สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 619 กู้เหยี่ยนฟื้นแล้ว
บทที่ 619 กู้เหยี่ยนฟื้นแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหนังสือตอบรับเข้าเรียนฉบับนี้ต้องเป็นของกู้เจียวไม่มีผิด
“ทำไมถึงเพิ่งเอาออกมาตอนนี้เล่า!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังเด็กอยู่ เซียวเหิงคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวแสบนี่กำลังแกล้งกันอยู่แน่ๆ !
เสี่ยวจิ้งคงแก้ต่าง “ก็เจ้าไม่ได้ถามนี่นา!”
“ก็ไม่ใช่เพราะใครล่ะที่…” ที่หลับสนิทไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เก็บเอกสารของพวกเราไว้ด้วยกันเล่า”
เสี่ยวจิ้งคงค้านหัวชนฝา “จะให้ข้าเก็บของของเจียวเจียวรวมกับพวกผู้ชายน่ารังเกียจอย่างพวกเจ้าได้อย่างไรกัน!”
เซียวเหิงเหน็บแนม “เฮอะ พูดอย่างกับตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย”
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าเหวอ
แย่ละ…เข้าตัวเองเสียแล้ว…
เซียวเหิงมองดูเอกสารการรับเข้าที่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือที่สวยงาม จากนั้นเขาเห็นดอกบัวสีชมพูเล็กๆ น่ารักถักด้วยไหมติดอยู่ตรงปลายเอกสาร จู่ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที!
…
แคว้นเยี่ยนตั้งอยู่ทางตะวันตกของแคว้นเจา มีแม่น้ำเยี่ยนสุ่ยเจียงคั่นกลาง
กู้เจียวหยิบเอกสารรับเข้าเรียนและเอกสารที่ท่านย่ามอบให้เพื่อนำเรือเช่าออกจากชายแดน
การเดินทางครั้งนี้มีกันห้าคน นอกจากกู้เจียว กู้เหยี่ยน กู้เสี่ยวซุ่น ยังมีอาจารย์แม่หนานเซียงและอาจารย์หลู่
กู้เจียวยังไม่กล้าถามอะไรมากนักเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่กู้เจียวสัมผัสได้ก็คือพวกเขายอมลงทุนเดินทางหลายพันลี้เพื่อช่วยเหลือกู้เหยี่ยน
“เอาละ หาอะไรกินกันดีกว่า อีกประมาณครึ่งชั่วยามก็จะถึงฝั่งแล้ว” อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ย
พวกเขาเช่าเรือกันสาดขนาดใหญ่ที่มาพร้อมเตียง โต๊ะ และเก้าอี้ ราวกับอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง พวกเขาสี่คนนั่งอยู่ข้างใน ขณะที่ปรมาจารย์หลู่คอยเฝ้าสถานการณ์อยู่ภายนอก
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ หลังจากพวกเขาเดินทางออกมานอกอาณาเขตแคว้นเจาแล้ว ปรมาจารย์ทั้งสองก็เริ่มใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนในการสื่อสารแทน อีกทั้งยังคอยสอนพวกเขาที่เหลือด้วย
จากที่ตอนแรกพวกเขายังฟังไม่รู้เรื่อง พอมาตอนนี้ พวกเขาสามารถพูดและฟังประโยคพื้นฐานภาษาแคว้นเยี่ยนได้แล้ว
“ได้สิ” กู้เจียวตอบเป็นภาษาแคว้นเยี่ยน “นอกจากเนื้ออบแห้งแล้ว ยังมีขนมให้กินด้วย อย่างน้อยก็ยังพอประทังท้องได้บ้าง ใช่ไหมเสี่ยวซุ่น!”
“อื้อ ท่านพี่” กู้เสี่ยวชุ่นขานรับ
“พูดภาษาแคว้นเยี่ยนสิ” อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยเตือน
กู้เสี่ยวซุ่นยกมือเกาหัว “อ้อ เข้าใจแล้วขอรับ”
กู้เจียวเปิดกล่องอาหารออก วานให้เสี่ยวซุ่นนำขนมหนึ่งห่อไปส่งให้อาจารย์หลู่
จากนั้นก็จัดของกินส่วนที่เหลือลงบนจานใบใหญ่ แล้วนำมาวางลงบนโต๊ะ
นางหันไปที่กู้เหยี่ยนที่กำลังนอนพิงอยู่ด้านหลัง เอ่ยถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง เมาเรือไหม”
“ไม่เมา” กู้เหยี่ยนส่ายศีรษะพร้อมขยับปากที่ซีดเผือดของเขา
กู้เจียวยกมืออังที่หน้าผากของเขา
หลังจากที่ช่วยเขาไว้ได้ กว่ากู้เหยี่ยนจะฟื้นขึ้นก็เป็นช่วงคืนวันถัดมา ทว่าร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรงกว่าแต่ก่อนมาก
เมื่อใดก็ตามที่กู้เจียวมองเขา ก็แทบอยากจะตะบันหน้าหนานกงลี่ที่บังอาจมาทำร้ายน้องชายของนาง
แล้วก็เป็นไปตามคาด หลังจากถามกู้เหยี่ยนถึงรูปลักษณ์ของคนที่กระทำเขา กู้เจียวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะต้องเป็นหนานกงลี่อย่างแน่นอน
กู้เหยี่ยนไม่ได้ตั้งใจเดินชนเขาด้วยซ้ำ แต่เจ้าบ้านั่นกลับระบายความโกรธและทำร้ายกู้เหยี่ยนได้ลงคอ
กู้เหยี่ยนหารู้ไม่ว่าฝ่ามือนั้นต่อให้เขาไม่ได้เป็นโรคหัวใจก็อาจมีสิทธิ์นอนเป็นผักไปครึ่งเดือนเชียวล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเจ้าบ้านั่นที่แอบเข้าไปในสำนักบัณฑิตกะทันหัน กู้เหยี่ยนเลยเดินชนโดยบังเอิญ
ช่างไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย
แต่ก็นะ คนดีๆ คงไม่มาทำเรื่องแบบนี้หรอก
กู้เจียวป้อนขนมหนึ่งชิ้นให้กู้เหยี่ยน พอหยิบชิ้นที่สอง กู้เหยี่ยนกลับเบือนหน้าหนี
“ดื่มน้ำหน่อยนะ” กู้เจียวไม่บังคับเขา
หลังจากที่กู้เหยี่ยนดื่มน้ำอุ่นไปสองจิบ เขาก็พิงหลังกู้เจียวแล้วหลับไป
หลังจากขึ้นฝั่ง ยังมีทางที่ต้องเดินเท้าอีก
กู้เจียวแบกกู้เหยี่ยนไว้บนหลังพร้อมกับลงจากเรือ
อาจารย์แม่หนานเซียงเป็นผู้นำทาง โดยมีอาจารย์หลู่และกู่เสี่ยวซุ่นคอยดูแลสัมภาระและอาวุธ
กู้เหยี่ยนที่อยู่บนหลังของกู้เจียวเอ่ยด้วยเสียงอิดโรย “ข้าเดินเองได้”
กู้เจียวยืนกราน “ไม่ต้อง ข้าแบกเจ้าเอง”
ข้าไม่เหนื่อย
ขอแค่มีเจ้าอยู่บนหลังข้า ไม่ว่าทางไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น
ภายใต้แสงแดดที่แผดจ้า ร่างของกู้เจียวเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม หนานเซียงขอรับไม้ต่ออยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกกู้เจียวปฏิเสธทุกครั้ง
ที่จุดตรวจทางเข้ามีคนมากมาย แต่ด้วยชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตเทียนฉง ทันทีที่พวกข้าหลวงที่เห็นชุดเอกสารการรับเข้าเรียนสีน้ำเงินเข้ม ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาผ่านพิธีการมาได้อย่างราบรื่น
พวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนของแคว้นเยี่ยนได้สำเร็จ
บรรยากาศในแคว้นเยี่ยนมีกลิ่นอายที่แตกต่างจากแคว้นเจาอย่างมาก พวกเขาไม่ได้มีกะใจจะสัมผัสและชื่นชมรอบๆ เท่าใดนักเพราะต้องดูแลกู้เหยี่ยน
ณ ช่วงพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า หลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานนับเดือน ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงโรงพักม้าโรงสุดท้ายที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองเซิ่งตู
เซิ่งตู เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยน
พวกเขาเดินทางมาด้วยรถม้าสองคัน โดยมีกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่น และอาจารย์หลู่สลับกันขับ
หลังจากมาถึงโรงพักม้า กู้เจียวก็กระโดดลงจากรถ
หนานเซียงเปิดม่านรถออก แล้วค่อยๆ ลงจากรถม้า โดยมีอาจารย์หลู่ช่วยพยุง
พวกเขาอยู่บนถนนมาเป็นเวลาสองเดือนเต็ม รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ช่วงเดือนห้าของปฏิทินจันทรคติแล้ว อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ทุกคนต่างอยู่ในสภาพตัวเหนียวเฉอะแฉะจากเหงื่อไคล
ขณะกำลังเช็ดเหงื่อ อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยกับกู้เจียว “นั่งพักก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะไปจองห้องรับรองให้”
“ข้าไม่เหนื่อย” กู้เจียวตอบ
“จริงๆ เลยเด็กคนนี้” อาจารย์แม่หนานเซียงมองดูเหงื่อของกู้เจียวที่ไหลออกมาอย่างล้นหลาม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาเช็ดเหงื่อให้
กู้เสี่ยวซุ่นวานให้บ่าวที่จุดนี้พาม้าไปให้อาหาร จากนั้นก็เข้าไปจองห้องให้
จุดพักม้าของแคว้นเยี่ยนมีขนาดใหญ่กว่ารวมถึงสภาพดูดีกว่าของแคว้นเจา และแน่นอนว่า ราคาก็แพงกว่าเช่นกัน
เงินของแคว้นเยี่ยนจะใช้เงินและเงินสกุลเตาที่แปลว่ามีดเป็นหลัก เงินเตานั้นแท้จริงก็คือเหรียญทองแดงที่พวกเขาคุ้นเคย เพียงแต่เงินเตาที่ว่ามีลักษณะคล้ายกับใบมีดเล็กๆ ตามชื่อ พร้อมกับประทับตราของแคว้นเยี่ยนไว้บนนั้น
หนึ่งเงินเตามีค่าประมาณสามเหรียญทองแดง
ที่แคว้นเจา หมั่นโถวหนึ่งลูกราคาหนึ่งเหรียญทองแดง แต่ราคาหมั่นโถวหนึ่งลูกของที่นี่เท่ากับหนึ่งเงินเตา
เห็นได้ชัดว่าค่าเงินของแคว้นเยี่ยนสูงกว่าที่แคว้นเจา
ทั้งหกแคว้นไม่มีโรงกษาปณ์ที่ใช้ร่วมกัน โชคดีที่ทองคำและเงินสามารถหมุนเวียนได้ทุกที่ หลังจากเข้าสู่แคว้นเยี่ยน พวกเขาจึงนำทองไปแลกเป็นเงินของแคว้นเยี่ยนมาได้จำนวนหนึ่ง อีกทั้งทำการฝากเงินไว้ในโรงกษาปณ์ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้น
คงไม่ต้องพูดถึงค่าธรรมเนียมอันแสนจะหนักหน่วง
กู้เจียวช้อนร่างของกู้เหยี่ยนขึ้นไปที่ห้องบนชั้นสอง กู้เหยี่ยนนอนห้องเดียวกับกู้เสี่ยวซุ่น อาจารย์แม่หนานเซียงและอาจารย์หลู่นอนห้องเดียวกัน ส่วนกู้เจียวนอนคนเดียว
มีห้องของกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นคั่นกลาง
พวกเขาทานอาหารเย็นกันที่ห้องของกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น
อาหารของแคว้นเยี่ยนแตกต่างจากอาหารของแคว้นเจาตรงที่ไม่เผ็ด
โชคดีที่ไม่มีใครทานยากเว้นเสียแต่กู้เหยี่ยน แต่ตอนนี้เขาป่วยหนัก ต่อให้เขาอยากกินของเผ็ดแค่ไหนคงไม่มีใครกล้าให้เขากิน
อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางเข้าเมืองเซิ่งตูกันแล้ว พวกเจ้าไปรายงานตัวที่สำนักบัณฑิตกันก่อน ระหว่างนั้นพวกเราที่เหลือจะไปหาสถานที่ที่เหมาะสมที่จะพำนักชั่วคราว”
กู้เจียวไม่ออกความเห็นอะไร
“คืนนี้รีบพักผ่อนกันนะ” อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ย
หลังทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็กลับไปยังห้องของตัวเอง
ทุกๆ เที่ยงคืน กู้เจียวจะต้องตรวจร่างกายของกู้เหยี่ยน พอเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา ก็เลยลงไปตรวจดูสภาพรถม้า
หากไม่ตรวจสอบคงไม่มีทางรู้ หลังจากตรวจดูก็พบว่าบริเวณล้อและท้ายรถมีรอยแตกเล็กน้อย ขืนพวกเขายังใช้งานต่อคงซ่อมแซมได้ยากแน่ๆ
กู้เจียวตัดสินใจไปที่ห้องโถงเพื่อติดต่อขอซื้อรถม้าคันใหม่
คนงานเอ่ย “ท่านชายเซียวโชคดีจริงๆ ขอรับ เรามีรถม้าคันสุดท้ายอยู่พอดี!”
กู้เจียวปลอมตัวเป็นผู้ชาย ทั้งยังใช้น้ำเสียงเสียงเด็กหนุ่มที่เรียนมาจากกู้เฉิงเฟิง
กระนั้น กู้เจียวก็ไม่ได้ปกปิดใบหน้าและรอยปานแดงแต่อย่างใด
เหตุผลที่คนงานที่ไม่ตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพราะเขารู้ว่ากู้เจียวเป็นบัณฑิตของเทียนฉง
“ขอบใจมาก” กู้เจียวเอ่ย
“ทั้งหมดเป็นสองตำลึงขอรับ” คนงานตอบกลับ
กู้เจียวยื่นเงินให้เขา
ขณะที่เขากำลังรับเงิน ทันใดนั้นก็มีรถม้าคันหนึ่งเทียบเข้าจอดที่ด้านหน้า
หลังจากม่านรถถูกเปิดออก ก็ปรากฏหญิงสาวในชุดสีชมพูสวมผ้าคลุมหน้ากำลังเดินลงจากรถ
พอคนงานมองเครื่องแบบของทหารที่ยืนเฝ้าก็เริ่มออกอาการตึงเครียด
หญิงสาวในชุดสีชมพูเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมแส้ในมือ นางสั่งคนงานโดยไม่แม้แต่จะมองหน้า “ขอรถม้าให้ข้าด้วย! พร้อมม้าพันธุ์ดีสองตัว!”
“คือว่า…” คนงานมองไปทางกู้เจียวด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะชักมือที่กำลังเก็บเงินกลับเข้าตัว
“มัวยืนบื้ออยู่ได้” สตรีชุดชมพูเอ่ยขึ้น
เขาชี้ไปที่กู้เจียวแล้วเอ่ย “คือว่า… รถม้าคันสุดท้าย… นายน้อยท่านนี้… ก็ต้องการมันเช่นกันขอรับ”
หญิงสาวในชุดสีชมพูหันไปมองกู้เจียว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกมากขึ้นอีกเล็กน้อย “หลีกทางให้เถอะ แล้วข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม!”
ชีวิตของกู้เหยี่ยนรอไม่ได้ สิ่งที่กู้เจียวต้องการไม่ใช่เงิน แต่ต้องเข้าไปในเซิ่งตูโดยเร็วที่สุดเพื่อหาห้องผ่าตัดรักษากู้เหยี่ยน
“ไม่ให้” กู้เจียวเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
พูดจบก็วางเงินลงบนโต๊ะของคนงานอย่างแรง
สตรีชุดชมพูเอามือเท้าเอว “พูดดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้กำลังสินะ!”
คนงานพยายามโน้มน้าวกู้เจียว “คือว่า ท่านชายเซียว พวกเขาคือคนของตระกูลซู…นายหญิงท่านนี้คงเป็นบุตรสาวของตระกูลซู… ท่านชาย…หยวนๆ ให้นางเถิด…”
แม้บัณฑิตของเทียนฉงมีสถานะที่โดดเด่นก็จริง แต่ตระกูลซูก็เป็นตระกูลลำดับที่เก้าของแคว้นผู้ซึ่งมีตำแหน่งที่สำคัญมากในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองและไม่มีใครสามารถรุกรานได้
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ให้”
“เจ้า!” สตรีชุดชมพูตะเบ็งเสียง “อยากลองดีรึไง!”
“ก็มาสิ ระวังตัวไว้ก็แล้วกัน” กู้เจียวโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว
ทันใดนั้น สตรีชุดชมพูก็ยกแส้ขึ้นแล้วสะบัดออกไปทางกู้เจียว คนงานตกใจมากจนต้องรีบนั่งยองยกมือกุมศีรษะไว้!
อย่างไรก็ตาม แส้นั้นแทบไม่ได้สัมผัสแม้แต่ปลายผมสักเส้นของกู้เจียว ในทางกลับกัน กู้เจียวสามารถคว้าแส้นั้นไว้ได้อย่างสบายๆ
หญิงชุดชมพูเป็นอันต้องสะดุ้ง เพราะไม่คิดว่าคนหน้าอัปลักษณ์… ไม่สิ ควรจะบอกว่าชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดนั้นมีพลังมากถึงขนาดคว้าแส้ไว้ได้!
แม้จะพยายามดึงแส้กลับ ทว่า กลับขยับไม่ได้เลย
สตรีชุดชมพูกัดฟันเอ่ย “เจ้า…ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
กู้เจียวปล่อยมือช้าๆ
สตรีชุดชมพูคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมือเร็วขนาดนี้ ขณะที่กำลังดึงแส้กลับก็เกิดเซล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมกับใบหน้าเหยเก แล้วแส้ก็กระเด็นออกไป
จากนั้นก็รีบคว้าแส้แล้วลุกขึ้นเตรียมจะโจมตีกู้เจียวอีกครั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านในรถม้า
สตรีชุดชมพูถึงกับตัวแข็งทื่อ
“กลับมา” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะไม่กังวานมาก แต่กลับหนักแน่นพอควร
สตรีชุดสีชมพูจ้องเขม็งไปทางกู้เจียวด้วยสายตาอำมหิต “ฝากไว้ก่อนเถอะ! อย่าให้ข้าเห็นน้ำหน้าของเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นเจ้าเจอดีแน่!”
กู้เจียวเพิกเฉยต่อคำขู่ จากนั้นวานให้คนงานพานางไปที่รถม้าคันใหม่
หลังจากเสร็จธุระ ขณะที่กู้เจียวกำลังจะขึ้นบันได ก็เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดบัณฑิตกำลังโบกมือให้
“สหาย! ใช่แล้ว! ข้าอยู่นี่!”
กู้เจียวมองเขาด้วยความสงสัย “เรียกข้ารึ”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ พอเห็นว่ากู้เจียวไม่ได้มีท่าทีจะเดินไปหาเขา เขาก็เลยรีบวิ่งเข้ามาหาแทน
พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ที่ทางขึ้นบันได และในตอนนั้นก็มีแขกคนหนึ่งเดินลงมา พวกเขาจึงก้าวถอยอย่างพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มประสานมือให้กู้เจียวด้วยท่าทีตื่นเต้น “ข้ามาจากตระกูลจง นามว่าติ่ง ฉายาเฮ่อหมิง หากสหายไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าจงเฮ่อหมิงก็ได้”
จงหมิงติ่ง ชีวิตแห่งความหรูหรา ช่างเป็นชื่อที่น่าสนใจยิ่งนัก
“มีธุระอันใดกับข้ารึ” กู้เจียวถาม
จงติ่งกล่าว “คือ ข้าตามหลังเจ้ามา เหลือบเห็นเอกสารรับเข้าเรียนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงเข้าพอดี เจ้าก็เป็นบัณฑิตของเทียนฉงเหมือนกันสินะ”
“เจ้าก็ด้วยรึ” กู้เจียวมองเขา
“ก็ใช่น่ะสิ!” จงติ่งทำท่าลิงโลด จากนั้นเขาก็รีบหยิบเอกสารการรับเข้าศึกษาออกมาให้ดูเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อแล้วเอ่ยต่อ “ข้ามาจากแคว้นจ้าว…เจ้าล่ะสหาย”
“ข้ามาจากแคว้นเจา” กู้เจียวตอบ
จงติ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล ก่อนจะฉีกยิ้มให้และถามต่อ “นี่เจ้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่า ข้าทราบชื่อของเจ้าได้ไหม”
“เซียวลิ่วหลัง” กู้เจียวตอบ
จงติ่งหัวเราะ “ลิ่วหลัง ชื่อความหมายดี รื่นหูยิ่งนัก”
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจะคุยต่อ
กู้เจียวจึงเดินขึ้นบันได
“นี่ เดี๋ยวก่อน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปอีกครั้ง จงติ่งก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขารวบรวมความกล้าเพื่อแสดงความประหลาดใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ “ในเมื่อเจ้าไม่ได้มาจากแคว้นระดับสูง เหตุใดเจ้าถึงกล้ายั่วยุสตรีผู้นั้น เจ้าไม่รู้หรือว่านางเป็นคนของตระกูลซู ถ้าคนในรถม้าไม่ห้ามไว้ ป่านนี้เจ้าคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้”
“พูดจบหรือยัง”
“เอ๋ อื้อ”
จากนั้นกู้เจียวก็เดินขึ้นบันไดไป
จงติ่ง “…”
***************