สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 626 ความลับ
บทที่ 626 ความลับ
เวลานี้ ทั้งกู้เจียวและมู่ชิงเฉินขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อย และไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวในจวนกั๋วกง
ใต้เท้าเซ่าเองก็เดินทางออกจากจวนกั๋วกงไปพร้อมกับพวกเขา หนำซ้ำก่อนออกเดินทางยังแขวะมู่ชิงเฉินไปสองประโยค แต่กระนั้นก็ไม่ได้จับพิรุธอะไรได้อยู่ดี ก่อนจะควบม้าเดินทางอกไป
“พวกเจ้ามีเรื่องกันรึ” กู้เจียวถาม
“ความขัดแย้งระหว่างตระกูลน่ะ” มู่ชิงเฉินตอบเพียงเท่านี้
ความขัดแย้งที่ว่านั้นคืออะไร เขาไม่ได้ออธิบายต่อ
กู้เจียวเองก็ไม่ได้ถามต่อ นางไม่ได้สนใจเรื่องชาวบ้านขนาดนั้น
“หนึ่งพันตำลึงรึ” มู่ชิงเฉินหันไปทางกู้เจียวช้าๆ
กู้เจียวโบกมือปัด “ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าเคยลงเรือลำเดียวกัน ข้าก็แค่เป็นธุระให้ท่าน”
“เฮอะ” มู่ชิงเฉินโพล่งหัวเราะอย่างหงุดหงิด “นี่เจ้าไปเรียนวิธีพูดโกหกหน้าตายแบบนี้มาจากที่ใด”
“แล้วเจ้าล่ะ ไปเรียนจากที่ไหน” กู้เจียวย้อน
บังอาจมากล่าวหาข้า เจ้าเองก็ใช่ย่อย
มู่ชิงเฉินเบนสายตาหนี ไม่เอ่ยอะไรต่อ
กู้เจียวเอ่ยถามเขา “ข้าไปที่โรงหมอได้ไหม”
มู่ชิงเฉินหรี่ตามอง “พอแล้วน่า ไม่ต้องมาแสดงเป็นหมอแล้ว”
กู้เจียวคิดในใจ ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นหมอจริงๆ เจ้าจะเชื่อไหม
“แต่จะว่าไป เมื่อครู่นี้เจ้าก็แสดงได้ถึงบทบาทดีนะ” ถ้าไม่ใช่เพราะนางพูดจาแปลกๆ มู่ชิงเฉินก็คงเกือบจะเชื่อแล้ว “คราวหน้าไม่เอาแล้วนะ ถ้าความแตกอีกข้าช่วยไม่ได้แล้ว”
กู้เจียว “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นข้าไปที่โรงหมอได้ไหม ข้าจะไปซื้อยา”
“เจ้าไม่สบายรึ” มู่ชิงเฉินถาม
“สำหรับน้องชายของข้าน่ะ” กู้เจียวตอบ
ถึงแม้เรื่องที่กู้เหยี่ยนลาป่วยจะไม่ได้ประกาศออกไป แต่ก็มิใช่ความลับอะไร แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากนักถ้ามู่ชิงเฉินจะตามสืบ
แต่ดูเหมือนเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงให้สารถีพาไปที่โรงหมอแห่งหนึ่ง
“ข้าจะรอเจ้าในรถนี่ละ” มู่ชิงเฉินกล่าว
“อืม” กู้เจียวไม่ได้ขัด
โรงหมอที่มู่ชิงเฉินพามาเป็นโรงหมอชั้นดี คนป่วยเยอะ หมอเพียบพร้อม รวมถึงหยูกยาต่างๆ ที่หายากก็มีให้เลือกสรร ถ้ากู้เจียวมาตามหายา ย่อมต้องได้ติดมือกลับไปบ้าง
ทว่าสิ่งที่นางตามหาคือห้องผ่าตัด
“ที่โรงหมอแห่งนี้มีสิ่งนี้อยู่หรือไม่” กู้เจียวกางรูปห้องผ่าตัดออก
พวกหมอพากันส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
กู้เจียวเก็บภาพลงแล้วเดินกลับมาที่รถม้า
“ไม่มียาที่เจ้าต้องการหรือ” มู่ชิงเฉินเอ่ยถาม
“อืม” กู้เจียวตอบเสียงเบา
“ข้างหน้ายังมีโรงหมออีกสองแห่งนะ” มู่ชิงเฉินเอ่ย
“เช่นนั้นก็รบกวนด้วย” กู้เจียวเอ่ยกับเขา
นี่เป็นคำพูดที่ฟังดูจริงใจที่สุดสำหรับเขา แม้จะเป็นคำสั้นๆ ก็ตาม
มู่ชิงเฉินจึงสั่งให้สารถีมุ่งหน้าไปที่โรงหมออีกสองแห่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้จักหรือเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าห้องผ่าตัด
เช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่ามันยังไม่ถูกสร้างขึ้น หรือไม่ก็ยังไม่แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป
“เจ้าต้องการยาอะไรกันแน่ บอกชื่อมา เดี๋ยวข้าจะไปถามให้” มู่ชิงเฉินเอ่ย
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวต้องการรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง อีกทั้งนางไม่สะดวกใจที่จะเล่าความลับให้คนแปลกหน้าฟัง
พอมู่ชิงเฉินเห็นว่านางไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้ทำตัวกดดันแต่อย่างใด
ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางออกจากเมืองชั้นใน
“เจ้าพักอยู่ที่ใด” มู่ชิงเฉินเอ่ยถามดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ส่งข้ากลับสำนักบัณฑิตก็พอ” กู้เจียวบอกเขา
มู่ชิงเฉินจ้องกู้เจียวเขม็ง เขารับรู้ความระมัดระวังของอีกฝ่าย จึงไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็พากู้เจียวกลับไปที่สำนักบัณฑิตและกลับไป
แม้จะเป็นช่วงเลิกเรียนแล้ว แต่กู้เสี่ยวซุ่นก็กำลังสะพายกระเป๋ารอกู้เจียวมารับที่หน้าประตูหมิงซินถัง
“เสี่ยวซุ่น” กู้เจียวตรงเข้าไปหาเขา
“ท่านพี่!” ดวงตากู้เสี่ยวซุ่นเปล่งประกายในทันใด พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพี่ “พวกเขาบอกว่าท่านพี่ออกไปกับทางการ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นรึ”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่เข้าเมืองไปรักษาคนป่วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้เสี่ยวซุ่นถึงกับผ่อนลมหายใจ “ไปรักษาคนมานี่เอง ข้าก็กังวลว่าท่านพี่จะไปที่นั่นอย่างลับ ๆ… แล้วความลับก็อาจถูกเปิดเผยเข้า”
กู้เจียวยิ้มมุมปาก
“ไปรักษาผู้ใดมารึ” กู้เสี่ยวซุ่นถามไถ่
“ท่านกั๋วกงน่ะ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องแล้วเก็บหนังสือ
“มา ข้าช่วย!” กู้เสี่ยวซุ่นรีบพุ่งตัวคว้ากระเป๋าหนังสือของกู้เจียวอย่างไม่รอช้า “เขาเป็นอะไรรึ แล้วดีขึ้นหรือยัง”
พี่น้องสองคนกำลังคุยกันขณะที่พวกเขาออกจากสำนักบัณฑิต และกลับไปที่เรือนพักของพวกเขา
พอมาถึงที่เรือน อาจารย์แม่หนานก็ถามถึงเหตุผลว่าทำไมทั้งสองจึงกลับเอาป่านนี้
กู้เสี่ยวซุ่นตอบอย่างตรงไปตรงมาพร้อมเชิดหน้า “วันนี้ท่านพี่เข้าไปในเมืองชั้นในเพื่อรักษาผู้ไข้! แถมผู้ไข้คนนั้นยังเป็นระดับกั๋วกงอีกด้วย!”
สีหน้าของกู้เสี่ยวซุ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิราวกับกำลังจะสื่อออกไปว่าพี่สาวของข้าเก่งสุดๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะ
อาจารย์แม่หนานและอาจารย์หลู่ถึงกับทำหน้าตกตะลึง
พวกเขารู้จักแคว้นเยี่ยนดี และรู้ด้วยว่าบัณฑิตตัวเล็กๆ อย่างกู้เจียวไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปรักษาให้กั๋วกงได้อยู่แล้ว
กู้เจียวที่อ่านสีหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสองออก จึงอธิบายไป “ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมชั้นของข้าจะเป็นบุตรหลานของตระกูลสูงส่ง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนกั๋วกง ข้าได้ยินเขาพูดถึงอาการป่วยของท่านกั๋วกงโดยบังเอิญ จึงขออาสาไปดูอาการให้ เขาเป็นคนใจดี ก็เลยพาข้าไป”
สำนักบัณฑิตเทียนฉงเป็นที่รู้จักในชื่อสำนักบัณฑิตของตระกูลชั้นสูง จึงไม่แปลกที่บัณฑิตจำนวนมากจากตระกูลชนชั้นสูงมาเรียนที่นั่น เมื่อเปรียบเทียบกับตัวตนของบุตรชายของตระกูลชนชั้นสูงแล้ว ดูเหมือนว่าอาจารย์แม่หนานอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของกั๋วกงคนนั้นมากกว่า
“กั๋วกงท่านไหนรึ”
“อันกั๋วกง” กู้เจียวจำได้จากป้ายที่อยู่บนจวนของกั๋วกงผู้นั้น
“เป็นเขาเองรึ” อาจารย์แม่หนานตกใจ
“ท่านรู้จักเขาด้วยหรือ” กู้เจียวถาม
อาจารย์แม่หนานหัวเราะกลบเกลื่อน “ไม่ถึงกับรู้จักหรอก เพียงแต่เคยได้ยินว่าท่านกั๋วกงคนนี้เป็นบุรุษผู้ทรงอิทธิพลอย่างมาก รูปโฉมหล่อเหลาบวกกับความสามารถอันล้นหลาม จึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากหน้าหลายตา”
จู่ๆ อาจารย์หลู่ก็เริ่มทำหน้าบูดบึ้ง
นี่ภรรยาของเขากำลังเอ่ยปากชมชายอื่นต่อหน้าเขาอย่างนั้นเรอะ
“เกิดอะไรขึ้นกับเขารึ” ด้วยความที่อาจารย์แม่หนานไม่ได้กลับมาที่แคว้นเยี่ยนเป็นเวลานานก็เลยไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“เมื่อสามปีก่อน เขาถูกวางยาเบื่อจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา” กู้เกียวบอก
“เจ้าชายนิทรารึ” อาจารย์แม่หนานเหงื่อตกเพราะไม่เข้าใจคำที่กู้เจียวเพิ่งบอก
“หมายถึง นอนนิ่งหมดสติไม่ฟื้นน่ะ” กู้เจียวอธิบาย
อาจารย์แม่หนานร้องอ๋อ “เหมือนกับตายทั้งเป็นรึ”
ที่แท้คนที่นี่ก็ใช้คำว่าตายทั้งเป็น กู้เจียวถึงกับร้องอ๋อ “น่าจะ ประมาณนั้นกระมัง”
อาจารย์แม่หนานถอนหายใจ “เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขาช่างโชคร้ายจริงๆ ”
กู้เสี่ยวซุ่นสงสัย “เขาเป็นถึงกั๋วกงของแคว้นเยี่ยน จะโชคร้ายอย่างไรรึ”
อาจารย์แม่หนานถอนหายใจอีกครั้ง “พวกเจ้าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้สินะ ท่านอันกั๋วกงน่ะเคยสูญเสียแม่ของเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาภรรยาของเขาก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นลูกสาวของเขาก็ดันมาจากไปอีก…ดวงอาภัพยิ่งนัก”
กู้เสี่ยวซุ่นถึงกับอ้าปากค้าง “อับโชคอะไรเช่นนี้”
ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้ หนานเซียงจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตของอันกั๋วกงผู้นี้ให้เด็กๆ ฟัง
อันกั๋วกงคือบุตรชายคนโตของตระกูล ด้วยความที่มารดาของเขาด่วนจากไปเสียก่อน เขาจึงไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือด ภายหลังบิดาของเขาแต่งงานใหม่และได้ลูกชายกับลูกสาวมาอย่างละหนึ่งคน
อันกั๋วกงเป็นคนจิตใจดี ปฏิบัติกับน้องชายและน้องสาวต่างแม่ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมีแต่ความอบอุ่น
หลังจากบิดาของเขาเสียไป ในฐานะลูกชายคนโต เขาจึงได้รับตำแหน่งอันกั๋วกง
พอถึงตรงนี้ กู้เจียวร้องอ๋อ “แปลว่าฮูหยินรองที่ข้าเจอวันนี้ก็คือภรรยาของน้องชายของอันกั๋วกงสินะ”
อาจารย์แม่หนานพยักหน้า “ใช่แล้ว อันกั๋วกงเป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่ยอมรับนางสนมคนไหนๆ ให้เข้าไปดูแล”
“แล้วภรรยาของเขา…” กู้เจียวเอามือลูบคาง พลางนึกว่าในสมัยโบราณแบบนี้ น้อยคนนักที่จะนิยมภรรยาเดียว
“เฮ้อ” อาจารย์แม่หนานถอนหายใจรอบที่ล้านเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้
อาจารย์หลู่เห็นดังนั้นก็ยิ่งทำหน้าบูดหน้าบึ้งเสียยิ่งกว่าเก่า
อะไรกัน
เอาแต่เอ่ยปากชมชายอื่นอยู่ได้
ไม่เห็นหัวกันแล้วรึ!
อาจารย์แม่หนานเมินสามีของตัวเองแล้วเอ่ยต่อ “พวกเราพูดเรื่องนี้ได้แค่ในที่รโหฐานเท่านั้น ข้างนอกนั้นไม่มีใครกล้าพูดถึงภรรยาของเขาเลย”
“เพราะเหตุใดรึ” กู้เจียวสงสัย
อาจารย์แม่หนานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป “เพราะว่าภรรยาของเขาเป็นคนของตระกูลเซวียนหยวนน่ะสิ”
กู้เจียวหันไปมองทวนพู่แดงของตัวเอง ก่อนจะถามต่อ “ตระกูลเดียวกันกับเซวียนหยวนลี่น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว ในเวลานั้น ตระกูลเซวียนหยวนเป็นตระกูลนายพลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้น ว่ากันว่าพวกเขามีกองกำลังทหารนับล้านนาย อำนาจของพวกเขาสูงเสียดฟ้า ไม่แปลกที่ตระกูลของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่บุตรหลานของตระกูลเซวียนหยวนทั้งชายและหญิงล้วนกล้าหาญและเก่งในการต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่ภายหลังตระกูลเซวียนหยวนได้เริ่มต้นเส้นทางแห่งการกบฏ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนที่ก่อการกบฏมักมีจุดจบที่ไม่ดีเสมอแม้แต่ตระกูลเซวียนหยวนก็ไม่มีข้อยกเว้น กองทัพหลวงได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับกองทัพของเซวียนหยวน และนายพลทั้งหมดของตระกูลเซวียนหยวนต่างเสียชีวิตในการรบ ตอนนั้นภรรยาของอันกั๋วกงที่กำลังตั้งครรภ์ก็จำต้องสวมชุดเกราะเพื่อปกป้องตระกูล แต่ท้ายที่สุดก็ตายทั้งกลม ทิ้งลูกสาววัยสองขวบไว้เพียงคนเดียว”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเลยพลอยทำให้ตระกูลของกั๋วกงต้องตกที่นั่งลำบากไปด้วย ฮ่องเต้บังคับให้ลูกสาววัยสองขวบของพวกเขาต้องมอบตัว กั๋วกงทำทุกวิถีทางแม้กระทั่งยอมสละตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองเพื่อปกป้องลูก แค่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลเซวียนหยวนก็อับโชคพอแล้ว ซ้ำยังถูกไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยม เด็กผู้ชายจะถูกฆ่าตายทั้งหมด แม้แต่ทารกก็ไม่เว้น ส่วนเด็กผู้หญิงถูกนำตัวส่งไปที่หอนางโลม”
“ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเป็นคนเหี้ยมโหดเช่นนี้หรอกหรือ” กู้เจียวเอ่ย
อาจารย์แม่หนานยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกคนที่จะมีจิตใจดีเหมือนกับฝ่าบาทแคว้นเจานะ”
กู้เจียวย่นคิ้ว พลางถาม “ไหนว่าท่านกั๋วกงปกป้องลูกไว้ได้ เหตุใดถึงบอกว่าเขาสูญเสียลูกสาวไปล่ะ”
อาจารย์แม่หนานยิ้มให้พร้อมส่ายศีรษะ “ฮ่องเต้ทรงรังเกียจพวกตระกูลเซวียนหยวนเข้ากระดูกดำ มีหรือจะทรงปล่อยไปอย่างง่ายดาย หลังจากที่อันกั๋วกงลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ก็เดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมกับลูกสาวและหาที่หลบภัยอยู่อย่างสงบ แต่ภายหลังในเวลาไม่กี่ปี เด็กคนนั้นกลับเสียชีวิตลงกะทันหัน หลายคนคาดเดาว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่กล่าวเช่นนั้นก็ถูกจับกุมและไม่มีใครกล้าพูดคุยกันเรื่องนี้อีก”
กู้เจียว “ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
อาจารย์แม่หนานเอ่ยต่อ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ใครในแคว้นจะยังจำตระกูลเซวียนหยวนได้อีก บางคนอาจจำได้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดถึงอีกอยู่ดี ฮ่องเต้ทรงเกลียดพวกเซวียนหยวน ถึงขนาดยกพวกทหารฝีมือดีของเซวียนหยวนให้แคว้นเฉินราวกับโยนกองเศษเหล็กเก่าๆ ทิ้ง”
…
หลังทานข้าวเสร็จ อาจารย์หลู่อาสาล้างจานล้างตะเกียบ ขณะที่อาจารย์แม่หนานยังคงไม่สบายใจกับเรื่องวันนี้ “เจียวเจียว ที่จวนอันกั๋วกงมีแต่หูตาเต็มไปหมด ข้าว่าเจ้าอย่าไปที่นั่นบ่อยนัก ไม่เช่นนั้นความอาจแตกได้”
“ได้เจ้าค่ะ” กู้เจียวตอบรับ
“อ้อ แล้วก็เพื่อนร่วมชั้นของเจ้าคนนั้น ในเมื่อเขาไปมาหาสู่กับจวนอันกั๋วกงขนาดนั้น รักษาระยะห่างกับเขาให้พองาม อย่าถลำลึกมากเกิน”
เซิ่งตูเป็นเมืองที่มีแต่ความลี้ลับ อาจารย์แม่หนานกังวลเพียงว่าคนดีๆ อย่างกู้เจียวถ้าไม่ระวังตัวอาจเผลอเข้าไปพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้
กู้เจียวเข้าใจดีว่าท่านอาจารย์เตือนเพราะหวังดี จึงพยักหน้าตอบ “อย่ากังวลเลยท่านอาจารย์แม่หนาน พรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนที่นั่ง ข้าจะไม่นั่งกับเขาอีก”
นางกับมู่ชิงเฉินจะไม่สานอะไรกันต่ออีก
เช้าตรู่วันถัดมา พอกู้เจียวมาถึงห้องเรียน ก็พบว่ายังมีคนมาถึงไม่มากนัก
กู้เจียวมองไปทางจงติ่ง ทำหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินถือกระเป๋าหนังสือพุ่งตรงเข้าไป
จงติ่งออกอาการตกใจ “นี่เจ้า ทำอะไรน่ะ”
“วันนี้ข้าจะนั่งกับเจ้า” กู้เจียวตอบ
จงติ่งทำหน้าครุ่นคิด “เจ้ากลัวคนพวกนั้นทำร้ายเจ้าสินะ ที่จริงก็ดีเหมือนกัน พวกเราไม่คู่ควรกับคนระดับท่านชายชิงเฉินหรอก เกรงว่าจะมีคนเสียน้ำตาเอาน่ะสิ”
กู้เจียวไม่สาวความต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ขอลอกการบ้านหน่อย”
กู้เจียวลืมทำการบ้าน พอเห็นจงติ่งกำลังทบทวนหนังสืออยู่ถึงนึกขึ้นได้ว่ามีการบ้าน
จงติ่งยื่นการบ้านของเขาให้นางอย่างไม่ลังเล
วันนี้มู่ชิงเฉินมาเข้าเรียนอีกครั้ง นับว่าเป็นการทำลายสถิติจำนวนครั้งที่เขาเข้ามาเรียนได้เลย
ปกติมู่ชิงเฉินมาเข้าเรียนหนึ่งวันต่อหนึ่งภาคเรียนด้วยซ้ำ ยิ่งมาติดกันสองวันยิ่งเป็นไปไม่ได้
พอเข้ามาในห้อง สายตาของเขาพลันจับจ้องไปที่กู้เจียวที่กำลังนั่งข้างจงติ่ง
มู่ชิงเฉินเดินไปนั่งที่แถวหลังสุดของห้องโดยไม่พูดอะไร
เจ้าหน้าเหลี่ยมนั่นพอเห็นที่นั่งข้างมู่ชิงเฉินว่างอยู่ ก็รีบคว้ากระเป๋าและพุ่งตัวไปหา!
“ทะ ท่าน ท่านชาย ท่านชายชิงเฉิน!”
ป้าบ!
มู่ชิงเฉินรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาวางแทนที่
เจ้าหน้าเหลี่ยมหมดสิทธิ์นั่งข้างคุณชายทันที
เมื่อคืนกู้เจียวฝึกรำหอกจนดึกเลยทำให้นอนไม่พอ ต้องมานอนเอาแรงตอนคาบเช้า
“บัณฑิตคนไหนที่สามารถอธิบายประโยคนี้ได้” ในระหว่างการบรรยาย อาจารย์มองดูบัณฑิตและเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์” มู่ชิงเฉินลุกยืน “เซียวลิ่วหลังทำได้ขอรับ”
กู้เจียวที่อยู่ในสภาพนั่งสัปหงก ราวกับไก่ที่กำลังจิกข้าวสาร “…!!”