สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 623 เพื่อนร่วมชั้นที่คาดไม่ถึง
บทที่ 623 เพื่อนร่วมชั้นที่คาดไม่ถึง
ปล้นทรัพย์คนผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะดันมาปล้นโดนเพื่อนร่วมชั้นเสียได้ ซ้ำยังโดนเพื่อนร่วมชั้นจำได้อีกด้วย นี่มันช่างเป็นเหตุการณ์ขายขี้หน้าขนานใหญ่โดยแท้!
กู้เจียวไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาจำนางได้ได้อย่างไร
แม้จะบอกว่าไม่ได้สวมหน้ากาก แต่หน้านางละเลงปูนบนกำแพงไปทั้งหน้า มันยังปกปิดใบหน้านางไม่ได้เลยรึ
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบในรถม้าเขาแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยซ้ำ
“นั่งลง”
อาจารย์เจียงบอก
บัณฑิตทุกคนนั่งลง
กู้เจียวกับเพื่อนร่วมโต๊ะตัวเองก็นั่งลงเช่นกัน
ยามนี้นับว่ากู้เจียวเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยของท่านชายชิงเฉินนั้นมาจากที่ใด บนตรามัจฉาเมื่อคืนนี้ก็เขียนเอาไว้ทนโท่ว่ามู่ชิงเฉินมิใช่หรือไร
“ตรามัจฉาของข้าเล่า” มู่ชิงเฉินหยิบหนังสืออกมาเล่มหนึ่งพลางถาม
“ทิ้งไปแล้ว” กู้เจียวบอก
นี่เป็นหลักฐาน นางจึงโยนทิ้งก่อนจะออกจากเมืองชั้นในแล้ว ไม่อย่างนั้นเกิดตอนออกเมืองทหารมาค้นตัวขึ้นมา นางจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ดี หรือไม่แก้ตัวดี
“ข้าคิดไว้อยู่แล้ว” มู่ชิงเฉินเอ่ย
กู้เจียวชำเลืองมองบั้นเอวเขา เห็นตรามัจฉาแผ่นใหม่อย่างที่คิดไว้
กู้เจียวไม่คิดว่านี่เป็นแผ่นเดิมที่นางโยนทิ้งหรอก เพราะนางโยนลงห้องส้วมของหอนางโลม เขามีฐานะถึงเพียงนี้คงไม่มีทางไปเก็บคืนมาจากห้องส้วมหรอกกระมัง
เขามองตรงไปยังอาจารย์บนที่นั่งสอน “ทำไม คิดจะแย่งอีกรึ”
กู้เจียวนั่งตัวตรงอย่างเชื่อฟัง ท่าทางเหมือนบัณฑิตที่ดี ราวกับไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
กู้เจียวรู้สึกถึงสายตาเขาที่ชำเลืองมองมาที่ตัวเองสองหน แต่นางยึดมั่นในความคิดอันแข็งแกร่งอย่าง ข้าไม่กระอักกระอ่วน คนกระอ่วนกระอักมันคนอื่นโน่น ตลอดทั้งคาบก็ล้วนไม่ได้ใจลอยไปไหน (สนใจเขา) อย่างหนักแน่นมีเหตุผล
ทว่าต้องขอบพระคุณท่านชายชิงเฉินท่านนี้จริงๆ โต๊ะของพวกนางกลายเป็นจุดสนใจของทั้งห้องหมิงซินไปแล้ว แม้แต่อาจารย์เจียงยังส่งสายตาซับซ้อนทั้งตกใจ ทั้งดีใจ และปลื้มอกปลื้มใจอยู่ในที มาทางนี้เป็นระยะๆ
ดังนั้นเพื่อนรักท่านนี้คงจะมาเข้าเรียนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยจริงๆ จึงได้เรียกอาการแตกตื่นได้ขนานใหญ่เพียงนี้
แต่ช่วยมีบรรทัดฐานความเป็นมนุษย์สักนิดจะได้หรือไม่ ไม่มาก็ไม่ต้องมาตลอดไปเลยสิ เหตุใดพอนางมาเขาก็มาเล่า
คงไม่ใช่ว่าบนรถม้าเมื่อวานเขาก็ดูออกว่านางเป็นบัณฑิตใหม่ของห้องหมิงซิน วันนี้คงไม่ได้ตั้งใจมาแก้แค้นนางหรอกกระมัง
กู้เจียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าความเป็นไปได้กลายเป็นศูนย์
บนรถม้าเมื่อวานพวกนางพบกันเป็นครั้งแรก เขาจำนางได้ และมันก็สมเหตุสมผลที่จะจำนางได้ในวันนี้ แต่มันก็น่าตกใจมากที่บอกว่าเขาเดาตัวตนนางได้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
เขาไม่ใช่ผีสาวอะไรเสียหน่อย
ตลอดทั้งเช้าเป็นวิชาของอาจารย์เจียง
กู้เจียวมั่นใจสุดจะเปรียบว่านางกับท่านชายชิงเฉินที่นั่งข้างๆ นางไม่ได้ฟังเลยแม้แต่ประโยคเดียว
แต่ทั้งคู่ต่างทำท่าทางตั้งอกตั้งใจเรียนเสียเต็มประดา
หลังคาบเรียนภาคเช้าจบลง มู่ชิงเฉินก็จากไปท่ามกลางเสียงประจบสอพลอและอิจฉาริษยา
กู้เจียวก็คิดจะเก็บข้าวของไปหากู้เสี่ยวซุ่นเช่นกัน แต่ในขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นนั้น เพื่อนร่วมชั้นราวยี่สิบคนก็เข้ามาห้อมล้อมนางด้วยเจตนาร้าย
พวกเขาขวางหน้านางไว้อย่างลำพอง ใบหน้ารูปเหลี่ยมหนึ่งในนั้นยกเท้าขึ้นมา หมายจะเหยียบลงบนโต๊ะของนาง
แต่คงจะนึกขึ้นได้ว่าโต๊ะนี้ก็เป็นโต๊ะของมู่ชิงเฉินเช่นกัน เท้าเขาจึงชะงักค้างกลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน แล้วชักกลับคืนอย่างแหยๆ
เจ้าของใบหน้ารูปเหลี่ยมคนนั้นเอ่ยอย่างยโสโอหัง “ข้าแซ่อู๋ ชาวแคว้นเยี่ยน ได้ยินว่าเจ้าเป็นชาวแคว้นเจา โลกยามนี้ แม้แต่ชาวแคว้นเบื้องล่างอันต่ำต้อยก็มีสิทธิ์มานั่งข้างๆ ท่านชายชิงเฉินแล้วรึ ยังไม่รีบหลีกทางลูกพี่อย่างข้าอีก!”
“นั่นสิ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของท่านชายชิงเฉิน!”
“ไม่ประมาณตนเอาเสียเลย!”
มีคนร่วมผสมโรงด้วยไม่หยุด ราวกับว่ากู้เจียวทำเรื่องผิดบาปมหันต์ร้ายแรงอะไรมา แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะกู้เจียวได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับมู่ชิงเฉินหรอก เป็นมู่ชิงเฉินไม่ยอมไปนั่งตรงที่นั่งว่างๆ ที่มีตั้งมากมาย ดันมาเบียดโต๊ะเดียวกันกับนางต่างหาก
มู่ชิงเฉินเห็นนางอยู่ตัวคนเดียวก็เลยมานั่งด้วยเอาบุญอย่างนั้นรึ
ไม่ใช่อยู่แล้ว
เขาไม่ต้องนองเลือดสักหยด ก็เรียกความขุ่นเคืองมาให้นางได้ต่างหาก
“จงติ่ง” กู้เจียวเอ่ยขึ้น
ไม่ไกลกันนั้นจงติ่งที่แสร้งตาบอดสะดุ้งโหยง แบกความกดดันมหาศาลเดินมาหากู้เจียว
“ทะทะทะ…ทำอะไรน่ะ” เขาถามเสียงแผ่ว
“ถ้าต่อยคนจะโดนจดชื่อหรือไม่” กู้เจียวถาม
จงติ่งเอ่ยเสียงสั่น “จะ…จดสิ เจ้าถามทำไมรึ”
กู้เจียวเสียดาย “เสียดายจริง”
นางเอ่ยพลางใช้ศอกข้างหนึ่งยันโต๊ะ เท้าแก้มมองคนพวกนั้นด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเอ่ย “ดี ข้าจะยกที่ให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
พวกเขาพากันนิ่งอึ้ง
นะ…นี่จะยอมประนีประนอมแล้วรึ
ไม่ดิ้นรนเสียหน่อยรึ
ทำเอาหมดอารมณ์รังแกคนเลย!
“แต่ว่า…” สายตากู้เจียวกวาดมองทั้งหกคน “ที่มีอยู่แค่ที่เดียว ข้าควรยกให้ใครดีล่ะ”
บัณฑิตตาทรงสามเหลี่ยมคนหนึ่งยืดอกอาสา “ย่อมเป็นข้าอยู่แล้ว!”
ชายหน้าเหลี่ยมเอ่ยอย่างโมโห “จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร! ข้าก่อนสิ!”
ชายตาสามเหลี่ยม “ข้าเสนอตัวก่อน!”
ชายหน้าเหลี่ยม “นั่นข้าหมายตาไว้ก่อนนะ!”
อีกคนเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องแย่งกัน!”
ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ไม่แย่งเจ้าก็มานั่งสิ!”
คนผู้นั้น “ข้าจะนั่งเดี๋ยวนี้แหละ!”
…
พวกเขาทะเลาะกันดุเดือดขึ้นมา กู้เจียวเก็บตำราอย่างเอ้อระเหย ก่อนจะลุกขึ้นอย่างสบายๆ เดินออกไปทางประตูหลัง
จงติ่งเห็นทั้งหกคนจะตีกันแล้ว แล้วหันไปมองกู้เจียวที่จากไปอย่างสบายใจเฉิบ สีหน้าเขาก็มึนงงขึ้นมาทันที
แบบนี้ก็ได้รึ
ระหว่างห้องหมิงเย่ว์ของกู้เสี่ยวซุ่นกับห้องหมิงซินมีทางเล็กๆ ที่ประดับประดาด้วยดอกไม้พาดคั่น กู้เจียวสาวเท้าเดินอยู่บนทางเล็กๆ นี้ จู่ๆ องครักษ์เกราะเงินกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ
ข้างกายพวกเขามีอาจารย์ของสำนักบัณฑิตคนหนึ่งตามมาด้วย ไม่ใช่อาจารย์เจียง เป็นใครนั้นกู้เจียวก็ไม่รู้
นอกจากนี้ ยังมีแม่เล้าแต่งตัวฉูดฉาดด้วยอีกคน
“พี่ๆ ขุนนาง! เขานี่แหละเจ้าค่ะ!”
กู้เจียวมีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยพลันว่าที่แม่เล้าชี้ก็คือตัวเอง
แม่เล้านางนี้นางคุ้นเคยดี เมื่อคืนนางไปหอนางโลมของอีกฝ่ายมา
เกิดอะไรขึ้น
สภาพนางเป็นถึงขนาดนั้น ยังจะจำกันได้อีกรึ ที่สำคัญก็คือ ยังตามมาถึงสำนักบัณฑิตได้อีก
“เจ้าจำไม่ผิดแน่นะ มั่นใจรึว่าเป็นเขา” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ถามขึ้น
อาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เอ่ย “นั่นสิ นี่เป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงของพวกเรานะ เจ้าอย่ากัดคนส่งเดช!”
แม่เล้าชูผ้าเช็ดหน้าเอ่ย “ข้าจำไม่ผิดแน่! ปานบนหน้าเขานั่นไง ฝุ่นบนกำแพงหนาเพียงใดก็ปกปิดไม่มิด!”
อ๋อ ปานนี่เอง
ดังนั้น มู่ชิงเฉินก็จำนางได้เพราะปานของนาง
แต่แม่เล้าหอนางโลมไล่ตามมาถึงนี่ได้อย่างไร
แม่เล้าชี้กู้เจียวเอ่ย “พี่ๆ ขุนนาง เมื่อคืนคนผู้นี้นี่แหละที่เอาตรามัจฉาของท่านชายชิงเฉินมาที่หอนางโลมของพวกเรา! ท่านชายชิงเฉินเป็นบุคคลสง่างามสูงส่งดุจเซียนเพียงใด ข้าไม่เคยพบก็ยังเคยได้ยินมา! แค่เห็นคนผู้นี้ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ท่านชายชิงเฉินตัวจริง!”
กู้เจียวถาม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่แจ้งทางการเล่า”
แม่เล้าบีบผ้าเช็ดหน้า เอ่ย “ขะ…ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นสหายของท่านชายชิงเฉินน่ะสิ”
กู้เจียวเอ่ยอีก “เช่นนั้นเหตุใดหลังจากนั้นเจ้าไม่ไปแจ้งทางการเล่า”
แม่เล้าแค่นเสียงเฮอะ “เจ้าโยนตรามัจฉาของท่านชายชิงเฉินลงส้วมไปแล้ว! หากเป็นสหายจริงๆ ใครเขาจะทำเช่นนี้บ้าง! ข้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤต คนผู้นี้คือโจรขโมยตรามัจฉาของท่านชายชิงเฉินไปเจ้าค่ะ!”
กู้เจียว ของที่ข้าโยนลงส้วมเจ้าก็งมขึ้นมา! งานอดิเรกอะไรของเจ้ากันนี่!
กู้เจียวเอ่ย “เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนของสำนักบัณฑิตเทียนฉง”
แม่เล้าแววตาเป็นประกาย “ขะ…เขาเป็นคนเผยพิรุธออกมาเอง!”
กู้เจียวไม่ได้หลุดปากเลยสักคำ ซ้ำเพื่อปกปิดตัวตน นางไม่ได้พกสิ่งของใดๆ เกี่ยวกับสำนักบัณฑิตเทียนฉงเลยสักอย่าง
คำให้การก่อนหน้านี้ของแม่เล้าอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ประโยคนี้มันโกหกชัดๆ
ทั้งนางไม่ได้เป็นคนพูด และไม่ใช่แม่เล้าที่รู้เองด้วย เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว…เมื่อคืนมีคนรู้ตัวตนนางว่าเป็นบัณฑิตเทียนฉง และมาที่หอนางโลมด้วย
กู้เจียวหันขวับไปมองอาจารย์ที่มาด้วยกันกับแม่เล้า
อ๊ะ จำได้แล้ว
นี่มันอาจารย์ที่รับรายงานตัวให้นางกับกู้เสี่ยวซุ่นเมื่อวานนี่นา
แสร้งทำเป็นไม่รู้จักแม่เล้า คนหนึ่งเล่นบทไม้อ่อน อีกคนเล่นบทไม้แข็ง ที่แท้ก็บอกตัวตนของนางกับแม่เล้าไปตั้งแต่แรกแล้ว
อาจารย์คนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของกู้เจียว สีหน้าจึงประหวั่นขึ้นมา
“บัณฑิตไปเที่ยวหอนางโลมผิดกฎหมายหรือไม่” กู้เจียวมองไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่ตรงหน้า
เขาเอ่ย “เที่ยวหอนางโลมไม่ผิดกฎหมาย แต่เจ้าถูกสงสัยว่าลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษมหันต์! ซ้ำยังหยามหมิ่นสาวใช้ขององค์รัชทายาท ทำให้จวนรัชทายาทต้องได้รับความอัปยศ!”
เมื่อคืนจู่ๆ ก็จำกัดเวลาเข้าออกเป็นเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ
กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่น “มาบอกว่าข้าเป็นมือสังหาร มีหลักฐานหรือไม่”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เอ่ย “มี! สาวใช้ของจวนองค์รัชทายาทเคยชำเลืองไปเห็นปานแดงบนใบหน้ามือสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจ! ซ้ำยังเป็นใบหน้าด้านซ้ายด้วย!”
แม่เจ้าโว้ย!
อะไรมันจะซวยขนาดนั้น!
ปานแดงบนหน้าก็โดนเห็นรึ
สงสัยยิ่งนักว่าตัวตนของเซียวลิ่วหลังล่วงเกิดสวรรค์ไว้หรือไร!
“สาวใช้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ให้สาวใช้มาพบ ก็น่าจะกระจ่างแล้วว่าตนไม่ใช่มือสังหารคนเมื่อคืน
“นางแขวนคอตายแล้ว” หัวหน้าเจ้าหน้าที่บอก
กู้เจียว “…”
นี่แม้แต่พยานยืนยันความบริสุทธิ์ของนางก็ไม่มีแล้วด้วย
เซียวลิ่วหลังเอ๋ยเซียวลิ่วหลัง ตัวตนเจ้ามันตัวซวยโดยแท้!
กู้เจียวถามว่ามือสังหารเพิ่งจะหนีออกจากจวนรัชทายาท พวกเจ้าก็จำกัดเวลาเข้าออกทั้งหมดเลยรึ“
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว! ใช้ดอกไม้ไฟเป็นสัญญาณ จำกัดทั่วทั้งเมือง”
มีดอกไม้ไฟด้วย สมกับเป็นแคว้นเบื้องบน
นางไม่เห็นดอกไม้ไฟ เพราะตอนนั้นนางอาจจะกำลังซ่อนอยู่ในผ้าห่มของชายวัยกลางคนคนนั้น
มือสังหารมีข้อสำคัญสองประการ คือ ปานแดงหน้าด้านซ้ายกับเป็นบุรุษ
กู้เจียวอยากจะยืนยันตัวตนว่าไม่ใช่มือสังหารนั้นมีอยู่สองทาง หนึ่งเปิดเผยไปเลยว่าตัวเองเป็นสตรี เพียงแต่ทำเช่นนี้แล้ว นางจะถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิต ไม่อาจอยู่ในแคว้นเยี่ยนต่อได้แล้ว
สองให้มู่ชิงเฉินเป็นพยานบุคคลให้นางว่านางอยู่กับเขา
แม้จะไม่รู้ว่าจวนรัชทายาทอยู่ที่ใด แต่คิดว่าคงไม่ใกล้กับถนนที่นางอยู่ตอนนั้นมากนัก อย่างไรเสียนั่นก็เป็นย่านคึกคัก
การจำกัดเวลาเข้าออกเมืองเพิ่งจะเริ่มนางก็อยู่บนรถม้าของมู่ชิงเฉินแล้ว นางไม่มีเวลาก่อเหตุมากพอหรอก
เพียงแต่ว่า นางปล้นของจากมู่ชิงเฉินไปแล้ว มู่ชิงเฉินจะยินยอมมาเป็นพยานให้นางรึ