สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 618 เศรษฐีตัวพ่อ (1)
บทที่ 618 เศรษฐีตัวพ่อ (1)
เซียวเหิงมุ่งหน้าไปที่ห้องของเซวียนผิงโหวทันทีหลังออกมาจากห้องหนังสือ
เซวียนผิงโหวยังคงต้องนั่งอยู่บนรถเข็น
และเขาก็รู้เรื่องของกู้เหยี่ยนแล้ว แม้จะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับห้องผ่าตัด แต่ก็เข้าใจว่าถ้าแม้แต่กู้เจียวยังรักษาเขาไม่ได้ แคว้นเยี่ยนอาจเป็นความหวังเดียวที่จะรักษากู้เหยี่ยนไว้ได้
“อย่าแม้แต่จะคิด ข้าไม่รู้ ข้าไม่มี ถึงมีก็ไม่ยกให้”
เซวียนผิงโหวรีบตัดบทในทันที
เซียวเหิงขมวดคิ้ว “รู้หรือว่าข้าจะถามเรื่องอะไร”
เซวียนผิงโหวเอนตัวลงบนพนักรถเข็นแล้วเลิกคิ้วมองเขา “เจ้าจะถามว่า คนที่ให้กำเนิดเจ้าเป็นใคร ได้ทิ้งของต่างหน้าไว้หรือไม่ หากมีเจ้าขอเอาไปได้หรือไม่”
เซียวเหิงขนลุกขึ้นมาทันที
สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน
“อะไรกัน เจ้าจะไปแคว้นเยี่ยนรึ” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม “ที่นั่นมีคนอยากฆ่าเจ้ารู้หรือเปล่า”
เซียวเหิงรู้ดี
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะยอมแพ้
“ของที่เจียวเจียวต้องการมีอยู่แค่ที่แคว้นเยี่ยน ถ้าได้มันมา อาจช่วยชีวิตกู้เหยี่ยนไว้ได้”
ที่แท้นางหาทางรักษาได้หรอกหรือ เพียงแต่ยังขาดอุปกรณ์
“ภรรยาเจ้านี่บ้าบิ่นดีนี่” เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างพึงพอใจ
“ตอนนั้น…” เซียวเหิงเอ่ยไปได้นิดนึงก็หยุดกลางคัน เขาลังเลว่าจะเรียกคนคนนั้นว่าอะไรดี “คนคนนั้นไม่ได้ทิ้งอะไรไว้เลยรึ”
“ไม่มีเลย นางทำลายหลักฐานทุกอย่างแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่เหลือไว้ เพื่อตัดขาดกับเจ้า” เซวียนผิงโหวเอ่ยไปก็พลางนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขาพูดอาจทำให้เจ้าลูกชายเข้าใจผิด “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ ข้าหมายถึง นางไม่อยากให้เจ้าลำบาก”
ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการเจ้าแล้ว
เซียวเหิงฟังจบก็ไม่พูดอะไรต่อ
เขาไม่เคยคิดสงสัยความรู้สึกที่นางมีต่อเขา ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ลงมือฆ่าเซียวชิ่งเพื่อแลกกับยาถอนพิษให้เขา
บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่านางเป็นคนแบบไหนกัน ถึงกล้าทำกับลูกของตัวเองได้ลงคอ
นางจะเป็นเหมือนกับพวกตระกูลหนานกงหรือไม่
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวโทษนาง ที่เขาอยู่ได้จนถึงวันนี้ก็เพราะความชั่วร้ายของนาง
เซียวเหิงยังคงหาวิธีเดินทางไปยังแคว้นเยี่ยนไม่ได้อยู่ดี กู้เจียวจึงลองไปขอความช่วยเหลือจากกู้ฉังชิง
ทุกวันนี้กู้ฉังชิงแทบจะกินนอนในสนามประลองใต้ดิน ทักษะการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ท่วงท่าที่สุดจะบ้าระห่ำของเขาทำให้อีกไม่นานเขาจะได้ขึ้นเป็นนักรบอันดับต้นๆ ของแคว้น
หากเขาไต่ขึ้นได้ถึงสามอันดับแรก ก็จะถูกส่งไปที่แคว้นเยี่ยนเพื่อประลองต่อ แม้ภายนอกเหมือนเป็นการแข่งขัน แต่จริงๆ แล้วมันคือการคัดคนฝีมือดีจากทั่วทุกแคว้น
กู้เจียวสั่งให้องครักษ์คนที่หนึ่งไปหากู้ฉังชิง
แต่ไม่ทันเสียแล้ว
องครักษ์กลับมาพร้อมกับข่าวร้าย “ท่านชายชื่อจื่อเดินทางออกไปแล้วขอรับ!”
“เขาไปที่ไหน” กู้เจียวถาม
“คนที่จวนบอกว่าซื่อจื่อขออนุญาตเดินทางลงไปยังทิศใต้ของแม่น้ำแยงซีเพื่อค้นหานกศักดิ์สิทธิ์เป็นของกำนัลสำหรับหมั้นหมายบุตรสาวของตระกูลหยวนขอรับ”
ที่แคว้นเจามีธรรมเนียมที่ผู้ชายจะจับห่านป่าเพื่อหมั้นหมายกับคู่หมั้น ยิ่งห่านป่าพันธุ์ดีเท่าไร ความจริงใจก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นกศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ห่านป่า แต่เป็นนกฟีนิกซ์ในตำนาน
กู้เจียวเคยเห็นรูปของนกฟีนิกซ์ และรู้สึกว่าพวกมันมีลักษณะเหมือนนกฟลามิงโกจากชาติก่อนของตน
แน่นอนว่านกแบบนั้นเป็นแค่คำขานเล่าในตำนานและไม่มีอยู่จริง
ด้วยความที่กู้ฉังชิงไม่อยากแต่งงาน เขาจึงประโคมข่าวใหญ่ว่าออกจากเมืองหลวงเพื่อตามหานกหายากในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเขาอาจกำลังแอบเข้าไปในแคว้นเยี่ยนก็เป็นได้
“ออกไปนานแค่ไหนแล้ว” กู้เจียวถาม
“สามวันขอรับ” องครักษ์ตอบ
กู้ฉังชิงเคยบอกเรื่องนี้กับกู้เจียวไว้นานแล้ว หาใช่ว่าเขาลาโดยที่ไม่แจ้งก่อน
เพียงแต่กู้เจียวอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี
นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้ว จะตามเขาไปคงไม่ทันการแล้วสินะ
เซียวเหิงเองก็กำลังหาวิธีเข้าไปที่แคว้นเยี่ยน เซวียนผิงโหวช่วยอะไรเขาไม่ได้ จึงตัดสินใจไปหาองค์หญิงซิ่นหยางแทน
พอองค์หญิงซิ่นหยางรู้เข้า ท่าทีของนางไม่ต่างกับเซวียนผิงโหวแม้แต่นิด นางไม่เห็นด้วย
แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่เด็กแล้ว พวกเขาทำได้แค่ให้ความเห็น แต่จะไม่เข้าไปตัดสินใจแทนเขา
ในเมื่อเขาดึงดันที่จะไป คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพวกเขาจึงทำได้แค่ช่วยคิดหาวิธี
องค์หญิงซิ่นหยางพลันนึกถึงหมอยาคนหนึ่งที่เป็นคนของแคว้นเยี่ยน “อวี้จิ่น เจ้าไปเชิญหมอยาคนนั้นมาพบข้าที หากเขาปฏิเสธ ก็ให้หลงอีจับตัวเขามาเสีย!”
อวี้จิ่นจึงมุ่งหน้าไปยังสนามประลองใต้ดินกับหลงอี แต่กลับพบว่าหมอยาคนนั้นออกเดินทางไปยังแคว้นเยี่ยนกับกลุ่มของกู้ฉังชิงแล้ว
เช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่าหมอยาคนนั้นคือคนที่จะพากู้ฉังชิงเข้าแคว้นเยี่ยน
ทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงเดินกลับมาที่ห้องหลัก จากนั้นทั้งคู่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้เอ่ยอะไร
อาจารย์แม่หนานเซียงเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากป้อนยาให้กู้เหยี่ยนเสร็จตามคำสั่งของกู้เจียว
เมื่อได้เห็นสีหน้าของเด็กทั้งสอง ก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น “ไม่ค่อยราบรื่นรึ”
“อาจารย์แม่หนานเซียง ยังมีวิธีอื่นที่จะเข้าไปในแคว้นเยี่ยนได้หรือไม่ ลักลอบเข้าไปได้ไหม”
“ลักลอบรึ” อาจารย์แม่หนานเซียงถึงกับงง “หมายความว่าอย่างไร”
“ประมาณว่า แอบเข้าไป”
อาจารย์แม่หนานเซียงรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่ได้หรอก มันอันตรายเกินไป แค่เจ้าคนเดียวยังยากเลย จะพากู้เหยี่ยนไปด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“ไม่มีวิธีไหนเลยหรือ”
ขณะที่อาจารย์แม่หนานเซียงกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง
ปรมาจารย์หลู่ก็รีบหยิกหลังมือของนางพร้อมกับขมวดคิ้วส่ายหัว
“ข้าอยากช่วยเหยี่ยนเอ๋อร์นี่” อาจารย์แม่หนานเซียงโอด
ทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงมองพวกเขาด้วยแววตาสงสัย อีกทั้งไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พูดถึงเกี่ยวอะไรกันกับประโยคก่อนหน้าของกู้เจียว
“แต่พวกเขาไม่มีเอกสารอะไรเลยนะ วิธีเดียวที่เจ้าจะพาพวกเขาเข้าไปได้ คือต้องประทับเครื่องหมายทาสให้พวกเขา” อาจารย์หลู่เอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจยาว
ที่แคว้นเยี่ยนจะไม่ถือว่าทาสเป็นคน แต่จะถือว่าเป็นสัมภาระติดตัว
“อาจารย์แม่หนานเซียง…เป็นคนแคว้นเยี่ยนรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
กู้เจียวรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์แม่หนานเซียงนั้นไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะพิเศษถึงขั้นนี้
“ข้าไม่ใช่คนแคว้นเยี่ยน แต่ข้าเข้าแคว้นเยี่ยนได้” อาจารย์แม่หนานเซียงตอบ
นั่นหมายความว่านางอาจมาจากแคว้นระดับสูง หรือไม่ก็มาจากกองกำลังที่ทรงพลังจากนอกแคว้น
ในเมื่ออาจารย์แม่หนานเซียงไม่เอ่ยถึง พวกเขาก็ไม่กล้าซักไซ้ต่อ
ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเองกันทั้งนั้นดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อาจารย์แม่หนานเซียงถอนหายใจ “สามีของข้าพูดถูก คนที่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนไม่สามารถเข้าสู่แคว้นเยี่ยนได้ ถ้าข้าพาพวกเจ้าไปที่นั่น ข้าก็จำต้อง… เปลี่ยนสถานะพวกเจ้าให้เป็นทาส”
สำหรับแคว้นเยี่ยน ทาสคือชนชั้นที่ต่ำที่สุด หากทาสคนไหนได้รับความโปรดปรานจากบุคคลระดับสูงแล้วอาจถูกแย่งชิงตัวได้ตลอดเวลา
ดังนั้นที่อาจารย์หลู่ไม่เห็นด้วยก็ย่อมมีเหตุผล
เมื่อครู่นี้นางหุนหันพลันแล่นเกินไป คิดแค่เพียงว่าจะต้องเข้าไปในนั้นให้ได้ แต่นางลืมไปว่าถ้ากู้เหยี่ยนกลายเป็นทาส เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาด้วยซ้ำ
“เจียวเจียว ข้ากลัว”
เสี่ยวจิ้งคงเดินกอดหมอนออกมาจากห้องนอน
เขาเข้านอนแล้วก็จริง แต่ต้องตื่นเพราะฝันร้าย
กู้เจียวเดินเข้าไปจูงมือเขา พลางเอ่ย “ไม่ต้องกลัวนะ”
เจ้าตัวเล็กอ้าปากหาวหวอด แล้วโผเข้าอ้อมกอดของกู้เจียว “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ”
“คุยเรื่องเอกสารน่ะ” กู้เจียวตอบ
เซียวเหิงยื่นเสื้อคลุมให้กู้เจียว จากนั้นกู้เจียวก็หยิบมันมาห่มบนร่างของเจ้าตัวเล็ก
“มันคืออะไร” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม
“เป็นเอกสารประเภทหนึ่งที่อนุญาตให้เจ้าเดินทางไปที่อื่นได้ เจ้าลืมไปแล้วสินะตอนพวกเรามาถึงเมืองหลวงครั้งแรกก็ต้องใช้เอกสารนั้น”
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงนั่งลงบนตักของกู้เจียวแล้วเอนหัวพิง
หากไม่ติดว่าเจ้าตัวเล็กกำลังอยู่ในช่วงสะเทือนใจ ป่านนี้คงเข้าไปแยกร่างของเขาออกจากกู้เจียวแล้ว
ทันใดนั้น เซียวเหิงพลันนึกอะไรขึ้นได้ “จิ้งคง เจ้ามีเอกสารของแคว้นเยี่ยนไหม”
**********************