สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 633 พบกันอีกครั้ง
บทที่ 633 พบกันอีกครั้ง
ผู้อาวุโสเมิ่งมองดูเด็กน้อยชุดดำคนนี้ ดูแล้วอายุน่าจะยังไม่ถึงห้าขวบ ดวงตาของเขามีสีดำขลับ กลมโตและสว่างไสว เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและความงดงาม
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่มีความเห็นอกเห็นใจล้นเหลือ แต่ก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นที่เพิกเฉยต่อเด็กตัวเล็กๆ อย่างแน่นอน
ตามปกติแล้ว สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือเรียกให้ทางการมาช่วย
ผู้อาวุโสเมิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถามเจ้าตัวเล็ก “ออกมาข้างนอกคนเดียวรึ แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ”
เจ้าตัวน้อยกลอกตาไปรอบๆ เขาจะพูดชื่อพี่เขยตัวแสบไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านปู่นี่ส่งเขากลับไปหาพี่เขยตัวแสบ
“ข้า ข้ากำลังตามหาครอบครัวของข้า” เขากอดห่อของไว้แน่นเอ่ยอย่างจริงจัง
“ครอบครัวของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยถาม
“อยู่ที่สำนักบัณฑิตไง!” เด็กน้อยชุดดำตอบ
เขารู้ว่าเจียวเจียวอยู่ที่สำนักบัณฑิตแทนพี่เขยตัวแสบ แถมยังคิดไปเองว่าเขาไม่รู้จักชื่อของสถาบันการศึกษานั้น ฮึ ลืมไปแล้วหรือไงว่าหนังสือตอบรับเข้าเรียนเป็นของใคร!
แล้วก็บังเอิญที่วันนี้ผู้อาวุโสเมิ่งไปที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงมา
ผู้อาวุโสเมิ่งโพล่งเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยถามเจ้าตัวเล็ก “สำนักบัณฑิตเทียนฉงอย่างนั้นรึ ที่นั่นตั้งอยู่ที่เมืองรอบนอก ในเมื่อครอบครัวของเจ้าอยู่เมืองรอบนอก แล้วเจ้าเข้ามาในเมืองชั้นในได้อย่างไร”
เจ้าตัวน้อยกลอกตาอีกครั้ง “มีคนไม่ดีลักพาตัวข้ามาที่นี่!”
คนไม่ดีที่ว่าก็คือพี่เขยตัวแสบ!
ก็ว่าทำไมเด็กตัวเล็กๆ ถึงได้ออกมาอยู่ข้างนอกในเวลาแบบนี้ สงสัยคงแอบหนีออกมาแน่ๆ
“ขึ้นรถก่อนสิ” ท่านผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยปากชวน
เด็กน้อยวิ่งไปพร้อมกับห่อของเล็กๆ ในอ้อมแขน เขาโยนของขึ้นมาก่อน แล้วปีนขึ้นไปด้วยขาอันสั้นของเขา
ผู้อาวุโสใงรู้สึกขบขันกับท่าทางไร้เดียงสาของเขา “เจ้ามีนามว่าอะไร”
เด็กน้อยตบฝุ่นบนตัว หยิบห่อของที่อยู่บนกระไดรถพร้อมกับตอบกลับไป “ข้ามีนามว่าจิ้งคง!”
“จิ้งคงรึ เป็นชื่อที่พิเศษยิ่งนัก” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ย
ฟังดูเหมือนฉายาของพระสงฆ์อย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวจิ้งคงปีนขึ้นไปบนม้านั่งข้างๆ ผู้อาวุโสเมิ่งอย่างเชื่อฟัง
พอเห็นว่าเจ้าตัวเล็กมีท่าทีที่ดูไม่หวาดระแวง ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ไม่กลัวหรือว่าข้าอาจเป็นคนไม่ดี”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายศีรษะอย่างไม่ลังเล พร้อมกับตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านออกจะมีใบหน้าและสายตาที่ใจดีราวกับเทพเซียน แถมยังดูเป็นคนมีจิตวิญญาณที่สง่างามและเที่ยงธรรม จะเป็นคนไม่ดีไปได้อย่างไร”
ขั้นสุดของการเยินยอคือการเยินยอในสิ่งที่คนเราขาดยังไงล่ะ!
พูดตามตรง ผู้อาวุโสเมิ่งก็เป็นแค่ชายชราตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ อีกทั้งดูแล้วก็ไม่น่าใช่คนใจดีอะไรด้วย
แต่รถม้าของเขาดูแพงมากตั้งแต่แรกเห็น ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพคงไม่สามารถนั่งรถม้าราคาแพงขนาดนี้ได้!
เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเล็กทำให้ผู้อาวุโสโพล่งหัวเราะ ว่ากันว่าคนเราพออายุมากก็ยิ่งแก่ประสบการณ์และมองโลกได้กว้างขึ้น แต่สำหรับคนแก่บางคน ต่อให้อายุเยอะมากแค่ไหน นิสัยเก่าก็ยังแก่ไม่หาย นั่นก็คือ อาการหลงตัวเอง
“เจ้าเด็กคนนี้ตาถึงจริงๆ ”
เขานี่แหละคือผู้มีจิตวิญญาณที่สง่างามและเที่ยงธรรม!
สารถีถึงกับทนดูไม่ได้ พลางคิด โถ เจ้าเด็กคนนี้ ใส่ชุดสีดำไม่พอยังใจดำอีก จะชมใครก็ช่วยแหกตาดูความเป็นจริงบ้าง ใต้เท้าเองก็เหมือนกัน ช่วยดูสารรูปตัวเองบ้างเถิด
“ไหนเจ้าบอกว่าครอบครัวของเจ้าอยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงใช่ไหม เขาเป็นบัณฑิตหรือว่าเป็น…” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยถาม
“เขาเป็นบัณฑิตขอรับ!” เสี่ยวจิ้งคงตอบ
“มี…มีบัณฑิตที่ชื่อเจียวเจียวด้วยรึ” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยทำหน้าสงสัย
นี่มันชื่อของเด็กผู้หญิงชัดๆ เทียนฉยงเป็นสำนักบัณฑิตชายล้วนมิใช่รึ!
“เอ่อ คือ” เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกผิดที่ตัวเองพลั้งปาก จึงรีบหาข้ออ้างกลบเกลื่อน “เขามีนามว่าลิ่วหลัง ส่วนเจียวเจียวเป็นชื่อเล่นของเขาขอรับ!”
ผู้อาวุโสเมิ่งกระตุกมุมปากดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ต้องเป็นผู้ชายแบบไหนกันที่ใช้ชื่อเล่นประหลาดๆ แบบนี้
ตอนแรกเขาจะพาเจ้าตัวเล็กไปส่งให้ทางการ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว สำนักบัณฑิตเทียนฉงนั้นตั้งอยู่นอกเมือง ซึ่งคงอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของทางการฝั่งในเมืองอยู่ดี
“ไปที่นอกเมือง ตรงถนนซานฮวา” ผู้อาวุโสเมิ่งเปิดม่านออกแล้วสั่งกับสารถี
สำนักบัณฑิตเทียนฉยงตั้งอยู่บนถนนซานฮวา
“ใต้เท้า เวลานี้ เกรงว่าประตูเมืองคงจะ…ถูกปิดแล้วขอรับ” สารถีเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอก ใช้ตราของท่านราชครูผ่านทางได้” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ย
อำนาจของตำหนักราชครูนั้นกว้างใหญ่ไพศาล สามารถเข้าออกประตูเมืองได้อย่างราบรื่น และด้วยความที่ผู้อาวุโสเมิ่งเป็นแขกคนสำคัญของราชครู ย่อมได้สิทธิ์ในการเข้าออกประตูเมืองในกรณีฉุกเฉิน
สารถีขับรถม้ามุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองชั้นในด้านทิศใต้ จากนั้นแสดงตราของราชครู และออกจากเมืองไปอย่างราบรื่น
รถม้าเคลื่อนตัวไปยังถนนซานฮวา
เสี่ยวจิ้งคงยังเด็กและชินกับการเข้านอนเร็ว ไม่นานเขาก็เริ่มสัปหงกจากนั้นก็เอนหัวลงบนแขนของผู้อาวุโสเมิ่ง
เขาเคาะประตูเบาๆ แล้วเอ่ยกับสารถี “ขับช้าๆ เจ้าหนูนี่หลับอยู่”
“ขอรับ” สารถีน้อมรับคำสั่ง หลังวิ่งรถไปสักพัก ก็หันไปเอ่ยกับคนในรถ “ใต้เท้า ใกล้ถึงแล้วขอรับ ไปตรงไหนของถนนหรือขอรับ”
“ไปที่ทางการ” ผู้อาวุโสเมิ่งตอบ
เด็กคนนี้ถูกคนร้ายลักพาตัวไป ครอบครัวของเขาคงเป็นกังวลมาก บางทีพวกเขาอาจไปแจ้งความก่อนแล้วก็เป็นได้ คงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่จะส่งเขาไปให้ทางการดูแล
อีกอย่าง เด็กคนนี้ดูฉลาดและเจ้าเล่ห์ไม่เบาจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาเล่าความจริงไม่หมด
ให้ทางการช่วยน่าจะดีที่สุด
แม้จะวางแผนมาอย่างดี แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็มาถึง เมืองเซิ่งตูซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างดีมาโดยตลอด วันนี้กลับมีกลุ่มโจรบุกเข้ามา รถม้าหรูหราของเขาจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของโจรในทันที
พวกโจรมีกันสิบคน ทุกคนล้วนสวมหน้ากาก ถือมีด และเต็มไปด้วยเจตนาร้าย
“กลับรถ! กลับเข้าในเมือง!” ผู้อาวุโสเมิ่งตะโกนสั่ง
จากนั้น กลุ่มโจรที่ซุ่มโจมตีอยู่ด้านหลังก็กระโดดออกมาอีกห้าคนและขัดขวางการล่าถอยของพวกเขา
“ถ้าไม่หยุดรถ จะยิงธนูแล้วนะ!”
หัวหน้ากลุ่มโจรขู่
ผู้อาวุโสเมิ่งมองลอดผ้าม่านดูและพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นกลุ่มโจรปล้นฆ่า หากพวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน เกรงว่าไม่เพียงแต่ถูกปล้นเงินเท่านั้น แต่ยังถูกพวกมันฆ่าปิดปาก
“อย่าหยุดรถเป็นอันขาด!” ผู้อาวุโสเมิ่งตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ท่ามกลางพวกกลุ่มโจร มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถือคันธนูในมือ ตอนนี้ผู้อาวุโสเมิ่งได้เลี้ยวรถแล้ว รถม้าของพวกเขาน่าจะยังพอกันแรงจากลูกธนูได้บ้าง
รถม้าของเขาเป็นรถม้าชั้นดี ขอแค่วิ่งต่อไม่หยุด ก็น่าจะหนีพวกมันได้ทัน
“เร่งไป!” สารถีกัดฟันแน่น
รถม้าเริ่มวิ่งอย่างรวดเร็ว
“ลูกพี่! พวกมันหนีไปแล้ว!” หนึ่งในลูกสมุนโจรเอ่ยขึ้น
“หึ” หัวหน้าโจรคว้าลูกธนูจากมือของลูกน้องที่อยู่ข้างๆ เล็งไปที่รถม้า แล้วยิงออกไป!
จุดที่เขาเล็งไม่ใช่ตัวรถ แต่เป็นล้อรถ
พอสิ้นเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้นราวสองครั้ง ทันใดนั้นล้อขวาของรถก็เกิดหักจนทำให้รถม้าพลิกคว่ำในทันที
ผู้อาวุโสรีบปกป้องเด็กไว้ในอ้อมแขนของเขา
รถม้าพลิกคว่ำ จนพวกเขาทั้งสามก็ตกลงมาจากรถม้า
ผู้อาวุโสรีบตะโกนสั่ง “เร็วเข้า! รีบไปรายงานทางการเดี๋ยวนี้!”
“แต่ ท่านใต้เท้า!”
“รีบไปสิ!”
“ขอรับ!”
สารถีจูงม้าและรีบหนีเข้าไปในพงป่าด้านข้าง
หัวหน้าโจรส่งลูกน้องวิ่งตามไปในป่า ในขณะที่คนอื่นๆ ขี่ม้าไปข้างหน้าและยืนล้อมผู้อาวุโสเมิ่ง
ผู้อาวุโสเมิ่งล้มอย่างไม่เป็นท่า แต่กระนั้น แววตาของเขากลับไร้ซึ่งความรู้สึกเขินอาย กลับกัน แววตาของเขาออกจะเย็นชาด้วยซ้ำ “พวกเจ้าอยากได้เงินนักใช่ไหม เอาไปสิ”
“พูดง่ายดีนี่” หัวหน้าโจรเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางดาบบนหัวไหล่ “โชคดีของเจ้า วันนี้ข้าไม่อยากฆ่าใคร ส่งเงินมาเดี๋ยวนี้”
ผู้อาวุโสเมิ่งโยนถุงเงินลงบนพื้น
พอหัวหน้าโจรเปิดถุงออก ก็ออกอาการเหยียดทันที “มีแค่นี้เองเรอะ!”
“ลูกพี่” หนึ่งในโจรลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วไปที่จิ้งคง “มีเด็กด้วย”
หัวหน้าโจรรีบหันไปที่จิ้งคง
ผู้อาวุโสเมิ่งรีบยื่นมือบังเจ้าตัวเล็ก
“เป็นเด็กผู้ชายเสียด้วย นี่พวกเจ้า จำเจ้าคนนั้นได้ไหม เห็นเขาบอกอยากมีลูกไม่ใช่หรือ เอาเจ้าเด็กนี่ไปขายให้เขาท่าจะดี!” โจรคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เนื้อตัวเปรอะเปื้อนขนาดนี้จะขายออกรึ” พวกโจรขมวดคิ้วเอ่ย
“เอาไปขัดสีฉวีววรณเดี๋ยวก็สะอาดแล้ว!” โจรอีกคนเอ่ยขึ้น
“ก็ได้ มีย่อมดีกว่าไม่มี” หัวหน้าโจรถือดาบชี้ไปที่ผู้อาวุโสเมิ่ง “ลากมันมา”
เขารีบโอบตัวจิ้งคงไว้แน่นกว่าเดิม “พวกเจ้าอยากได้เงินไม่ใช่รึ ที่เรือนข้ามีเงินเยอะแยะ ตามข้ามาสิเดี๋ยวข้าไปเอาให้!”
หัวหน้าโจรหัวเราะเยาะ “ข้าดูเหมือนคนที่โดนหลอกง่ายๆ รึ ให้พวกข้าตามเจ้าไปหาทางการละสิ เจ้า” จากนั้นหันไปสั่งลูกน้อง “เอาตัวเด็กคนนั้นมา!”
“ขอรับ!”
ลูกน้องโจรรีบลงจากม้าแล้วดึงร่างของเสี่ยวจิ้งคงออกจากอ้อมแขนของผู้อาวุโส
แต่ผู้อาวุโสเมิ่งกลับใช้แขนกำบัง
“ระวังด้วย ประเดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นเกิดแขนหักขึ้นมา ขายไม่ออกกันพอดี!” หัวหน้าโจรตะโกน
“ขอรับลูกพี่!” จากนั้นลูกน้องโจรก็คว้ามีดยาวออกมาจากเอวของเขาแล้วเล็งที่มือของผู้อาวุโส
ในเมื่อทำอะไรเด็กไม่ได้ งั้นขอทำกับคนแก่แล้วกัน!
ยังไงก็เอาคนแก่ไปขายไม่ได้อยู่แล้ว!
ทันใดนั้น เสียงร้องของนกอินทรีดังลอยมาจากท้องฟ้า กว่าที่ทุกคนจะรู้ว่ามันมาจากไหนก็เจอเข้ากับเงาดำที่โฉบลงมาจากท้องฟ้าหวือเข้าหาโจรลูกน้องคนนั้นที่กำลังจะทำร้ายผู้อาวุโสเมิ่ง
วินาทีถัดมา ดาบของเขาร่วงหล่นลงพื้น จากนั้นเอามือกุมที่ดวงตา “โอ๊ย ตาข้า…”
เจ้านกตัวนี้จิกตาข้างหนึ่งของเขา
พอหัวหน้าโจรเห็นดังนั้นดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ เขาชักธนูแล้วเล็งไปที่มัน
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวจิ้งคงตื่นขึ้นพอดี และเห็นว่ามีคนกำลังจะทำร้ายเสี่ยวจิ่ว
เสี่ยวจิ้งคงกระเด้งตัวขึ้นพร้อมตะโกนร้อง “อย่ายิงเขานะ! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
แต่ใครจะฟังเสียงของเด็กกันล่ะ
หัวหน้าโจรดึงสายธนูออกอย่างเต็มกำลัง
เสี่ยวจิ้งคงจึงหยิบก้อนดินประสิวที่เขาขโมยมาจากพี่เขยตัวแสบขึ้นมา แล้วโยนมันออกไป!
มีเสียงปังดังขึ้น และตามมาด้วยกลิ่นกำมะถันรุนแรง
“เอ๋” เสี่ยวจิ้งคงมองดูหัวหน้าโจรที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
“เจ้า…ยนผิดข้างแล้ว!” ผู้อาวุโสเมิ่งที่ถูกแรงระเบิดจนตัวดำเมี่ยมโพล่งขึ้นพร้อมกับไอสำลักควัน
“ไอ้หยา ขออภัยด้วย!” เสี่ยวจิ้งคงเอามือกุมหัวตัวเองอย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็ขว้างลูกดินประสิวต่อ
คราวนี้กลายเป็นเสี่ยวจิ่วที่โดนระเบิดแทน
“กะต๊ากกก!” ขนของเสี่ยวจิ่วเจ็มไปด้วยรอยไหม้
จากนั้นเขาหยิบลูกที่สามขึ้นมา คราวนี้เขาเผลอระเบิดตัวเขาเอง
เสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ในสภาพมอมแมมหนักเสียยิ่งกว่าเดิม “…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
พวกโจรหัวเราะกันอย่างหนัก ไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนโง่เขลาขนาดนี้มาก่อน
ทันใดนั้น เกิดเสียงโครมครามดังขึ้น กลายเป็นว่ามีหนึ่งในโจรตกจากหลังม้าและล้มลงกับพื้น
ตุ้บ!
ตามมาด้วยโจรอีกคน
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!
ในที่สุดพวกโจรก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
โจรคนหนึ่งเอาแขนปิดจมูก “แย่ละ! ในควันมียาพิษ!”
ลูกดินประสิวที่กู้เจียวทำขึ้นถูกผสมกับยาที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้หมดสติได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าใครที่ได้กลิ่นก็ต้องสลบ
เซียวเหิงมียาถอนพิษ
แต่เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่ามียาถอนพิษด้วย เขาขโมยมาแค่ลูกดินประสิวนี้เท่านั้น
พวกโจรต่างพากันร่วงหล่นลงพื้น ผู้อาวุโสเมิ่งเองก็สลบไปเช่นกัน
ยานี้ได้ผลแค่กับคนเท่านั้น ดังนั้นเสี่ยวจิ่วจึงไม่เป็นอะไร
ส่วนเสี่ยวจิ้งคง…ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเช่นกัน
เสี่ยวจิ้งคงเกาหัวเล็กๆ ของเขา “ทำไมทุกคนถึงล้มลงไปแบบนี้ล่ะ” จากนั้นเขากระโดดเข้าไปหาผู้อาวุโสเมิ่ง นั่งยองๆ เอ่ย “ใต้เท้า ใต้เท้า!”
แม้แต่พวกโจรก็ยังทนยาไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนอายุเยอะอย่างผู้อาวุโสเมิ่ง
“ช่างเถอะ ข้าออกตามหาเจียวเจียวเองก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ
ทว่าใต้เท้าคนนี้เป็นคนดี เสี่ยวจิ้งคงไม่อาจทิ้งเขาไว้ข้างหลังเจียวเจียวเป็นหมอฝีมือดี ต้องพาเขาไปหาเจียวเจียวด้วยกัน
เขาคว้าคอเสื้อของผู้อาวุโสเมิ่งแล้วลากไปข้างหน้าราวกับกำลังลากกระสอบ
“ไปกันเถอะเสี่ยวจิ่ว”
ถ้ากู้เจียวมาเห็นคงจะประหลาดใจมากที่เสี่ยวจิ้งคงแข็งแรงกว่าเดิม จนสามารถลากร่างของผู้อาวุโสเมิ่งได้อย่างง่ายดาย
เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักบัณฑิตเทียนฉง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
เขาเดินผ่านถนนอันยาวไกลอันเงียบสงบและผ่านตรอกมืดๆ แสงสว่างในใจของเขานำทางเขาให้เดินไปข้างหน้าทีละขั้นและเด็ดเดี่ยว
หลังจากที่เดินอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลานาน เขาก็รู้สึกเหนื่อย หิว และง่วงนอน
เขาคว้าร่างชายชราแล้วหาวหวอดๆ “เจียวเจียวอยู่ไหน”
ฮือ เขาใกล้จะเดินไม่ไหวแล้วนะ
ขาของเขาเริ่มไม่ใช่ขาของเขาแล้ว
มือของเขาก็เริ่มปวด
เขาคิดถึงเจียวเจียว
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง
“จิ้งคงรึ”