สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 632 เสี่ยวจิ้งคงมาแล้ว! (1)
บทที่ 632 เสี่ยวจิ้งคงมาแล้ว! (1)
ในเมื่อพลาดโอกาสจากผู้ดูแลเลี่ยวไปแล้ว กู้เจียวจึงต้องพึ่งพาวิธีอื่น
คนแรกที่กู้เจียวนึกขึ้นได้คือมู่ชิงเฉิน คำพูดของเขาในวันนั้นทำให้กู้เจียวคาดเดาได้ว่ามู่ชิงเฉินเองก็ไม่สามารถเข้าไปในตำหนักได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้วิธีการเลย
กู้เจียวนอนเอามืออังศีรษะพร้อมกับมองไปที่ยอดมุ้ง “อื้ม เขานี่ล่ะ”
วันรุ่งขึ้น กู้เจียวตื่นแต่เช้าตรู่ แวะดูอาการให้กู้เหยี่ยนก่อน จากนั้นจึงเดินทางไปที่สำนักบัณฑิตกับกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เจียวมีชื่อเสียงข้ามคืนหลังจากการเหตุการณ์เมื่อวานนี้ บัณฑิตมากหน้าต่างจ้องมองกู้เจียวจากทุกทิศทุกทางทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในสำนักบัณฑิต แม้พวกเขาจะไม่รู้จักหรือแม้แต่เคยเห็นหน้ากู้เจียวมาก่อน แต่รอยปานแดงที่เป็นรูปลักษณ์เฉพาะตัวนั้นทำให้พวกเขาจดจำได้
“คนนั้นไง ที่มีปานแดงบนหน้า!”
แค่วันเดียว คำพูดนี้ถูกแพร่สะพัดไปทั่วสำนักบัณฑิต
และแล้วกู้เจียวก็กลายเป็นที่รู้จักของบรรดาบัณฑิตและครูบาอาจารย์ทั้งหลายในสำนัก
ความคิดเห็นของพวกเขาแตกออกไปต่างๆ นานา บ้างก็สงสัย บ้างก็แค่อยากทันข่าว หรือบางคนก็คิดว่าเป็นเพราะโชคช่วยไม่ได้มาจากความสามารถที่แท้จริง
ถึงกระนั้น กู้เจียวก็ไม่ใส่ใจ และเดินเข้าห้องเรียนของตัวเองตามปกติ
บัณฑิตทุกคนจะถูกจัดที่นั่งประจำ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลส่วนตัว อาจารย์ก็จะไม่ว่าอะไร
มู่ชิงเฉินยังมาไม่ถึงห้องเรียน
กู้เจียวไม่รู้ว่าเขาจะนั่งที่ไหน ขณะที่จงติ่งหันมาโบกมือให้แล้วเอามือตบที่เก้าอี้ข้างๆ เพื่อบอกว่าที่นั่งตรงนี้ยังว่างอยู่
กู้เจียวกลับเดินผ่านเขาไป และเลือกที่นั่งลงตรงแถวท้ายสุด
ด้านข้างยังมีที่ว่างอยู่ มู่ชิงเฉินคงจะมานั่งตรงนี้กระมัง
กู้เจียวหยิบหนังสือ พู่กัน และกระดาษออกมา จากนั้นสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างหน้า
เขาหันมาและมองกู้เจียวด้วยท่าทีตื่นเต้น “ซะ เซียว สหายเซียว มีเรื่องอะไรรึ”
“ขอลอกการบ้านหน่อยสิ”
เพื่อนที่นั่งข้างหน้าคนนั้น “…”
แล้วเขาก็ยื่นสมุดการบ้านให้กู้เจียว
ด้วยความที่ขาดเรียนเมื่อวาน แม้จะไม่รู้ว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง แต่อย่างไรก็ต้องทำการบ้านส่งอยู่ดี
หลังจากคัดลอกเสร็จ ก็ยื่นสมุดคืนเจ้าของ “ขอบใจนะ”
“มะ ไม่ ไม่เป็นไร!” เขายังคงพูดติดอ่างด้วยความตื่นเต้นดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
กู้เจียวมองเขาแล้วเอ่ยถาม “ตื่นเต้นอะไรกัน ข้าไม่ได้จะกินหัวเจ้าสักหน่อย”
“อ้อ ขะ ข้า ข้าไม่ได้ตื่นเต้น! ไม่เลย!” เขารับสมุดมาแล้วนำพู่กันที่ยังมีน้ำหมึกอยู่เสียบเข้าไปในสมุดการบ้าน
กู้เจียว “…”
ในตอนแรก บัณฑิตในห้องส่วนใหญ่ต่างมีท่าทีเพิกเฉยและดูถูกกู้เจียว แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ทุกคนก็เริ่มหวาดกลัวกู้เจียวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ยกเว้นแค่จงติ่ง อาจเป็นเพราะพวกเขารู้จักกันก่อนที่เข้าเรียน อีกทั้งเคยพักห้องเดียวกันกับน้องชายของกู้เจียว แต่สรุปคือพวกเขาค่อนข้างสนิทกันเมื่อเทียบกับบัณฑิตคนอื่นในห้อง
จงติ่งเดินมาหากู้เจียว เอามือวางที่โต๊ะ แล้วเอ่ยถาม “เซียวลิ่วหลัง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าโจทย์ข้อนั้นคำตอบคือสิบเก้า”
ตอนแรกจงติ่งไม่เชื่อ แต่พอเมื่อวานอาจารย์เกามาเฉลยให้เขาจึงรู้ว่าเซียวลิ่วหลังคำนวณได้ถูกต้อง
ไม่สิ เขาแทบไม่ได้คำนวณอะไรเลยด้วยซ้ำ
จงติ่งกระซิบถาม “นี่เจ้า…แอบดูเฉลยของอาจารย์เกาใช่ไหม”
กู้เจียวหรี่ตามองเขาพร้อมกับตอบไป “ใช่สิ ข้าแอบดูเฉลยมา”
จงติ่งทำท่าโล่งใจ “ว่าแล้วเชียว โจทย์ยากขนาดนี้ ทั้งห้องไม่มีใครตอบถูกเลยแม้แต่คนเดียว เอาละ ข้าไม่มีอะไรแล้ว ขอกลับไปที่นั่งก่อนล่ะ”
“ช้าก่อน” กู้เจียวเรียกเขา
“มีอะไรรึ” จงติ่งหันกลับไปถาม
“ทำไมมู่ชิงเฉินถึงยังไม่มาเรียนล่ะ”
“นี่เจ้ายังไม่รู้เรื่องอีกรึ”
“เรื่องอะไร”
“วันนี้เขาคงมาเข้าเรียนไม่ได้หรอก ท่านผู้อาวุโสเมิ่งกำลังเล่นหมากรุกกับเจ้าสำนักที่ศาลาเซียนหลวน คุณชายชิงเฉินก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“ผู้อาวุโสเมิ่งคนไหน”
“เขาเป็นปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นเลยนะ! อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเขา! ท่านผู้อาวุโสเป็นคนของแคว้นเรา! แต่เนื่องจากเขาเก่งหมากรุก จึงได้รับคำเชิญจากฮ่องเต้ให้มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองเซิ่งตู”
อ๋อ ท่านผู้อาวุโสเมิ่งคนนั้นนั่นเอง
กู้เจียวเคยได้ยินชื่อของเขา
“ท่านผู้อาวุโสเมิ่งไม่ได้ออกจากเมืองชั้นในบ่อยนัก แต่ถึงท่านออกมาก็ไม่เจอใครที่มีความสามารถพอจะแข่งกับท่านได้ นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่แปลกใจที่คุณชายชิงเฉินจะไปอยู่ตรงนั้น แม้แต่ข้าเองก็อยากไปเหมือนกัน แต่ข้าไม่กล้าโดดเรียน ไม่อย่างนั้นอาจถูกบันทึกในประวัติ”
ถูกบันทึกอย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็ช่างเถิด
ตอนแรกกู้เจียวกะว่าจะไปหามู่ชิงเฉินที่ศาลาเซียนหลวนอยู่พอดี
“บัณฑิตทุกคนโปรดทราบ วันนี้อาจารย์เจียงติดภารกิจที่ศาลาเซียนหลวน! ดังนั้นช่วงเช้าจะเป็นวิชาของอาจารย์อู่แทน!”
บัณฑิตห้องหมิงซินต่างพากันร้องดีใจ
กู้เจียวมองว่าวิชาของอาจารย์อู่นั้นคล้ายกับวิชาพละศึกษาในชาติก่อน ทุกคนชอบเรียนวิชาของอาจารย์อู่
อาจารย์อู่เป็นอาจารย์ที่มีน้ำใจและใจดี แม้ว่าแขนของเขาจะหัก ก็ยังรับช่วงต่อแทนอาจารย์เจียงได้
“ท่านอาจารยอู่ พวกเราขอลาเรียนได้ไหมขอรับ” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเราท้องเสียขอรับ”
อาจารย์อู่โบกมือปัด “อืม ไปสิ”
ไม่นานนัก บัณฑิตอีกหลายคนก็เข้ามาหาเขา “อาจารย์อู่ขอรับ พวกเราก็ท้องเสียเหมือนกัน”
เขาพยักหน้า “อืม ข้าอนุญาต”
เขารู้ดีว่าเด็กๆ ไม่ได้ท้องเสียอะไรหรอก คงอยากไปดูแข่งหมากรุกมากกว่า
จงติ่งดึงแขนเสื้อกู้เจียว “สหายเซียว พวกเขาไปแล้ว พวกเราจะไปกันไหม”
“จะโดนลงบันทึกไหมนั่น” กู้เจียวถาม
“ไม่น่านะ ในเมื่ออาจารย์อนุญาตให้ออกแล้ว!” จงติ่งรีบตอบ
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นก็ได้”
จงติ่งและกู้เจียวจึงเดินไปหาอาจารย์อู่ จงติ่งยังไม่ทันเอ่ย อาจารย์อู่ก็โพล่งขึ้นทันที “พวกเจ้าก็ท้องเสียเหมือนรึ เข้าใจละ รีบไปเถอะ!”
จงติงหัวเราะเบาๆ ก่อนมุ่งหน้าไปที่ศาลาเซียนหลวนโดยเข้าทางประตูด้านหลังของสำนัก
ศาลาเซียนหลวนอยู่ไม่ไกล ออกจากประตูหลังแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปทางทิศตะวันออกประมาณหนึ่งลี้ข้ามถนนผ่านตรอกจะพบป้ายศาลา
มีเพียงคนภายในสำนักบัณฑิตเท่านั้นที่รู้เรื่องการแข่งหมากรุกครั้งนี้ คนที่มาดูการแข่งจึงล้วนมีแต่เหล่าบัณฑิตและอาจารย์ทั้งหลายของเทียนฉง อาจารย์ส่วนใหญ่นั่งชมจากชั้นบน ส่วนบัณฑิตยืนมุงกันอยู่ชั้นล่าง
ทันใดนั้น เสียงตะโกนที่ฟังดูเย่อหยิ่งก็ดังขึ้น “ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเรอะถึงได้เดินชนข้าเนี่ย!”
“ขะ ขะ ขะ ขอโทษด้วย!”
“ขะขะขะกับผีสิ! พูดจาให้มันดีๆ หน่อย!”
“ขะ ขะ ข้า…”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้านี่มันพูดติดอ่างจริงด้วย!”
จงติ่งหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปบอกกู้เจียว “นั่นโจวถงนี่นา! ส่วนเด็กพวกนั้นคือบัณฑิตจากสำนักอู่เย่ว์!”
กู้เจียวจำได้ว่าโจวถงคือคนที่นั่งข้างหน้าแล้วให้นางลอกการบ้าน
และโจวถงก็กำลังถูกพวกบัณฑิตของอู่เย่ว์รุมรังแก
เขาไม่ใช่คนพูดติดอ่าง เพียงแต่เขามักจะเป็นแบบนี้เวลาตื่นเต้นมากๆ
“สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ บัณฑิตแต่ละคนของที่นั่นล้วนหยิ่งผยองและเอาแต่ใจ แทบไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขา!”
หนึ่งในกลุ่มอันธพาลอู่เย่ว์เดินเข้าไปจิกหัวของโจวถง จากนั้นชี้ลงไปที่เท้า “เลียตีนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ!”
สหายของโจวถงเอ่ยขึ้น