปตามหมอซ่งแล้วขอให้เขาเบิกยาขับมดลูกให้
ขณะเดียวกันที่อีกฝั่ง ฉังจิ่งเดินทางกลับมาแล้ว และไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเซวียนผิงโหว เขากลับไปที่จวนก่อน จึงได้ทราบเรื่องจากผู้ดูแลหลิวและรู้ว่าเซวียนผิงโหวตอนนี้พำนักอยู่ที่ไหน
เขาใช้วิชาตัวเบาเหาะมาถึงที่ตรอกปี้สุ่ย ด้วยความที่เรือนของเซียวเหิงและกู้เจียวไม่มีห้องพักเหลือแล้ว เซวียนผิงโหว หวงฝู่เสียนรวมถึงจวงอวี้เหิงจึงต้องพักที่เรือนของจี้จิ่วอาวุโส
ฉังจิ่งจับความเคลื่อนไหวของเซวียนผิงโหวได้ในเวลาอันสั้น
จากนั้นเขากระโดดเข้าไปทางหน้าต่างห้อง
ภาพในห้องทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องดึงดาบออกมาในทันที เขาโฉบไปข้างเตียง ยืนกำบังให้เซวียนผิงโหวที่นอนอยู่บนเตียงและพยายามตื่นตัวต่อการเคลื่อนไหวรอบๆ
เซวียนผิงโหวเห็นดังนั้นจึงทำท่าขยับเชือกที่ข้อมือ พร้อมเอ่ยขึ้น “ไม่มีใครอยู่หรอก เจ้ามาแก้เชือกให้ข้าก่อน”
“อ้อ” จากนั้นเชือกทั้งสองข้างก็ขาดออกด้วยแรงสะบัดดาบของเขาแค่เล็กน้อย แทบไม่สะกิดโดนเนื้อของเซวียนผิงโหว
ฉังจิ่งหยิบเชือกขึ้นมาชำเลืองพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย “นี่มันเชือกธรรมดามิใช่รึ เหตุใดท่านถึงแก้มันไม่ได้”
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ร่างกายของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป
ฉังจิ่งกวาดสายตาไปรอบพื้นห้องที่เต็มไปด้วยเศษซากสิ่งของกระจัดกระจาย จากนั้นหันมาชำเลืองร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลของคนบนเตียง “ท่านถูกทำร้ายรึ ผู้ใดกัน ข้าจะไปสั่งสอนมัน!”
ผู้ใดที่มันทำเช่นนี้ ช่างอุกอาจยิ่งนัก!
ฉังจิ่งติดตามเซวียนผิงโหวมาก็นาน แต่ไม่เคยเห็นสภาพที่สุดจะสะบักสะบอมเช่นนี้มาก่อน!
เซวียนผิงโหวเหลือบมองฉังจิ่ง และนึกขึ้นได้ว่าเขายังเด็กอยู่ เลยเลือกที่จะบอกปัดแทน “ไม่เป็นไร ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ แล้วก็ไม่ต้องไปตามล้างแค้นอะไรด้วย แล้วนี่เจ้าเลิกตามหนานกงลี่แล้วรึ แล้วเขาไปไหนเสียแล้วล่ะ”
“ข้าปล่อยให้เขาหนีไป แล้วไม่ได้ตามต่อ” ฉังจิ่งสีหน้าหมองหม่นลง
เซวียนผิงโหวมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “หายากนะ คนที่หลุดรอดเงื้อมมือเจ้าไปได้”
เซวียนผิงโหวไม่ได้จะสื่อว่าฝีมือของฉังจิ่งนั้นไม่ดี แต่หนานกงลี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉังจิ่งด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังอยู่ในสภาพแขนขาดแบบนั้นย่อมหนีไปไหนได้ไม่ไกลอยู่แล้ว
“มีคนช่วยเขาไว้” ฉังจิ่งลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดความจริงออกไป “คนที่ช่วยเขาก็คือหัวหน้าลัทธิอั้นเย่”
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้ว “ลัทธิที่เจ้าเคยอยู่ใช่ไหม”
“อืม”
ฉังจิ่งพยักหน้า
เซวียนผิงโหว “ไม่แปลกที่เจ้าจะต่อกรกับคนระดับหัวหน้าลัทธิไม่ได้”
ข้าต่อกรกับเขาได้ เพียงแต่ข้าเลือกที่จะไม่ทำ
ฉังจิ่งได้แต่บ่นในใจ
เซวียนผิงโหวไม่ค่อยรู้เรื่องของลัทธิอั้นเย่นัก แค่เคยได้ยินว่าเป็นลัทธิลับที่ทรงอำนาจที่สุดในหกแคว้น ตอนที่เขาเจอกับฉังจิ่งเป็นครั้งแรก ตอนนั้นฉังจิ่งกำลังถูกคนของลัทธิตามล่า ระหว่างหนีก็บังเอิญเจอเข้ากับรถม้าของเซวียนผิงโหว ฉังจิ่งจึงแอบเข้าไปหลบในนั้นแล้วเผลอหลับไป
เซวียนผิงโหวจึงเข้าใจผิด คิดว่าเขาถูกคนของลัทธิตามฆ่า ฉังจิ่งจึงบอกเขาว่าเขาเป็นคนของลัทธิ เพียงแต่ เขาไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่นแล้ว
พอเซวียนผิงโหวเห็นว่าฉังจิ่งเป็นคนมีฝีมือ จึงชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน ตอนแรกฉังจิ่งยังไม่ตอบรับ นอกจากนี้เซวียนผิงโหวยังค้นพบว่าฉังจิ่งชอบเล่นลูกหิน ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายวันและในที่สุดก็ซื้อใจฉังจิ่งได้สำเร็จ
จนถึงวันนี้ เซวียนผิงโหวยังเข้าใจว่าฉังจิ่งเป็นแค่ลูกสมุนตัวเล็กๆ ในลัทธิ
แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเขาคือนายน้อยของลัทธิอั้นเย่
“แต่เขาคงอยู่ได้ไม่นานหรอก ข้าแทงมันไปตั้งหลายจุด” ฉังจิ่งเอ่ย
เขาพยายามหาเหตุผลเพื่อไม่ให้เซวียนผิงโหวเข้าใจผิดว่าเขาสู้กับหัวหน้าลัทธิไม่ได้
“ตามนั้น” เซวียนผิงโหวหัวเราะชอบใจ “แล้วเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ข้าไม่เป็นอะไร” ฉังจิ่งส่ายศีรษะ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าวานให้เจ้าไปทำธุระให้ข้าได้แล้วสิ” เซวียนผิงโหวถามขึ้น
ฉังจิ่งถึงกับทำหน้าบูดบึ้ง พลางนึกในใจ แล้วข้าบอกว่าไม่ว่างจะได้หรือไม่
…
หลังจากผ่านช่วงการพิจารณาอย่างยาวนาน ในที่สุดรายนามผู้อุทิศตนถูกร่างขึ้นอย่างเสร็จสมบูรณ์
ในการสู้รบที่ป้อมปราการชายแดน ถังเย่ว์ซาน ผู้บัญชาการทหารและทหารม้า ได้รับการยกย่องรับตำแหน่งถังเอินป๋อ และได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง
กู้ฉังชิง บุตรชายของติ้งอันโหว เป็นผู้นำกองทัพตระกูลกู้ในการขับไล่กองทัพของอดีตราชวงศ์และแคว้นเฉิน ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลติงเป่ยอันดับสาม และได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง
นอกจากนี้ กู้เฉิงเฟิง บุตรชายคนที่สองของติ้งอันโหว ได้รับตำแหน่งผู้บังคับการทหารม้าอันดับหกจากผลงานที่มีเกียรติในการปกป้องเมือง และได้รับรางวัลเงินแปดร้อยตำลึง
นอกจากนี้ ยังมีพลทหารอีกหลายคนที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในการรบ ทุกคนล้วนได้รับรางวัล
หมอถง รวมถึงหมอซ่ง ได้รับป้ายประกาศเกียรติคุณสำหรับการเป็นแพทย์ที่ช่วยเหลือยับยั้งโรคระบาด อีกทั้งได้รับรางวัลเป็นเงินห้าร้อยตำลึง
หมอคนอื่นๆ ที่ติดตามกองทัพต่างก็ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า
กู้เจียวเองก็เช่นกัน นางไม่เพียงแต่เป็นผู้มีส่วนหลักในการปราบปรามโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังเป็นคนสำคัญในการปกป้องเมืองเย่ว์กู่อีกด้วย ยังไม่นับเรื่องที่นางจัดการกองทัพห้าพันนายของศัตรูเพียงลำพัง
ฮ่องเต้แต่งตั้งให้นางเป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์แคว้น
ส่วนเซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยางก็เป็นบุคคลสำคัญในการปกป้องแคว้นเช่นกัน แต่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งได้แค่คนเดียว คือให้เซวียนผิงโหวเลื่อนขั้นเป็นเซวียนผิงอ๋อง หรือไม่ก็มอบตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์แคว้น
พวกเขาไม่อาจรับตำแหน่งพร้อมกันได้
ต้องให้สองสามีภรรยาเป็นผู้ตัดสินใจเอง
นอกจากนี้ ราชเลขาหยวนยังได้ยื่นหนังสือแก่ฮ่องเต้เพื่อขอตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขา
“เอ๋” ฮ่องเต้หันไปทางราชเลขาหยวนด้วยความฉงน “หลังจากที่อยู่ในคณะเสนาบดีมาหลายปี ไม่เคยเห็นเจ้าคิดจะแต่งตั้งผู้ช่วยเลย เหตุใดจู่ๆ ถึงมาขอล่ะ”
ราชเลขาหยวนยกมือถวายบังคมแล้วเอ่ย “กระหม่อมอายุมากแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ดังใจหลายอย่าง นอกจากนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลจวงยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อคณะเสนาบดี คณะเสนาบดีอยู่ในความสับสนวุ่นวาย พวกเราอ่อนแอลงอย่างมาก กระหม่อมหวังว่าจะมีคนสามารถเสริมกำลังคณะเสนาบดีให้ดีขึ้นกว่าเดิม และคอยรับใช้พระองค์และราชสำนักแห่งแคว้นเจาพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำเหล่านี้สะเทือนพระทัยฮ่องเต้ไม่น้อย เป็นความจริงที่ราชครูจวงได้นำความหายนะมาสู่ครึ่งหนึ่งของคณะเสนาบดี ผู้ช่วยเสนาบดีทั้งสองคนคือคนของเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายใดๆ แต่ก็ยังทรงไม่วางพระทัยที่จะมอบหมายงานให้คนสองคนนั้น
“แล้วเจ้าเลือกใครไว้รึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม
ราชเลขาหยวนทำหน้ายิ้มกริ่ม พลางตอบ “กระหม่อมเลือก…เซียวลิ่วหลัง จากสำนักฮั่นหลินและกรมยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ”
ประเด็นอยู่ที่เขาคือเซียวเหิง แล้วข้าจะเอาตัวตนที่แท้จริงของเขากลับคืนมาได้อย่างไรดี
ให้เขาเป็นเซียวลิ่วหลังไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกกระมัง
ฮ่องเต้ตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนให้คำตอบ “เจ้าลองกลับไปพิจารณาดูให้ดีก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชเลขาหยวนน้อมรับ ฮ่องเต้ตรัสถูกแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องคิดให้รอบคอบจึงจะดี
“ว่าแต่” ขณะที่ราชเลขาหยวนเตรียมจะลา ฮ่องเต้ก็พลันตรัสถามเขา “เราได้ยินมาว่าตระกูลหยวนกับตระกูลของติ้งอันโหวกำลังจะมีงานบุญรึ เรื่องจริงใช่ไหม”
“เป็นจริงขอรับ กู้ฉังชิงกับหลานสาวของกระหม่อมหยวนเป่าหลินกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ขอรับ”
แม้ฮ่องเต้จะทรงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็มองว่าเหมาะสม “ฉังชิงและเป่าหลิน… เป็นคู่ที่ถูกสร้างโดยสวรรค์”
พอได้ยินดังนั้น ราชเลขาหยวนถึงกับฉีกยิ้มอย่างอดไม่ได้ “จริงๆ แล้ว เด็กทั้งสองเขาตกลงกันเองขอรับ”
ความเข้าใจผิดเรื่องที่หยวนเป่าหลินไม่ได้ตั้งครรภ์ได้รับการแก้ไขแล้ว ว่ากันตามตรง ราชเลขาหยวนเดิมรู้สึกว่าคู่นี้อย่างไรก็คงไปกันไม่ได้ มิหนำซ้ำทั้งคู่ต่างก็ไร้ซึ่งความกระตือรือร้นต่อกัน เขามองว่าหากใครคนใดคนหนึ่งไม่มีความสุข ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องบังคับให้ทั้งสองแต่งงานกัน ใครจะคิดจู่ๆ วันหนึ่งทั้งคู่ก็ดันตกลงปลงใจกันขึ้นมา
ราวกับทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างดี จนราชเลขาหยวนเองก็ไม่กล้าปฏิเสธ
…
ในที่สุด ท่านโหวกู้ก็ได้ทราบฤกษ์จากโหรหลวง ตรงกับวันที่เก้าเดือนสามพอดี
นอกจากนี้ เขายังทราบข่าวอีกว่าจวงไทเฮาจะมาตรวจสอบตำหนักด้วยตัวพระองค์เอง พอถึงวันฤกษ์ เขาจึงรีบตื่นนอน จัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่ และไปยืนรออยู่ที่ประตูตำหนักใหม่อย่างใจจดใจจ่อตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง
เขาตื่นเต้นสุดขีด
ในที่สุดก็จะได้ยลโฉมพระพันปีหลวงตัวจริงเสียงจริงแล้ว
ด้วยตำแหน่งของเขา น้อยครั้งนักที่จะต้องเข้าวัง เขาจึงแทบไม่มีโอกาสได้พบปะกับเหล่าราชวงศ์
หารู้ไม่ว่านอกจากพวกเขาจะเคยเจอกันแล้ว มิหนำซ้ำยังเคยต่อปากต่อคำกันด้วย
เหตุผลที่สองที่เขาตื่นเต้นก็คือ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเจ้าของตัวจริงเสียงจริงที่จะมาพำนักที่ตำหนักแห่งนี้
ตำหนักหลังนี้สร้างขึ้นตามแบบแปลนของตำหนักองค์หญิง ตอนแรกเขาคิดว่ามันถูกสร้างขึ้นสำหรับจวงอวี้ซี และต่อมาเขาคิดว่ามันถูกสร้างขึ้นสำหรับองค์หญิงหนิงอันที่กลับมาจากป้อมปราการชายแดน
ทว่าคนของตระกูลจวงดันถูกเนรเทศ ส่วนองค์หญิงหนิงอันก็ดันไม่ใช่องค์หญิงตัวจริง ดังนั้นแล้วตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงองค์ไหนกันนะ
คงไม่ใช่หวงฝู่เสียนหรอกกระมัง
ไม่สิ แต่ตอนที่เพิ่งร่างแบบ ก็ไม่ยักกะได้ยินข่าวคราวของหวงฝู่เสียนเลยแม้แต่นิด
“จะเป็นใครกันหนอ”
ท่านโหวกู้อยากรู้อยากเห็นมากจนรู้สึกเหมือนมีกรงเล็บแมวกำลังเกาหัวใจของเขา
“ท่านโหว ท่านโหว!” หวงจงรีบวิ่งเข้ามา “องครักษ์ของไทเฮามาถึงที่นี่แล้วขอรับ!”
“เตรียมพร้อมการต้อนรับเดี๋ยวนี้!” ท่านโหวกู้ปรับหมวกของตัวเอง สะบัดแขนเสื้อออก และโค้งคำนับพร้อมกับข้าหลวงและคนรับใช้ที่อยู่ที่นั่น
ขบวนของไทเฮามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตำหนักใหม่ที่ทั้งดูโอ่อ่าและสง่างาม
ท่านโหวกู้ตะโกนขึ้น “ถวายบังคมองค์ไทเฮา! ไทเฮาอายุยืนพันปีพันพันปี!”
ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน “ถวายบังคมองค์ไทเฮา! ไทเฮาอายุยืนพันปีพันพันปี!”
ฉินกงกงลงจากรถม้าก่อน แล้วเปิดม่านรถให้ไทเฮา
จวงไทเฮาค่อยๆ ย่างเท้าลงจากรถม้าพร้อมกับสตรีในชุดสีเขียว
สายตาของท่านโหวกู้จับจ้องไปที่กระโปรงและรองเท้าปักลายสีขาวของสตรี และคิดว่าหรือนางจะเป็นเจ้าของตำหนักใหม่แห่งนี้
สตรีผู้นี้ย่างเท้าด้วยท่าทางที่กล้าหาญและหนักแน่น แตกต่างจากสตรีทั่วไป
“เข้ามาดูตำหนักของเจ้าสิ” จวงไทเฮาเอ่ย
“เพคะ” สตรีผู้นั้นเอ่ยน้อมรับ
ท่านโหวกู้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
เหตุใดน้ำเสียงของพวกเขาถึงได้ฟังคุ้นเคยยิ่งนัก
ท่านโหวกู้รวบรวมความกล้าตัดสินใจเงยหน้ามองไปที่สตรี เขาตกใจมากจนตัวแข็งทันที!
นี่มันเด็กบ้าไม่ใช่รึ!
จากนั้น พอเขาหันไปทางไทเฮา
ท่านโหวกู้ก็พลันเข่าทรุดลงไปบนพื้น
นี่เขาไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม
นี่มันท่านย่าของเด็กนั่นไม่ใช่รึ
เขาเคยเจอนางที่ชนบทครั้งหนึ่ง แวบแรกที่เจอก็รู้สึกคุ้นตาในทันที เพียงแต่เขาไม่แน่ใจเพราะว่าตัวเขาเองก็แทบไม่ได้เจอไทเฮาเลย
เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปกล้าแน่ใจกันเล่า!
เหตุใดพระพันปีหลวง…ถึงกลายเป็นหญิงชราเห็นแก่กินไปได้ล่ะ
ว่าแต่เขาเคยพูดอะไรที่ไม่สุภาพต่อหญิงชรา…เอ่อ ไม่สิ พระพันปีหรือเปล่านะ
แย่ละสิ แย่แล้ว เขาจำอะไรไม่ได้เลย!
ท่านโหวกู้เริ่มคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เด็กคนนี้ไปทำอะไรไว้นะ เหตุใดถึงซ่อนพระพันปีหลวงไว้ที่เรือนมาโดยตลอด แล้วเหตุใดถึงไม่บอกเขาสักคำ
บอกสักนิดจะมีใครตายรึไง!
เด็กคนนี้ เอาแต่กลั่นแกล้งพ่ออยู่ได้!
ท่านโหวกู้เอามือกุมที่หน้าอก เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหัวใจวาย
“เด็กนี่ จงใจจะเล่นงานข้าสินะ…จะมาเอาชีวิตข้าสินะ…”
เขาคิดแค่ว่าวันนี้เขาจะต้องตายแน่ เขากัดฟันแน่น และหลับตาราวกับว่าเขาตายไปแล้ว
หารู้ไม่ว่า จวงไทเฮากับกู้เจียวเดินผ่านเขาไปโดยแทบจะไม่ได้ชายตามองเขาด้วยซ้ำ
ท่านโหวกู้ “…”
“ชอบที่นี่ไหม”
ณ ศาลาเย็น จวงไทเฮาเอ่ยถามกู้เจียว
“ชอบสิ” กู้เจียวตอบอย่างจริงใจ
กู้เจียวชื่นชอบที่นี่จริงๆ ทุกอย่างถูกสร้างตามความต้องการของนาง มีทั้งตำหนักที่ถูกสร้างโดยล้อแบบเรือนที่ตรอกปี้สุ่ย รวมถึงมีลานและห้องเล็กๆ ที่เหมือนกับที่โรงหมอ นอกจากนี้ยังมีศาลา ศาลาริมน้ำ และระเบียงอีกด้วย รวมถึงห้องสมุด ห้องฝึกซ้อม และทุ่งหญ้าสำหรับขี่ม้าและยิงธนู
จวงไทเฮาเอ่ยต่อ “ตรอกปี้สุ่ยเริ่มจะเล็กเกินไปแล้ว ย้ายมาที่นี่กันเถอะ”
“ข้า…” กู้เจียวเอ่ยอย่างลังเล
จวงไทเฮาเห็นสีหน้าของเด็กสาวก็เอ่ยถาม “ทำไมรึ หรือว่าเจ้าไม่อยากย้าย”
กู้เจียวยกมือกุมหน้าอก
นี่หรือ ความรู้สึกลังเลที่จะละทิ้งอะไรบางอย่าง
ตอนที่นางย้ายออกจากชนบทก็ไม่ยักมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น
ดูเหมือนนางจะ… สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กๆ น้อยๆ ที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน
จวงไทเฮายื่นโฉนดให้นาง “อย่ากังวลไป เจ้าสามารถย้ายได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ”
“ได้สิ” กู้เจียวน้อมรับ
ทั้งสองเดินไปรอบๆ ตำหนักเสร็จก็ขึ้นรถม้ากลับ
หัวใจของกู้เจียวมีอาการกระตุกอีกครั้ง
นางยกมือกุมหน้าอกพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
“เกิดอะไรขึ้นรึ” จวงไทเฮาที่จับผิดสังเกตได้ก็เอ่ยถามอย่างกังวล
“เจ็บ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้าย
“เจ้าไม่ได้เป็นโรคหัวใจนี่ จะเจ็บได้อย่างไร” จวงไทเฮาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเบิกตากว้าง “ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นกู้เหยี่ยน”
โรคหัวใจของกู้เหยี่ยนกำเริบอีกครั้ง
ขณะที่อาจารย์กำลังสอนหนังสือ เสียงกรีดร้องของเหล่าบัณฑิตก็ดังขึ้น พออาจารย์หันไปก็พบร่างกู้เหยี่ยนที่นอนนิ่งบนพื้น
กู้เสี่ยวซุ่นรีบพุ่งเข้ามา แล้วหยิบยาจากในกระเป๋าป้อนให้เขา
โรคหัวใจของกู้เหยี่ยนไม่กำเริบมาครึ่งปีแล้ว บางครั้งเวลาที่รู้สึกไม่สบาย กินยาแค่เม็ดเดียวก็หายแล้ว
แต่ครั้งนี้…ดูเหมือนว่ายานั้นจะไม่ได้ผล
กู้เจียวรีบกลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย
ก็พบว่าแม่นางเหยาร้องไห้จนหมดสติไปแล้ว
กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งออกมาจากห้องโถง พลางตะโกน “ท่านพี่ กลับมาเสียที! กู้เหยี่ยนเขา…”
“เขาอยู่ไหน” กู้เจียวพยายามคุมสติ
“อยู่ที่ห้องนอนท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นรีบตอบ
กู้เจียวมาที่ห้องนอนของตัวเอง
อาการของกู้เหยี่ยนแย่มาก และเขามีภาวะหัวใจหยุดเต้นกำเริบอีกครั้ง
ทุกอย่างดูเหมือนจะย้อนกลับไปตอนที่ทั้งสองพบกันที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน ตอนนั้นเขาก็เป็นแบบนี้ ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถช่วยชีวิตได้ตลอดเวลา
กู้เจียวหยิบอะดรีนาลีนและน้ำเกลือออกมาจากกล่องยา
เข็มที่หนึ่ง เข็มที่สอง เข็มที่สาม…
หลังจากฉีดไปทั้งสิ้นสี่เข็ม ในที่สุดหัวใจของเขาก็กลับมาเต้นอีกครั้ง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอได้เห็นใบหน้าของกู้เจียว ดวงตาที่ว่างเปล่าและสลัวของเขาก็พลันเปล่งประกาย “ท่านพี่”
ปกติเขาจะเรียกนางว่าเจียวเจียว เว้นเสียแต่ตอนที่เขารู้สึกอ่อนแอ ถึงได้เรียกตามที่ควรจะเรียก
กู้เจียวถอดถุงมือออก แล้วเอามืออังที่หน้าผากของเขา “ข้าอยู่นี่”
“กอดข้าหน่อย” เขาเอ่ย
กู้เจียวดึงร่างของเขาเข้ามาในอ้อมอก
กู้เหยี่ยนสูดกลิ่นของนาง หลับตาลง แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ขอแค่เจ้าอยู่กับข้า ไม่ว่าจะเจอกับอะไรข้าไม่กลัว หากวันใดที่ข้าต้องจากไป เจ้าอยู่กับข้าได้ไหม ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนพาข้าไปส่ง”
*********************************