สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 631 เจ้าม้าพยศ
บทที่ 631 เจ้าม้าพยศ
กู้เจียวถึงกับไปไม่เป็น
อยากจะผ่ากะโหลกของเขาออกมาดูเสียเหลือเกินว่ามีเนื้อสมองอยู่ในนั้นหรือเปล่า!
เอาอะไรมาคิดว่านางเป็นริดสีดวงทวาร!
“มู่ชิงเฉิน เจ้า…”
“อะไร ข้าหยิบยามาผิดรึ”
กู้เจียวสูดหายใจลึก พยายามตีหน้าซื่อ “…อ๋อ หยิบมาถูกแล้ว ขอบใจมากเลยนะ!”
มู่ชิงเฉินทำหน้าสับสน พลางนึก จะขอบใจกันแค่นี้ทำไมต้องกัดฟันราวกับจะกินหัวเขาด้วย
มู่ชิงเฉินคิดในใจว่าคงเป็นเรื่องน่าอายมากหากพูดกับใครเกี่ยวกับโรคนี้ เขาจึงพยายามถนอมน้ำใจ “จะว่าไปแล้ว เจ้าก็ยังเด็กอยู่ เหตุใดถึงเป็นโรคนี้ขึ้นมาล่ะ”
กู้เจียวเริ่มถลึงตา พลางนึก นั่นสิ ข้ามาเป็นโรคนี้ได้ยังไงกันนะ ต้องถามเจ้ามากกว่ามั้ง!
…
กู้เจียวไม่ได้คิดจะอยู่ในหอพักตั้งแต่แรก ก็เลยไม่มีเสื้อผ้าสำรองไว้ แต่จะให้ออกไปในสภาพนี้ก็คงจะดูไม่ดีนัก
มู่ชิงเฉินเห็นใจเพื่อนร่วมห้องก็เลยขอให้ใครสักคนไปเอาเสื้อคลุมมาจากรถม้าของเขา แล้วให้กู้เจียวใช้ไปก่อน
ช่วงบ่าย เป็นคาบเรียนของอาจารย์เจียงและอาจารย์เกา โดยอาจารย์อู่ได้ไปยื่นหนังสือลาแทนกู้เจียวแล้วเรียบร้อย
ที่จริงกู้เจียวฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่อาจารย์อู่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่กู้เจียวพักฟื้นทำแผลไปได้แค่ครึ่งชั่วยามก็กลับมาโลดแล่นได้ตามปกติ แต่ในเมื่อได้สิทธิ์ลาเรียนมาแล้ว จะไม่ใช้ก็คงเสียดายแย่
กู้เจียวกลับไปกินข้าวกลางวันที่เรือน
ขณะเดียวกัน ที่โรงอาหาร
ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคาบเช้า
“นี่ เจ้ารู้เรื่องบัณฑิตใหม่ห้องหมิงซินแล้วหรือยัง เขาปราบม้าพยศของอาจารย์อู่ได้ด้วยล่ะ!”
“ม้าตัวไหนนะ”
“ก็ตัวที่อาจารย์ไปแข่งแล้วได้มาไง!”
“เจ้าม้าตัวสีดำที่ทำฟันหน้าของอาจารย์หักไปครึ่งหนึ่งน่ะรึ”
“น่าจะตัวนั้นแหละ!”
“อาจารย์อู่ฝึกมันอยู่ตั้งนานไม่ใช่รึ ไหนเจ้าพูดอีกที่ซิว่าผู้ใดกันที่ปราบมันได้”
“บัณฑิตใหม่คนนั้นยังไงล่ะ! ชื่ออะไรนะ…เซียว…ลิ่ว หลัง”
“ไม่เคยได้ยินเลย เมืองเรามีคนตระกูลนี้ด้วยหรือ”
“เขาไม่ใช่คนที่นี่ มาจากแคว้นอื่น”
“แคว้นจิ้น”
“ไม่ใช่”
“แคว้นเหลียง”
“แคว้นจ้าว”
“แคว้นเจารึ!”
“คนจากแคว้นระดับล่างน่ะหรือ เป็นไปได้อย่างไร เจ้าม้านั่นโดนอาจารย์อู่ตีจนเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า”
คนที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองไม่สามารถจินตนาการถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นได้ มีเพียงบัณฑิตห้องหมิงซินและหมิงเย่ว์เท่านั้นที่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง และพวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเจ้าม้าพยศนั่นนอกจากจะไม่ได้ถูกอาจารย์อู่ตีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือมันถูกอาจารย์ขังจนมันสะสมความแค้นไว้
ไม่มีใครคิดว่าชัยชนะของกู้เจียวนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ที่จริงกู้เจียวไม่ได้เอาชนะมันได้เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ทำให้มันอารมณ์เสียครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันยอมเชื่อฟัง
แม้จะฟังดูง่าย แต่ความยากของการกระทำครั้งนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการที่คนธรรมดาคิดจะแข่งกันสอบเป็นขุนนาง
บัณฑิตจำนวนหนึ่งได้เห็นทักษะอันร้ายกาจของเขาที่เป็นประจักษ์ นอกจากเขาจะโหดกับเจ้าม้าแล้ว ยังโหดกับตัวเองอีกด้วย
อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้บัณฑิตห้องหมิงซินและห้องหมิงเย่ว์คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอีก
และแน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ มู่ชิงเฉินได้นำเรื่องที่หกคนนั้นก่อไว้ไปฟ้องกับอาจารย์อู่
มู่ชิงเฉินฉอดพวกเขาไปแล้วรอบนึง บวกกับภาพเหตุการณ์อันน่าสะพรึงทั้งหมดที่พวกเขาได้เห็นก็ยิ่งทำให้พวกเขาไม่กล้าพูดปดต่อหน้าอาจารย์ ก็เลยยอมรับสารภาพแต่โดยดี
“โง่เขลายิ่งนัก!”
อาจารย์อู่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ต้องขอบคุณความสามารถของเซียวลิ่วหลัง! ถ้าเป็นคนอื่นมีหวังได้ตายคาเกือกม้าแน่!
พอนึกขึ้นได้ว่ายังมีซูเสวี่ยที่ตกอยู่ในอันตรายอีกคน อาจารย์อู่ก็เริ่มเหงื่อตก
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องร้ายแรงนี้ไปได้ อาจารย์อู่จึงตัดสินใจรายงานต่อเจ้าสำนัก
หลังจากทราบสถานการณ์แล้ว เจ้าสำนักจึงสั่งให้ผู้บงการอย่างหลี่หงอี้พักการเรียน และลงทัณฑ์บนร้ายแรงกับเขาและบัณฑิตอีกห้าคน อีกทั้งถูกสั่งให้ทำความสะอาดห้องน้ำของสำนัก
“แล้วก็อย่าลืมจดหมายสำนึกผิดด้วย กำหนดส่งพรุ่งเช้า!” เจ้าสำนักเอ่ยอย่างเข้มงวด
ทั้งหกคนค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องทำงานของเจ้าสำนัก
ตัดภาพมาที่กู้เจียวที่กำลังนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายในสวนกับกู้เหยี่ยนโดยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักบัณฑิต
อากาศที่เซิ่งตูชื้นกว่าแคว้นเจา ยิ่งช่วงหน้าร้อนเช่นนี้ ละอองน้ำในอากาศก็ยิ่งมีมากขึ้น
กู้เจียวโบกพัดให้ผู้น้อง พลางถาม “เป็นไง เย็นสบายไหม”
“เย็นสบายสุดๆ ” กู้เหยี่ยนเอ่ยเบาๆ
กู้เจียวยื่นมือแตะที่ลำคอของเขา พบว่าไม่มีเหงื่อแล้ว จึงเก็บพัดลง
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูบานใหญ่ก็ดังขึ้น
“ผู้ใด” ปรมาจารย์หลู่ถามขึ้นขณะที่เดินออกมาจากลานหลังเรือนพร้อมกับถือขวานในมือ
“ข้าไปเปิดเอง!” กู้เจียวบอกเขา
ประตูถูกเปิดแง้มไว้อยู่แล้ว อีกฝ่ายคงเคาะประตูตามมารยาท
กู้เจียวเดินไปเปิดประตู ก็เห็นหัวของเจ้าม้าสีดำลอดเข้ามา
จากนั้นกู้เจียวก็เจอกับอาจารย์อู่ในสภาพฟกช้ำดำเขียวยืนรออยู่ข้างๆ เจ้าม้า
กู้เจียวมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เอ่อ คือว่า…” เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือนี่
อาจารย์อู่ฉีกยิ้มให้หนึ่งที “เจ้าเป็นผู้ที่สามารถฝึกม้าพยศตัวนี้ได้ ข้ากับทางสำนักได้ปรึกษาหารือกัน และตัดสินใจว่าจะมอบรางวัลให้แก่เจ้า”
ความจริงก็คือหลังจากที่กู้เจียวออกไป อาจารย์อู่คิดว่าเจ้าม้าน่าเชื่องแล้วจึงรีบเข้าไปขี่มัน แต่เจ้าม้าตัวดีกลับเหวี่ยงร่างของอาจารย์ลงพื้นอย่างน่าสังเวช!
เจ้าสำนักเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ที่จริง หากไม่ได้อาจารย์อู่ช่วยไว้ ป่านนี้คนที่ถูกเจ้าม้าพยศถีบจนแขนหักก็คงเป็นเจ้าสำนัก
เขาไม่อยากเห็นเจ้าม้าพยศอยู่ในสำนักบัณฑิตนี้อีกต่อไป!
อาจารย์อู่เองก็เช่นกัน…
กู้เจียวนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ข้ามีฐานะยากจน คงเลี้ยงไม่ไหวขอรับ”
พวกเขาพกเงินมาไม่มากนัก ต้องใช้อย่างระมัดระวัง
“อาจารย์จะรับผิดชอบเงินส่วนนี้เอง!”
ได้โปรด รับเจ้าม้าบ้าตัวนี้ไปเลี้ยงเถอะ พอมันแพ้เจ้าก็เอาแต่อารมณ์เสียจนไปรังแกม้าตัวอื่นในคอก สำนักบัณฑิตไม่อาจดูแลเจ้าม้าพยศตัวนี้ได้อีกต่อไป!
ในท้ายที่สุด กู้เจียวก็ได้เจ้าม้าพยศมาครองพร้อมเงินสิบตำลึงต่อเดือนสำหรับค่าอาหารม้า
ตกเย็นอาจารย์แม่หนานกลับมาที่เรือน
ตอนแรกปรมาจารย์หลู่บอกว่าอาจารย์แม่หนานไปทำธุระ แต่พอเห็นการแต่งตัวแล้ว ดูท่าคงไม่ใช่ธุระเล็กๆ แน่นอน
พออาจารย์แม่หนานกลับมาถึงก็รีบคว้าแก้วน้ำแล้วยกดื่มไปหลายแก้ว ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วไปหากู้เจียว “นี่ เจียวเจียว ข้าไปหาเพื่อนเก่ามา เขาเคยรับหน้าที่ทำครัวให้ตำหนักราชครูด้วยละ เดี๋ยวสักพักเขาจะมาเยี่ยมที่เรือนของเราเพื่อพูดคุยกับเจ้า”
ที่แท้ก็ธุระเรื่องนี้นี่เอง
“อาจารย์แม่หนานไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำมาให้”
อาจารย์แม่หนานวิ่งเรื่องวุ่นทั้งวันทั้งคืน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม คงรู้สึกไม่สบายตัวมากแน่ๆ
กู้เจียวจึงเดินเข้าไปห้องฟืนเพื่อเตรียมน้ำให้อาบ
พออาจารย์แม่หนานอาบน้ำเสร็จ สหายเก่าแก่คนนั้นก็มาถึงพอดี
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วนและดูโหงวเฮ้งดี เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาเหมือนกับคนของตำหนักราชครูที่กู้เจียวได้เห็นในวันนั้น เพียงแต่งานปักบนเสื้อ เข็มขัดและข้อมือนั้นต่างกันเล็กน้อย
“ท่านนี้คือผู้ดูแลเลี่ยว” อาจารย์แม่หนานแนะนำ
กู้เจียวเอ่ยทักทายเขา “ยินดีที่ได้รู้จักท่านผู้ดูแลเลี่ยว”
อาจารย์แม่หนานคลี่ยิ้มและพูดกับผู้ดูแลเลี่ยว “นี่คือลูกชายบุญธรรมของข้า เซียวลิ่วหลัง”
อาจารย์แม่หนานพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของพวกเขา
ผู้ดูแลเลี่ยวเหลือบมองเด็กชายตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “เด็กคนนี้เองหรือที่อยากเข้าไปในตำหนักราชครู เข้าไปจะไปทำงานอะไร อย่าบอกนะว่าจะไปก่อเรื่องให้ข้าต้องเดือดร้อนน่ะ!”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า” อาจารย์แม่หนานเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เขาแค่อยากรู้อยากเห็นและอยากเข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติม ท่านผู้ดูแลเลี่ยววางใจได้เลย อีกอย่าง พวกเรามาจากสำนักเดียวกันนะ เจ้าควรเชื่อใจข้าสิ”
ที่แท้พวกเขาก็มาจากสำนักเดียวกันนี่เอง
เป็นเรื่องจริงหากจะกล่าวว่าพวกเขามาจากสำนักเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วผู้ดูแลเลี่ยวเป็นเพียงศิษย์นอกเท่านั้น เทียบชั้นกับอาจารย์แม่หนานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป และตอนนี้ทั้งคู่ได้ออกจากสำนักมาแล้ว เขาเข้าไปทำงานในตำหนักราชครูและเจริญรุ่งเรือง แต่อดีตศิษย์สายตรงของสำนักกลับต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
เพียงเพราะรู้สึกถึงความเหนือกว่าชั่วขณะหนึ่ง ผู้จัดการเลี่ยวจึงตัดสินใจลงมือช่วย
จากนั้น เขาก็เริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย “ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ ข้าแค่จะพาเจ้าไปเดินเล่นในนั้นเท่านั้น เจ้าไม่สามารถขโมยสิ่งของหรือทำอะไรก็ตามที่สร้างความเสียหายให้กับตำหนัก”
อาจารย์แม่หนานฉีกยิ้มสู้เอ่ย “ดูพูดเข้าสิ มีคนระดับท่านผู้ดูแลคอยเฝ้าแบบนี้ ลูกชายบุญธรรมของข้าจะไปก่อเรื่องอะไรได้อีก”
ใครบ้างจะไม่ชอบคำเยินยอ
ผู้ดูแลเลี่ยวได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มแป้นไม่ได้
จากนั้นอาจารย์แม่หนานหยิบทองคำแท่งสองแท่งออกมา แล้วมอบให้เขา
ผู้ดูแลเลี่ยวเลิกคิ้วและสอดทองคำแท่งเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่เกรงใจ
เอาทองไปอย่างเดียวไม่พอ ผู้ดูแลเลี่ยวดันเหลือบไปเห็นเจ้าม้าดำที่กำลังยืนกินหญ้าอยู่หลังเรือน
เขาชี้นิ้ว แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการม้าตัวนั้น”
อาจารย์แม่หนานเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่ามีสมาชิกใหม่เข้ามาที่เรือน
ตอนอยู่ที่สำนักบัณฑิต มันทั้งแกล้งพยศใส่ทั้งคนทั้งม้า แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับทำตัวสงบเสงี่ยม ขนาดกู้เหยี่ยนยังเข้าไปหวีแผงคอให้มันได้สบายๆ
กู้เจียวเลยไม่ได้ผูกมันไว้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ทว่าตอนนี้ บางทีเจ้าม้าอาจสัมผัสได้ว่ามีคนต้องการตัวมัน จากที่ตอนแรกยืนกินหญ้าอยู่ก็พลันหยุดลง จากนั้นเดินผ่านห้องหลักด้วยท่วงท่าที่ดุร้ายแต่สง่างามราวกับจงใจให้ผู้ดูแลเลี่ยวได้เชยชม
ผู้ดูแลเลี่ยวมองดูดวงตาที่สดใสของมัน และรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก “ม้าตัวนี้แสนรู้ยิ่งนัก!”
ใช่ มันเป็นม้าที่แสนรู้
แสนรู้เกินไป
มันเดินไปหาผู้ดูแลเลี่ยวแล้วหมุนตัวช้าๆ
นี่แหละ คือม้าชั้นยอด! ผู้ดูแลเลี่ยวชื่นชมร่างกายที่แข็งแกร่งของมันอย่างตะกละตะกลาม
“ขะ ข้า ข้าจะเอาตัวนี้!… ตัวนี้…อ๊ากกก”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เจ้าม้าตัวดีพลันยกกีบขึ้นแล้วเตะผู้ดูแลเลี่ยวออกไปอย่างไร้ความปราณี!
กู้เจียว “…”
อาจารย์แม่หนาน “…”
กู้เจียวมองร่างของผู้ดูแลเลี่ยวที่นอนลิ้นห้อยหน้าประตู ก่อนหันไปถามอาจารย์แม่หนาน “ข้ายังมีหวังจะได้เข้าไปที่ตำหนักราชครูอยู่อีกหรือไม่”
“…คงทำได้แค่ฝันแล้วล่ะ” อาจารย์แม่หนานลำบากใจยิ่งกว่า
เจ้าม้าพยศไม่รู้ตัวว่าก่อเรื่องอะไรลงไป ยังคงกระโดดไปมาในสนามหญ้า แลดูค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง
กู้เจียวหันกลับมามองมันด้วยใบหน้าสิ้นหวัง “เจ้าแกล้งทำเป็นออกไปกับเขาก่อนแล้วค่อยแอบกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร”
เจ้าต้องเป็นม้าที่มีกลยุทธ์สิ!
กู้เจียวกอดอกและจ้องมองมันอย่างดุเดือด
ขณะที่จ้องอยู่นั้น กู้เจียวเริ่มรู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ
แววตาของเจ้าม้าเริ่มแสดงความคับข้องใจ แล้วดูเหมือนกำลังจะ… ร้องไห้!
กู้เจียวส่ายหน้ารัว!
เจ้าทำตัวแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
เจ้าเป็นอาชาไนย ไม่ใช่ลูกม้านะ!
อาชาไนย หงิงหงิง!
กู้เจียว “…”
…
หลังจากโดนลูกเตะของเจ้าม้าเข้าไป ผู้ดูแลเลี่ยวทั้งรู้สึกเสียหน้าและเจ็บปวดไปทั้งตัว ไม่ว่าอาจารย์แม่หนานจะร้องขออย่างไร เขาก็ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ
อาจารย์แม่หนานเองก็หมดหนทาง ได้แต่มองผู้ดูแลเลี่ยวเดินจากไป
“ทองคำแท่ง” กู้เจียวเรียกเขา
“อย่างไรนะ” ผู้ดูแลเลี่ยวหันมาถาม
“ในเมื่อท่านไม่ช่วย ก็คืนทองคำมาซะ” กู้เจียวเอ่ย
ผู้ดูแลเลี่ยว “…”
“ดีมาก ชาตินี้อย่าหวังจะได้เข้าไปที่ตำหนักราชครูเลย!”
ผู้ดูแลเลี่ยวกัดฟันและขึ้นรถม้าด้วยความโกรธ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม!
สารถีรถถามขึ้น “กลับไปที่ตำหนักราชครูหรือไม่ขอรับ”
“ไม่กลับไปที่นั่นแล้วจะให้ไปที่ไหนเล่า!” ผู้ดูแลเลี่ยวตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“ขออภัยที่ข้าน้อยพลั้งปากไปขอรับ”
จากนั้นรถม้าก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักราชครู
“ขับเร็วขนาดนี้ จะให้ข้าเมารถตายหรือยังไง!”
จากนั้นสารถีจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง
“วิ่งช้าขนาดนี้ พรุ่งนี้ก็ไปไม่ถึงหรอก!”
สารถีจึงเพิ่มความเร็ว
“นี่เจ้าบังคับรถม้าเป็นหรือไม่”
หลังจากเสียงบ่นและก่นด่าอันมากมาย ในที่สุดรถม้าก็มาถึงที่ตำหนักราชครู
ตำแหน่งของเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเดินผ่านทางเข้าหลัก ดังนั้นเขาจึงลงจากรถม้าและเดินต่อ
เมื่อมาถึงทางเข้าหลัก ก็เจอกับรถม้าคันหนึ่งที่เรียบง่ายแต่สง่างามขับไปยังทางเข้าหลัก
เขาเปลี่ยนท่าทีจากตอนแรกที่ดูฉุนเฉียวกลายเป็นแลดูนอบน้อม จากนั้นเขาหันไปโค้งตัวให้รถม้าที่เพิ่งผ่านเข้าไป
รถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักราชครูอย่างราบรื่น
สารถีเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ เลยไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ศิษย์ในวังชั้นในของราชสำนักก็ยังต้องลงจากรถแล้วเดิน ผู้ที่อยู่ในรถม้าคันนั้นคือใครกัน ถึงได้รับเกียรติให้นั่งรถม้าเข้าทางประตูหลักได้โดยตรง
“ผู้ดูแลเลี่ยวขอรับ ท่านผู้นั้นคือใครหรือ”
ผู้ดูแลเลี่ยวมองตามรถม้าคันนั้นด้วยแววตาอิจฉา “จะเป็นใครไปอีก ก็ท่านอาวุโสเมิ่งอย่างไรเล่า ท่านราชครูรักการเล่นหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ พอรู้ว่าท่านอาวุโสเมิ่งมาที่เซิ่งตู ท่านราชครูก็จะเชิญให้เข้ามาเล่นหมากรุกในตำหนัก เวลาเจอเขาเจ้าก็อย่าลืมแสดงความเคารพล่ะ ท่านอาวุโสเมิ่งเป็นแขกคนสำคัญของท่านราชครู”