สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 617 ฝาแฝด
บทที่ 617 ฝาแฝด
กู้เจียวรู้สึกปวดแปลบในใจ แม้แต่นางเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง หรือเป็นความเจ็บปวดจากกู้เหยี่ยน นางเป็นคนที่ขาดการรับรู้ทางอารมณ์ ความรู้สึกที่นางรับรู้ส่วนใหญ่ก็มาจากกู้เหยี่ยน
ไม่รู้ว่าฝาแฝดทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่า
หากเปรียบพวกเขาเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง กิ่งก้านของกู้เจียวคงเปรียบเสมือนกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว ส่วนกู้เหยี่ยนเปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงที่ถ่ายทอดความรู้สึกของเขาให้นาง ทำให้นางได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตภายใต้แสงแดดร่วมกับเขา
การเปรียบเทียบนี้อาจไม่เหมาะสม แต่นางรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถแยกจากกันได้ มันเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งที่สุด
กู้เจียวกอดกู้เหยียนไว้แน่น และเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าผากอันร้อนระอุของเขา “ข้าจะไม่ให้เจ้าจากไป พวกเราจะอยู่ด้วยกัน”
และแล้วกู้เหยี่ยนก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของนาง
สภาพของเขาในครั้งนี้แย่กว่าตอนที่เจอกันที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซานเสียอีก
กู้เหยี่ยนต้องได้รับการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การผ่าตัดธรรมดาที่สามารถดมยาสลบ กรีด ซ่อมแซมรอยโรค และเย็บแผลได้ การผ่าตัดของเขาต้องใช้การไหลเวียนภายนอกร่างกาย
ตอนนี้กู้เจียวไม่มีอุปกรณ์ช่วยการไหลเวียนโลหิตภายนอกร่างกาย หรือยาและอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการผ่าตัด
แม้ว่ากล่องยาขนาดเล็กจะสามารถจัดหายาและเวชภัณฑ์ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นของที่มีขนาดเล็กซึ่งไม่เกินขนาดของกล่อง
ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลสภาพปัจจุบันของกู้เหยี่ยน ไม่เพียงแต่ต้องใช้อุปกรณ์หมุนเวียนภายนอกร่างกายเท่านั้น แต่ยังต้องมีห้องผ่าตัดที่ครบวงจรอีกด้วย
กู้เจียวชำเลืองมองร่างที่กำลังหลับสนิทของกู้เหยี่ยน เขาอ่อนแอมากจนแม้แต่เส้นผมเล็กๆ บนศีรษะของเขาก็ยังไม่สามารถตั้งยกขึ้นได้
นางกุมมือของเขา แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปไหนทั้งนั้น”
หน้าที่พี่สาวของข้ายังไม่หมดแค่นี้
ไม่มีใครสามารถพรากเจ้าไปจากข้าได้ แม้กระทั่งยมบาล
…
การผ่าตัดของกู้เหยี่ยนดูเหมือนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ยังขาดอุปกรณ์และห้องผ่าตัด แต่กระนั้น กู้เจียวไม่ต้องการที่จะยอมแพ้
หลังจากกู้เจียวกอดกู้เหยี่ยนไว้พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเขาหลับลึกแล้ว กู้เจียวจึงค่อยๆ วางร่างขงเขากลับบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมเขา
กู้เจียวเดินออกมาจากห้อง แล้วพูดกับกู่เสี่ยวซุ่นที่กำลังรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ในห้องโถง “เสี่ยวซุ่น มานี่หน่อย”
“ท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นหันกลับมาแล้วเดินไปหากู้เจียว “กู้เหยี่ยนเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” กู้เจียวตอบ
แม้ใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่กู้เสี่ยวซุ่นสามารถรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของนาง
กู้เสี่ยวซุ่นรู้สึกสงสารกู้เจียวจับใจ เขาเป็นเด็กที่พ่อแม่แท้ๆ ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ มีเพียงพี่สาวคนนี้เท่านั้นที่ดีต่อเขา
“ท่านพี่” เมื่อคิดว่ากู้เจียวจะต้องเสียใจเพราะกู้เหยี่ยน จู่ๆ ลำคอของเขาก็สำลักด้วยเสียงสะอื้น
กู้เจียวมองเขาแล้วเอ่ยถาม “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
เมื่อเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง กู้เสี่ยวซุ่นรีบเช็ดน้ำตาของเขา ให้กำลังใจ แล้วเอ่ย “ว่ามาเลย!”
“กู้เหยี่ยนได้ทำอะไรแปลกๆ ก่อนที่อาการจะกำเริบหรือไม่” กู้เจียวมองเขาแล้วถาม
กู้เสี่ยวซุ่นเกาหัว “พฤติกรรมแปลกๆ รึ”
“เช่น ไปเจอใครมา กินอะไรแปลกๆ เข้าไป” กู้เจียวอธิบาย
กู้เหยี่ยนรับประทานยามาอย่างต่อเนื่องจนอาการหายไปเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนคนปกติ จึงไม่ควรมีอาการกำเริบกะทันหันเช่นนี้
กู้เสี่ยวซุ่นรู้ว่ากู้เหยี่ยนเป็นโรคหัวใจ เวลาอยู่ที่สำนักบัณฑิตกู้เหยี่ยนจะต้องอยู่ในสายตาของเขาตลอด
กู้เหยี่ยนพยายามนึกย้อนความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ “วันนี้ พวกเราก็เข้าไปเรียนพร้อมกันเหมือนปกติ… ช่วงเลิกเรียน เขาก็ไปเข้าห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง แต่เหมือนว่าตอนเขากลับมา… เขาดูมีท่าทีเหนื่อยเล็กน้อย แล้วก็บ่นให้ข้าฟังอยู่เรื่อยๆ ว่าเขารู้สึกอ่อนเพลีย ไม่อยากไปเรียน อยากฟุบตัวลงนอน ตอนแรกข้าก็นึกว่าจะไม่มีอะไร แต่จู่ๆ…ร่างของเขาก็พลันล้มลงทันที”
กู้เจียวขมวดคิ้ว
“อ๊ะ!”
ทันใดนั้นกู้เสี่ยวซุ่นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “ข้านึกออกแล้ว! ตอนนั้นกู้เหยี่ยนกลับมาจากห้องน้ำแล้วพูดว่า ‘ดันไปเจอพวกไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าจนได้ ซวยจริงๆ !’ ข้าเลยถามเขาว่ามีอะไรผิดปกติ เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วจากนั้น เขาบอกว่าคนผู้นั้นใช้มือผลักเขาราวกับว่าต้องการให้เขาล้ม แต่ข้าเห็นว่ากู้เหยี่ยนดูไม่ได้เป็นอะไร ข้าก็เลยไม่ถามต่อ”
“พวกไม่ดูตาม้าตาเรือรึ” จากนั้นกู้เจียวก็เรียกองครักษ์สองนายเข้ามาถามอีกครั้ง “วันนี้พวกท่านติดตามกู้เหยี่ยนใช่ไหม รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องน้ำหรือไม่”
องครักษ์ทั้งสองส่ายหัว
แม้พวกเขามีหน้าที่ประกบคุณชายก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นจะต้องตามเข้าไปในห้องน้ำด้วย
องครักษ์คนที่หนึ่งเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง “พวกเรายืนคุ้มกันคุณชายอยู่หน้าห้องน้ำ หากมีคนปองร้ายองค์ชายจริงๆ ย่อมต้องได้ยินความเคลื่อนไหวขอรับ”
กู้เจียวทำหน้าครุ่นคิด “แล้วถ้าเป็นอุบัติเหตุอย่าง…กู้เหยี่ยนถูกใครบางเดินชนเข้า แต่คนผู้นั้นไม่ได้จงใจจะทำร้ายกู้เหยี่ยน แล้วเหตุใดหลังจากที่เขาล้มลง อาการของเขาถึงทรุดลงทันทีล่ะ เขาก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น…”
กู้เจียวรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง ดึงผ้าห่มออก แล้วปลดเสื้อของกู้เหยี่ยน
คราวนี้กู้เจียวถึงได้เห็นรอยฝ่ามือใหญ่ประทับอยู่บนแผ่นอกของกู้เหยี่ยน เมื่อครู่นี้ตอนที่กู้เจียวฉีดยาให้เขา รอยนั้นยังไม่ปรากฏชัดขนาดนี้
มีคนทำร้ายเขาจริงๆ !
“แต่ว่าพวกเราไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไรเลยนะขอรับ” องครักษ์คนที่หนึ่งเอ่ยด้วยความรู้สึกประหลาดใจพร้อมกับมองไปที่รอยฝ่ามือบนหน้าอกของกู้เหยี่ยน
องครักษ์คนที่สองพยักหน้าตาม
หากว่ากันตามตรง ทุกวันนี้สถานะของกู้เหยี่ยนที่สำนักบัณฑิตเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อก็ว่าได้ ขนาดกู้เฉิงหลินเองก็ยังไม่กล้าหือกับเขา แค่กู้เหยี่ยนกระดิกนิ้วเรียกเขาหนึ่งที กู้เฉิงหลินก็พร้อมปรากฏตัวต่อหน้าเขา
หากตอนนั้นกู้เหยี่ยนตกที่นั่งลำบากแล้วร้องเรียกให้ใครช่วยเหลือไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นคนที่กู้เหยี่ยนเจอเข้าคงเป็นพวกที่แข็งแกร่งมาก แต่ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ไม่น่าหลุดรอดสายตาของพวกองครักษ์ไปได้
หากเป็นเช่นนั้น มีความเป็นไปได้อีกอย่างคือ คนผู้นั้นไม่ได้จงใจฆ่ากู้เหยี่ยน เพียงแค่เจอกันและเผลอเล่นงานเขาโดยบังเอิญ
“ท่านพี่ อาจารย์แม่หนานเซียงมาหาแล้ว!”
เสียงของกู้เสี่ยวซุ่นหยุดความคิดของกู้เจียวลง
วันนี้เป็นวันที่กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนต้องไปเรียนศิลปะที่เรือนของอาจารย์หลู่ หากวันไหนพวกเขาขาดเรียน องครักษ์ก็จะเดินทางไปรายงานพวกเขา แต่วันนี้กลับไม่มีใครไปหาพวกเขาเลย อาจารย์แม่หนานเซียงกังวลว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จึงเดินทางมาที่นี่เอง
อาจารย์หลู่เองก็มาด้วยเช่นกัน
“ท่านอาจารย์หลู่ ท่านอาจารย์แม่หนานเซียง” กู้เจียวทักทายพวกเขา
อาจารย์แม่หนานเซียงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปตั้งแต่มาถึง พอเห็นใบหน้าของกู้เสี่ยวซุ่นที่เพิ่งร้องไห้มาหมาดๆ ก็โร่ถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไยเสี่ยวซุ่นถึงร้องไห้แบบนี้ แล้วเหยี่ยนเอ๋อร์ล่ะ”
“โรคหัวใจของกู้เหยี่ยนกำเริบอีกแล้ว”
“อาการหนักไหม”
“ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว”
“ขอข้าดูหน่อย!”
กู้เจียวจึงพาพวกเขามาที่ห้องนอน
พวกเขารู้ว่ากู้เหยี่ยนป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่พวกเขาแทบไม่เคยเห็นเขาล้มป่วยเลยนับตั้งแต่รู้จักกัน จนพวกเขาแทบจะมองกู้เหยี่ยนเฉกเช่นเด็กปกติ
ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด บวกกับลมหายใจที่แผ่วเบาของกู้เหยี่ยนทำเอาอาจารย์ทั้งสองทรมานหัวใจ
“ไยจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ได้ เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย” อาจารย์หลู่ถามขึ้น
“เขาถูกใครบางคนผลักเข้าที่หน้าอก” กู้เจียวตอบ
“ผู้ใดกัน!” แววตาของอาจารย์แม่หนานเซียงเต็มไปด้วยความอาฆาต
กู้เจียวส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครพบเห็นคนผู้นั้น แต่มีรอยฝ่ามือประทับบนหน้าอกของเขา มองเผินๆ แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเขาถูกทำร้ายมา”
“รอยฝ่ามืออย่างนั้นรึ” อาจารย์แม่หนานเซียงรีบรุดเข้ามาที่เตียง จากนั้นแหวกเสื้อของกู้เหยี่ยนออก แล้วเพ่งพินิจอย่างตั้งใจ “ฝ่ามือจิ่วอวิ๋นรึ”
“ฝ่ามือจิ่วอวิ๋นคืออะไรรึ” กู้เจียวถาม
อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เป็นวิชาเฉพาะของพวกตระกูลหนานกง ความพิเศษของมันคือเมื่อถูกฝ่ามือสัมผัสในตอนแรกจะแทบไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น แต่หากทิ้งไว้สักพัก ระบบภายในร่างกายต่างๆ จะเริ่มรวนและแตกสลายในที่สุด ดูเหมือนคนผู้นี้จะควบคุมพลังฝ่ามือของเขาไว้แล้ว ไม่ได้จงใจจะฆ่าเหยี่ยนเอ๋อร์แต่อย่างใด แค่สั่งสอนเขาเท่านั้น”
กู้เจียวขมวดคิ้วแน่น “ตระกูลหนานกงรึ”
หรือว่าจะเป็น หนานกงลี่
แต่เขาถูกฉังจิ่งตัดแขนไปแล้ว อีกทั้งได้ข่าวว่าเขายังกบดานอยู่ที่ฝั่งตะวันตก แล้ววันนี้จู่ๆ มาปรากฏตัวที่สำนักบัณฑิตชิงเหอรึ
หนานกงลี่ไม่ได้รู้จักกู้เหยี่ยนเสียหน่อย บางทีเขาอาจจะเดินชนกู้เหยี่ยนโดยบังเอิญและเผลอใช้ฝ่ามือด้วยความโกรธเพราะคิดว่ากู้เหยี่ยนขวางทางอยู่
แม้จะไม่ได้จงใจ แต่สิ่งที่ตามมานั้นเลวร้ายยิ่งกว่า
กู้เหยี่ยนไม่เคยโจมตีหรือยั่วยุเขาด้วยซ้ำ แค่บังเอิญเดินชนเท่านั้น…ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครชนใครก่อน แต่ดันมาระบายความโกรธกับบัณฑิตตัวเล็กๆ เนี่ยนะ
ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม!
ดวงตาของกู้เจียวเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หนานกงลี่ หวังว่าจะไม่ใช่ฝีมือเจ้านะ ไม่อย่างนั้นละก็…
อาจารย์แม่หนานเซียงเองก็โมโหเช่นกัน กู้เหยี่ยนเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสา กลับถูกสัตว์เดรัจฉานตัวไหนไม่รู้ของตระกูลหนานกงทำร้ายเข้า!
“คนของตระกูลหนานกงมาที่แคว้นเจาได้อย่างไร” อาจารย์หลู่ถามเสียงเบา
“ข้าจะไปรู้ไหมล่ะ!” อาจารย์แม่หนานเซียงตอบอย่างไม่สบอารมณ์
อาจารย์หลู่ถึงกับไปต่อไม่ถูก
เขาเข้าใจดีว่าหนานเซียงไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่นางกำลังโมโหอย่างมาก
เขาเองก็โกรธมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของใครคนใดของตระกูลหนานกง การกระทำแบบนี้นั้นน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าคนที่จงใจแก้แค้นอย่างมีเป้าหมายเสียอีก
กลั่นแกล้งคนไปทั่วอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ ช่างไร้ความเป็นมนุษย์ยิ่งนัก!
อาจารย์แม่หนานเซียงมองกู้เหยี่ยนผู้น่าสงสาร ก่อนจะหลับตาลง
ให้นางช่วยถอนพิษยังพอได้ แต่ให้รักษาโรคคงทำไม่ไหว
“เจียวเจียว พอมีวิธีจะช่วยรักษาเขาไหม” นางมองไปที่กู้เจียวอย่างมีความหวัง
ที่จริงนางเองก็รู้ดีกว่าความหวังนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน หากรักษาได้จริง กู้เจียวคงไม่แสดงท่าทีเช่นนี้
“ข้าขอไปหาวิธีก่อน” กู้เจียวเอ่ยจบก็รีบเดินไปที่ห้องหนังสือ
ส่วนอาจารย์แม่หนานเซียงไม่กล้าตามออกไป ขอเฝ้ากู้เหยี่ยนอยู่ที่ห้องนอนตรงนี้
ตกค่ำ สมาชิกแต่ละคนทยอยกลับมาจากข้างนอก พวกเขาจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับกู้เหยี่ยน
แม่นางเหยาร่ำไห้เสียจนแทบไม่มีน้ำตาออกมา
แม้แต่กู้เสี่ยวเป่าที่ปกติไม่เคยงอแงก็ยังรู้สึกหดหู่จนเบะปากน้ำตาเล็ด
จวงไทเฮารีบเดินทางจากพระราชวังมาที่เรือน
นางมีเพียงคำขอเดียว ขอแค่กู้เหยี่ยนมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้คำขอนั้นดูเหมือนจะมากเกินไปเสียแล้ว
จวงไทเฮานั่งลงข้างหัวเตียงกู้เหยี่ยนด้วยใบหน้าอิดโรย
หวงฝู่เสียนกับจิ้งคงเองก็มาที่ห้องนอนเช่นกัน
แม้หวงฝู่เสียนจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตอนแรกเขามองว่าตัวเองเป็นแค่คนนอก แต่พอได้เห็นกู้เหยี่ยนในสภาพแบบนั้น ภายในใจของเขาก็เริ่มรู้สึกราวกับมีบางอย่างทิ่มแทงใจ
เสี่ยวจิ้งคงผู้ซึ่งชอบเสียงดังเป็นอาจิน มาวันนี้กลับเงียบลง เขาเดินไปที่ปลายเตียงและมองร่างในนิทราของกู้เหยี่ยน
ตอนที่กู้เหยี่ยนถูกถังหมิงรังแกก็มีอาการกำเริบเช่นกัน แต่บรรยากาศในเวลานั้นไม่อึมครึมเหมือนตอนนี้ ราวกับว่าทุกคนรู้สึกว่ากู้เหยี่ยนกำลังจะไม่รอดแล้วจริงๆ
ส่วนจี้จิ่วอาวุโสไม่กล้าพูดอะไร เขาเดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร ก่อนจะร้องไห้อย่างเงียบๆ ขณะเติมฟืนลงในเตา
“ใต้เท้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” อวี้หยาร์ถามเขาอย่างเป็นกังวล
จี้จิ่วอาวุโสรีบยกมือปาดน้ำตา “ควัน ควันเยอะไปน่ะ”
เซียวเหิงคือคนสุดท้ายที่กลับมา ระหว่างทางหลิวฉวนก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง เซียวเหิงจึงรีบทิ้งงานทุกอย่างแล้วกลับมา
ทุกคนต่างเป็นห่วงกู้เหยี่ยน ขณะที่เซียวเหิงรู้ดีว่าคนที่เจ็บปวดจากเรื่องนี้สุดคงไม่พ้นกู้เจียว
นางเป็นพี่สาวของเขา รวมถึงเป็นหมอด้วย นางจะต้องหาทางรักษาเขาให้ได้
เซียวเหิงเดินไปที่ห้องหนังสือ
เห็นกู้เจียวกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นกระดาษ
“เจียวเจียว” เซียวเหิงเดินเข้าไปในห้อง
“สามี” กู้เจียววางดินสอลง เงยหน้าขึ้น พร้อมแสดงสีหน้าที่ไม่เปิดเผยให้คนอื่นให้เขาได้เห็น
สีหน้าของนางบีบหัวใจของเขายิ่งนัก
เขาเดินเข้ามาข้างๆ โน้มตัวลงมามองร่างบางด้วยสายตาหนักแน่น “ไม่เป็นไร อาเหยี่ยนจะต้องไม่เป็นอะไร”
สีหน้าของกู้เจียวนิ่งลง จากนั้นหยิบกระดาษบนโต๊ะแล้วยื่นให้เขา “นี่คืออุปกรณ์และยาที่ข้าระบุไว้ ส่วนที่วงสีแดงไว้แปลว่าเรามีอยู่แล้ว ที่เหลือคือต้องออกตามหา”
เซียวเหิงหยิบกระดาษขึ้นมาดู ยังมีของอีกมากที่พวกเขาไม่มี
กู้เจียวเข้มแข็งมาก
มากจนเขาอดกังวลไม่ได้
เซียวเหิงลูบผมของนางอย่างผ่อนคลาย “หากมีของพวกนี้ เราสามารถช่วยชีวิตอาเหยี่ยนได้ใช่ไหม”
“หากทุกอย่างครบ ข้าสามารถทำการผ่าตัดให้เขาได้ด้วยตัวข้าเอง”
เซียวเหิงมองดูชื่อแปลกๆ บนกระดาษ “นี่คืออะไรรึ”
“เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับผ่าตัด กล่องยาของข้าไม่มีของพวกนั้น” กู้เจียวตอบ
เซียวเหิงพลิกหลังกระดาษแล้วเอ่ยถาม “นี่มัน…รูปนี้เจ้าเป็นคนวาดขึ้นเองใช่ไหม”
กู้เจียวพยักหน้า
เซียวเหิงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นโพล่งขึ้น “รอเดี๋ยวนะ”
กู้เจียวมองเขาอย่างสงสัย
เขาหันไปหยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมาจากชั้นวาง เขาหยิบภาพวาดที่มีสภาพเก่าเก็บจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกมา “ใช่สิ่งนี้หรือไม่”
กู้เจียวหยิบมันมาดู ก่อนจะทำหน้านิ่ง
นี่มันรูปของห้องผ่าตัดไม่ใช่รึ
“เอามาจากไหน” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงอธิบาย “เป็นรูปที่อยู่ในหนังสือของแคว้นเยี่ยนที่จิ้งคงเอามาให้ ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่จะให้ทิ้งไปก็เสียดาย ก็เลยเก็บมันไว้ก่อน”
ที่แคว้นเยี่ยนมีห้องผ่าตัดด้วยหรือนี่ หรือว่าที่แคว้นเยี่ยนกำลังวางแผนจะสร้างห้องผ่าตัด
หนังสือตำราคณิตศาสตร์เล่มนั้น บวกกับภาพห้องผ่าตัด นั่นหมายความว่า มีคนเดินทางข้ามเวลามาอยู่ในแคว้นเยี่ยนนั้นเป็นเรื่องจริง
กู้เจียวคว้าภาพวาดไว้พร้อมกับความหวังอันริบหรี่ที่ผุดขึ้นในใจ “แคว้นเยี่ยนมีสิ่งที่ข้าต้องการ!”
แววตาของเซียวเหิงนิ่งลงทันที
แคว้นเยี่ยน ที่ที่เขาจะไม่ย่างกรายเข้าไปเด็ดขาด