สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 637 สามีภรรยาพบพาน
บทที่ 637 สามีภรรยาพบพาน
หลังจากที่กู้เจียวหนีออกมาจากรถม้าก็กลับไปตามเส้นทางเดิมตามที่ซูเสวี่ยเคยอธิบาย จนในที่สุด กู้เจียวก็เดินทางมาถึงสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
แม้สำนักบัณฑิตสตรีจะตั้งอยู่ในเมือง แต่กลับมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล อย่างน้อยก็ใหญ่กว่าที่กู้เจียวจินตนาการไว้ และนั่นยิ่งยากต่อการตามหาคน
“ศาลาหลิงหลงอยู่ที่ไหนกันนะ” กู้เจียวมองไปรอบๆ “เรียกใครสักคนมาถามก็ไม่ได้ด้วยสิ”
สำนักบัณฑิตสตรีไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า ซ้ำร้ายกู้เจียวอยู่ในสภาพบัณฑิตชายอาจยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย
โชคดีที่ยังอยู่ในช่วงหัววัน ยังพอมีเวลาให้เดินสำรวจรอบๆ ได้
ระหว่างนั้น กู้เจียวมักจะได้ยินผู้คนพูดถึงหญิงสาวคนนั้นตลอดทาง ไม่คิดเลยว่านางจะมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนถึงเพียงนี้!
จากปากคำที่ได้ยิน สรุปได้ว่าหญิงสาวคนนั้นเพิ่งมาถึงเมืองนี้ได้ไม่นานเช่นกัน
เมื่อเทียบกับกู้เจียวที่ดังข้ามคืนเพราะความสามารถและความแข็งแกร่ง หญิงสาวคนนี้กลับดังขึ้นเพราะความงามจนสร้างศัตรูมากหน้าและล้วนเป็นเด็กสาวที่มาจากตระกูลร่ำรวยทั้งสิ้น
“แม่นั่นแทบไม่เคยเอ่ยปากชวนพวกเรากินข้าวเลยสักครั้ง แถมเวลาหารค่าข้าว นางชอบคำนวณจนถี่ยิบเก็บครบทุกตำลึง ข้าละไม่เคยเจอใครงกเท่านางมาก่อน!”
“คราวก่อนขอให้ช่วยก็ไม่ยอมมา ขอยืมของก็ไม่ให้ยืม ใจดำจริงๆ !”
“มิหนำซ้ำยังไม่ให้ใครเข้าไปในห้องพักของนางด้วย ไม่ให้แตะต้องของของนางอีก! เอาแต่ใจตัวเองมาก!”
“นางไม่เอาใครเลย แล้วก็ชอบทำหน้าเชิดใส่ด้วย ไม่รู้ทำไปทำไม!”
“ก็ไม่ใช่ว่าทำหน้าเชิดเพื่อให้ผู้ชายหลงหรอกรึ วันๆ เอาแต่หลอกหล่อผู้ชาย! ยัยจิ้งจอกเอ้ย!”
“แต่ว่า…คราวนี้ท่านอาจารย์เอ่ยปากชมการบ้านของนางอีกแล้วนะ”
“จริงด้วย แถมเมื่อวานนี้ นางสอบได้ที่หนึ่งอีกแล้ว! เห็นนางทำหน้าได้ใจแบบนั้น ข้าละอยากจะเดินเข้าไปตะบันหน้านางให้รู้แล้วรู้รอด!”
“แต่แม่นั่นไม่ได้มีชื่อเสียงหรือมาจากตระกูลสูงส่งอะไรเลยนะ สงสัยคงต้องรีบทำคะแนนในตอนนี้ เพื่อที่อนาคตจะได้แต่งกับตระกูลดีๆ สินะ”
สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันมีเกณฑ์รับสมัครที่สูงมาก ส่วนใหญ่เป็นลูกสาวจากตระกูลขุนนางหรือสตรีมากความสามารถ ที่พวกนางแต่งงานด้วยเป็นผู้ชายที่มีฐานะดีของแคว้นเยี่ยน
ดังนั้น สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สำนักบัณฑิตเจ้าสาวของแคว้นทั้งหก
ที่นี่จึงเป็นที่หมายปองต้องตาของเหล่าชายหนุ่ม
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด กู้เจียวอดนับถือใจของหญิงสาวคนนั้นไม่ได้จริงๆ โดนคนทั้งสำนักรังเกียจขนาดนี้แต่ยังลอยหน้าลอยตาได้อยู่ ทำไปได้อย่างไร
“พวกเจ้าดูสิ มีคนเอาของมาส่งที่ศาลาหลิงหลงอีกแล้ว ต้องเป็นของนางแน่ๆ !”
บัณฑิตหญิงคนนี้ชี้นิ้วอย่างฉุนเฉียวไปทางเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงทิศตะวันออกเฉียงใต้
กู้เจียวมองตามและร้องอ๋อ นี่หรือศาลาหลิงหลง
กลุ่มเด็กสาวพอนินทาเสร็จก็แยกย้ายออกไป
พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องแสงสีเหลืองอันอบอุ่นตกกระทบชายคาของศาลาหลิงหลง
พอทางสะดวก กู้เจียวก็กระโดดข้ามรั้วแล้วเข้าไปในพื้นที่ศาลา
ศาลาหลิงหลงมีหอพักมากกว่าหนึ่งแห่ง กู้เจียวจึงเดินตามคนส่งของไปที่ห้องสุดทางเดิน
จากนั้นกู้เจียวจึงแอบเข้าไปข้างในหลังจากที่พวกเขาเดินออกไป
หอพักของบัณฑิตหญิงตกแต่งอย่างประณีตและเป็นระเบียบมากกว่าหอพักบัณฑิตชาย ทุกห้องจะมีที่กั้นที่ทำจากไม้สักทองเพื่อแบ่งพื้นที่ใช้สอย ฝั่งหนึ่งเป็นเตียงที่มีมุ้งกางอยู่ และดูเหมือนว่ามีเงาคนอยู่บนเตียง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งไม่มีสิ่งของอะไรเลย ซึ่งตรงกับที่ซูเสวี่ยพูดไว้ว่าไม่เคยนอกที่หอพักเลย
ดีละ คนบนเตียงนั้นต้องใช่นางแน่ๆ
กู้เจียวหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม คว้าแส้ขึ้นมาแล้วสะบัดลงบนพื้นทันที!
กู้เจียวเอ่ยอย่างเย็นชา “จะออกมาเอง หรือจะให้ข้าใช้กำลัง”
“ไม่ยอมออกมาใช่ไหม”
“ดีละ”
พูดจบกู้เจียวก็ฟาดแส้ลงไปบนเตียงทันที กลับพบว่านั่นไม่ใช่คน แต่เป็นร่างที่ทำไว้หลอกคนต่างหาก!
กู้เจียวขมวดคิ้วพร้อมกับพึมพำ “หรือนางจะรู้ว่ามีคนมาหากันนะ”
สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันรู้อยู่แล้วว่ากู้เจียวจะต้องมาหาเขา
และสาวงามที่ว่านั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เขาคือเซียวเหิง
ต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปในคืนก่อนหน้า หลังจากที่เสี่ยวจิ่วและจิ้งคงได้เจอกับกู้เจียว เสี่ยวจิ่วก็แอบขโมยยางรัดผมของกู้เจียวแล้วบินมาส่งให้เซียวเหิง ถึงได้รู้ว่าพวกเขาเจอกันแล้ว
เซียวเหิงรู้ทันเจ้าตัวเล็กว่าคงไม่เล่าเรื่องของเขาแน่ๆ และเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กเกิดพลัดหลงระหว่างทาง เขาจึงแอบใส่ที่อยู่ของศาลาหลิงหลงไว้ในเสื้อของเสี่ยวจิ้งคง เพื่อให้กู้เจียวตามหาเขา
ดูจากท่าทีอันเดือดดาลของนางในตอนนี้ เกรงว่าเจ้าตัวเล็กคงพูดจาเสียๆ หายๆ ถึงเขาไม่น้อยเลยทีเดียว!
น่าปวดหัวชะมัด
นอกจากนี้ ที่เขาเลือกหลบหน้ากู้เจียว ไม่ใช่เพราะกลัวจะถูกไต่สวน แต่เพราะเขาไม่อยากให้นางรู้ว่าเขาเป็นสาวงามหน้าใหม่ของสำนักบัณฑิต มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอายเกินจะรับไหว!
โชคดีที่เขาเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว!
ขณะที่กู้เจียวกำลังค้นทั่วห้อง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตรงทางเดิน
กู้เจียวรีบเข้าไปหลบหลังฉากกั้น และแล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวตัดชมพูเดินเข้ามาข้างใน
หญิงสาวปิดประตูห้อง ลงกลอน จากนั้นมุ่งหน้าไปยังเตียงที่เพิ่งถูกกู้เจียวฟาดแส้ไปหมาดๆ
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงยิ้มกริ่มหนึ่งที ก่อนจะเผยตัวให้อีกฝ่ายได้เห็น “เจ้าอาศัยอยู่ห้องนี้รึ”
หญิงสาวพอได้ยินก็พลันสะดุ้งโหยงและหันมาทางกู้เจียวด้วยสายตาหวาดกลัว
กู้เจียวชำเลืองใบหน้าหญิงสาว พลางคิด นางเป็นคนสวยก็จริง แม้จะรู้สึกว่าที่คนอื่นพูดถึงนางนั้นดูจะเกินจริงไปหน่อย แต่พอคิดดูอีกที ระหว่างทางที่มาก็ไม่เห็นใครสวยไปกว่านางเลย
หญิงสาวใช้ภาษามือกับกู้เจียว ราวกับกำลังถามว่ากู้เจียวเป็นใคร
เมื่อเห็นว่ากู้เจียวไม่ตอบ หญิงสาวจึงมองกู้เจียวด้วยสายตาวิงวอนและชี้ไปที่โต๊ะที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งบนนั้นมีพู่กัน ขวดน้ำหมึก และกระดาษ
กู้เจียวจึงเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง
หญิงสาวเดินมาที่โต๊ะ กู้เจียวเพิ่งสังเกตได้ว่ามือข้างขวาของนางพันผ้าพันแผลไว้อยู่
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย กางกระดาษออก ยกพู่กันด้วยมือซ้าย แล้วเขียนด้วยความพยายามอย่างยิ่ง ‘ข้าเป็นนักเรียนในหอพักนี้ เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงมาที่ห้องของข้า’
กู้เจียวจำคำพูดของซูเสวี่ยได้ที่บอกว่าหญิงสาวเป็นใบ้ จึงต้องใช้วิธีเขียนในการโต้ตอบแทน
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดด้วยรึ” กู้เจียวถาม
หญิงสาวพยักหน้า แล้วเขียนตอบ ‘ข้าไม่ได้หูหนวก’
กู้เจียวสังเกตลายมือบนกระดาษ ซึ่งต่างจากลายมือบนกระดาษที่เจอในเสื้อของจิ้งคง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าคนเราลายมือที่เขียนโดยมือซ้ายและมือขวานั้นมักแตกต่างกัน
แล้วกู้เจียวก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา พร้อมกับถามหญิงสาว “เจ้าเขียนไว้รึ”
หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาดูสักพักก่อนจะเบิกตากว้าง จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตอบ ‘ท่านชายเจอจิ้งคงแล้วหรือ’
พอเห็นท่าทีที่ดูตื่นเต้นของหญิงสาว ก็ยิ่งรู้สึกว่านางไม่น่าใช่พวกค้ามนุษย์ “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าชื่อของเขาคือจิ้งคง”
หญิงสาวรีบเขียนตอบ ‘เขาเป็นคนบอกชื่อของเขากับข้าเอง ข้าบังเอิญเจอเขาที่ท่าเรือพอดี ตอนนั้นเขาอยู่ตัวคนเดียวดูน่าสงสาร ข้าก็เลยพาเขากลับมา’
“ท่าเรือไหนรึ” กู้เจียวถาม
‘ท่าเรือเมืองทงเฉิง’ หญิงสาวเขียนตอบ
มีท่าเรือนี้อยู่จริงๆ แต่เป็นท่าเรือที่อยู่นอกเส้นทางเมืองเซิ่งตู เหตุใดจิ้งคงถึงไปโผล่ที่นั่นได้ล่ะ
แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนพาเขามาที่นี่
‘ข้าพยายามถามเขาว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เขาไม่ยอมตอบ’ หญิงสาวเขียนต่อ ‘เขาแค่บอกว่าต้องการไปที่เมืองเซิ่งตูเพื่อตามหาเจียวเจียว ข้าถามเขาว่าเจียวเจียวเป็นใคร แต่เขาก็ไม่พูด’
หรือว่าจิ้งคงถูกใครบางคนลักพาตัวมาที่แคว้นเยี่ยนจริงๆ จากนั้นแอบหนีออกมา แล้วมาพบเข้ากับแม่หญิงใจดียื่นมือช่วยเหลืออย่างนั้นรึ
กู้เจียวเข้าใจนางผิดไปจริงๆ นางมิได้ทารุณอะไรจิ้งคงด้วยซ้ำ
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมจิ้งคงถึงหนีออกมา คงเป็นเพราะเขาอยากมาหาจริงๆ
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
ส่วนสาเหตุที่จิ้งคงไม่ยอมให้หญิงสาวพามาส่ง คงเป็นเพราะกู้เจียวถือเอกสารการรับเข้าเรียนของเซียวหลิวหลัง ซึ่งเป็นความลับขั้นสุดยอด
ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
กู้เจียวมองนางแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าเข้าใจเจ้าผิดไป”
หญิงสาวหัวเราะ และเขียนต่อ ‘คิดว่าข้ารังแกเขาใช่ไหมล่ะ ถึงได้ตามหาข้าใช่หรือไม่ ในเมื่อเป็นห่วงเขาขนาดนี้ พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกันหรือ’
กู้เจียวไม่ตอบคำถามของนาง แต่เอ่ยออกไป “ขออภัยที่เข้าใจเจ้าผิดและล่วงเกินเจ้า ขอบคุณเจ้ามากที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนแม่นางอย่างดี เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยล่ะแม่นาง”
ตัดภาพไปที่ห้องเก็บของ เซียวเหิงที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นคอยเงี่ยหูฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พอได้ยินกู้เจียวเอ่ยลาและเดินออกไป เขาถึงกับถอนหายใจโล่งยาว
เซียวเหิงเป็นคนวางแผนทุกอย่าง ทั้งหาคน เขียนบท และซ้อมบทจนคล่อง เขายังคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างลายมือของเขาเองและลายมือของหญิงสาวด้วย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
แต่เขาไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
หรืออีกนัยหนึ่งคือเขารู้สึกอาลัยอย่างเป็นที่สุด
เขาอยากเห็นหน้านาง
อยากเจอเหลือเกิน
ทั้งอยากคิดบัญชีกับนาง แล้วก็อยากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของนาง
เขาไม่เคยคิดถึงใครจนรู้สึกปวดหัวใจแบบนี้มาก่อน
ทั้งๆ ที่รู้สึกโกรธเอามากๆ แต่ก็ยังกังวลว่านางดูแลตัวเองดีหรือไม่
เซียวเหิงเอามืออังที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง สูดหายใจลึก แล้วเปิดประตูห้องเก็บของออก
พอมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องพักก็เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมาทันที เมื่อครู่นี้นางยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย
รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้นางไปแต่แรกก็ดี
เซียวเหิงเดินคอตกไปเปิดประตู พอเห็นเงาของใครอีกคนที่อยู่บนพื้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีทันใด!
คนที่เพิ่งเอ่ยลาไปเมื่อครู่ กลับปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา กู้เจียวจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก “ท่านชายเซียว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”