สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 644 พลานุภาพของปรมาจารย์หมากรุก
บทที่ 644 พลานุภาพของปรมาจารย์หมากรุก
กู้เจียวเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้าไปสืบมาแล้ว คนที่รู้จักปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นมีไม่มาก สถานที่ที่ข้าจะไปและผู้คนระหว่างทางไปอาจจะเจอก็มีแค่กั๋วซือคนเดียวเท่านั้นที่เคยเจอเขา เดี๋ยวข้าเข้าไปในตำหนักกั๋วซือแล้วท่านก็รีบออกมา ไม่ต้องเจอกับกั๋วซือ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าคิดได้รอบคอบไม่เบา”
“แน่อยู่แล้ว!” กู้เจียวกระแอมในลำคอ เปลี่ยนเสียงตัวเองเป็นเด็กหนุ่ม “มีบทอยู่สองสามคำ ข้าจะเขียนให้”
ท่านอาวุโสเมิ่งมุมปากกระตุกยิก ไม่รู้ว่าหมดคำจะพูดกับเสียงของนางหรือที่นางมีบทให้ด้วย
“ถ้าข้าไม่ยอมล่ะ”
“จะเล่นหมากรุกด้วยหนึ่งตา”
ท่านอาวุโสมิ่ง “…”
ข้าเอาตัวไปเสี่ยง มีค่าแค่หมากรุกหนึ่งตาเองน่ะรึ
“ช้าก่อน!” จู่ๆ กู้เจียวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางกระโดดลงรถม้า เข้าห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดเด็กหนุ่มที่เหมาะกับการเดินทาง
ชุดสำนักบัณฑิตเทียนฉงสะดุดตาไปหน่อย โดนขวางไว้หน้าประตูเมืองชั้นในจะไม่ดี
ราชาม้าไม่ต้องให้คนขี่ กู้เจียวดึงบังเหียนบอกมันเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็พอแล้ว ถึงช่วงที่ต้องหลบมันก็หลบ ช่วงแซงก็แซง แสดงการขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติของรถม้าออกมา
กู้เจียวในห้องโดยสารล้วงเอาดินสอถ่านกับสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาขีดเขียนสองหน้าเต็มๆ ร่ายรายการที่ระหว่างทางอาจจะเจอสถานการณ์ฉุกเฉินลงบนกระดาษ
จากนั้นก็ให้ท่านอาวุโสเมิ่งอ่าน
ท่านอาวุโสเมิ่งมองบทยาวพรืดน่าอับอายแล้ว เกือบจะทนไม่ไหวหลุดปากบอกนางว่า ไม่ต้องแสดงแล้ว ข้านี่แหละตัวจริง
จู่ๆ กู้เจียวก็โพล่งขึ้น “รีบร้อนออกมา ลืมเรื่องสารถีไปเลย”
ประเด็นคือราชาม้าเก่งกาจยิ่งนัก มันวิ่งเองได้ ทำให้รู้สึกว่าสารถีนั้นไม่มีก็ได้
ไม่เหมือนม้าที่บ้านเมื่อก่อนนี้ ไม่สะบัดบังเหียนสองเส้นพวกมันก็ไม่เดิน
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเป็นปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ต้องมีสารถีถึงจะสมกับฐานะของท่าน”
“ข้าว่าเจ้าเป็นสารถีได้นะ” ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย
กู้เจียวถอนใจเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าเป็นสารถีไม่ได้ แต่อีกเดี๋ยวข้าต้องเข้าไปในตำหนักกั๋วซือ เข้าไปข้าก็ไม่ออกมาแล้ว นอกรถม้าว่างเปล่าไร้สารถี จะไม่มีคนสงสัยเอารึ”
ท่านอาวุโสเมิ่งมุมปากกระตุกยิก ตรรกะพรรค์นี้เจ้าวิเคราะห์ได้กระจ่างแจ้ง แต่เจ้าไม่คิดว่าปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นไม่อาจหาคนมาสวมรอยอย่างง่ายดายเสียบ้างหรือไร
มู่ชิงเฉินไม่รู้ว่ากู้เจียวมีความคิดจะสวมรอย ไม่อย่างนั้นคงได้พยายามห้ามนางไว้แล้ว
เคยมีคนสวมรอยเป็นปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นมาก่อน หลังจากโดนจับได้ก็ประหารต่อหน้าปวงประชาทันที ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคิดพิเรนทร์เช่นนี้อีกเลย
นอกจากนี้ ที่มู่ชิงเฉินรู้เกี่ยวกับท่านอาวุโสเมิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะถูกทั้งหมด ตอนที่ท่านอาวุโสเมิ่งเล่นหมากรุกไม่ชอบให้คนมาดูและแลกเปลี่ยนความรู้กัน มักจะลากฉากกันลมหรือผ่านมาบังไว้ นั่นก็เพื่อให้มีสมาธิเล่นหมาก ไม่ใช่ว่าเขารักษาความลับแปลกพิสดารอะไรไว้
เขามักจะเข้าออกเมืองบ่อยๆ ทหารเฝ้าประตูเมืองที่รู้จักเขาจึงมีไม่น้อย
ส่วนเรื่องที่มีแค่กั๋วซือเพียงคนเดียวที่เคยเจอเขานั้น ก็เป็นแค่การเดาของมู่ชิงเฉินเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นเช่นนั้นจริง
มู่ชิงเฉินไม่รู้ว่าเขาเคยไปเป็นขอทานที่จ่ายเงินจ้างคนให้เล่นหมากรุกด้วยที่แคว้นเจามาก่อน เห็นได้ชัดว่าการทำความเข้าใจของมู่ชิงเฉินที่มีต่อท่านอาวุโสเมิ่งนั้นเชื่อถือไม่ได้
“บอกมาว่าท่านเก็บป้ายคำสั่งนี้มาได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
ท่านอาวุโสเมิ่งปรายตามองนาง “ก็แค่เก็บได้”
กู้เจียว “อ๋อ เช่นนั้นท่านก็รู้จักเก็บทีเดียว”
เมื่อเข้าด่านเมืองชั้นในมา กู้เจียวก็ไปนั่งข้างนอกสวมรอยเป็นสารถี นางให้ท่านอาวุโสเมิ่งยื่นป้ายคำสั่งของปรมาจารย์หมากรุกแห่งหอกแคว้นให้ทหารเฝ้าประตูเมือง จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้ท่านอาวุโสเมิ่ง
ถึงเวลาพูดตามบทแล้ว!
ท่านอาวุโสเมิ่งบีบต้นขาไว้ ข่มความอับอายมหาศาลภายในใจเอาไว้ เอ่ยกับทหารเฝ้าประตูเมือง “ข้าคือผู้อาวุโสเมิ่งปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น”
ทหารเฝ้าประตูเมืองพากันตกตะลึง
เด็กคนนี้เขียนอะไรก็ไม่รู้! มีใครเขาเรียกตัวเองกันแบบนี้บ้าง!
ท่านอาวุโสเมิ่งสูดหายใจลึก ใช้น้ำเสียงยโสโอหังของผู้เฒ่าที่กู้เจียวใช้ลายเส้นใหญ่ๆ ขีดเน้นย้ำเอ่ย “ยังไม่รีบปล่อยไปอีก”
ทหารเฝ้าประตูเมืองสีหน้างุนงง ก็ต้องปล่อยไปอยู่แล้วสิ มีคราใดบ้างที่ท่านมาแล้วพวกเราขวางไว้ ท่านไม่ได้มอบป้ายคำสั่งให้พวกเราดูเองหรอกรึ
ท่านอาวุโสเมิ่งปิดม่านขวับ!
กู้เจียวยกนิ้วโป้งให้ท่านอาวุโสเมิ่ง
ฉากสะบัดมือปิดม่านเล่นได้ไม่เลว เสริมบทให้ยอดเยี่ยม เพิ่มมาดให้ตัวละคร!
ท่านอาวุโสเมิ่งกัดฟันดังกรอด นั่นน่ะข้าทั้งโมโห ทั้งอับอายและขายขี้หน้าต่างหาก!
หลังจากเข้าเมืองชั้นในมาได้อย่างราบรื่นแล้ว กู้เจียวก็หาร้านรถม้าใกล้ๆ เพื่อจ้างสารถีมาคนหนึ่ง
สารถีรู้จักที่ทางในเมืองชั้นในเป็นอย่างดี เพียงไม่นานก็ขับรถม้ามาถึงตำหนักกั๋วซือแล้ว
เขาไม่รู้ว่าคนในรถม้าเป็นใคร แต่ก็ได้ยินว่าคนธรรมดาเข้าได้แค่ประตูมุม เขาจึงจอดรถตรงหน้าประตูหัวมุม
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยเสียงนิ่ง “ตรงไปอีก เข้าประตูใหญ่”
กู้เจียวยามนี้กลับมานั่งในห้องโดยสารแล้ว นางพยักหน้า “ถูกต้อง จากฐานะของท่านอาวุโสเมิ่งก็ควรจะเข้าประตูใหญ่นี่ล่ะ”
นางมองท่านผู้เฒ่าด้วยสายตาชื่นชม เข้าใจในตัวละครได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก รู้จักเสริมบทให้ตัวเองเป็นแล้ว!
ท่านอาวุโสเมิ่งหน้าทะมึน ข้าไม่อยากสนใจเจ้า
ไม่ว่าจะประตูใหญ่หรือประตูหัวมุมก็ล้วนมีองครักษ์เฝ้าอยู่ กู้เจียวนั่งบนรถม้า ชูสมุดให้ท่านอาวุโสเมิ่งดูบท
ท่านอาวุโสเมิ่งกำหมัดแน่น ไม่พูดได้หรือไม่
กู้เจียวส่ายหน้าเด็ดขาด
ท่านอาวุโสเมิ่งเลิกม่านขึ้น “จอด”
รถม้าจอดลง
ท่านอาวุโสเมิ่งยื่นป้ายคำสั่งให้ศิษย์ตำหนักกั๋วซือที่เข้าเวรอยู่ กวาดตามองสมุดเล่มเล็กที่กู้เจียวชูให้เขา ก่อนจะเอ่ยอย่างหน้าไม่อายเหลือจะเปรียบ “ข้าคือแขกผู้มีเกียรติของตำหนักกั๋วซือของพวกเจ้า สหายที่จริงใจที่สุดของใต้เท้ากั๋วซือ ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสเมิ่ง”
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือ “…”
รถม้าเคลื่อนเข้าไปตลอดทาง
“เรียบร้อย ท่านกลับได้แล้ว ข้าเข้าไปเอง” กู้เจียวบอกกับท่านอาวุโสเมิ่ง
นางเอาเปรียบคนอย่างรู้ประมาณ โดยปกติแล้วเรื่องอันตรายเกินไปนางจะทำเอง
จู่ๆ ท่านอาวุโสเมิ่งก็ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดี ตอนควรเอาเปรียบไม่เอาเปรียบ ตอนไม่ต้องเอาเปรียบดันพยายามจะเอาเปรียบ
เขาเรียกนางไว้ “เจ้ามาทำอะไรที่ตำหนักกั๋วซือกันแน่”
กู้เจียวก็ไม่ได้ปิดบังเขา “กู้เหยี่ยนต้องการผ่าตัด ข้าอยากดูว่าตำหนักกั๋วซือมีสถานที่ผ่าตัดที่เหมาะกับเขาหรือไม่”
ตำหนักกั๋วซือฝีมือการแพทย์ชั้นยอด ท่านอาวุโสเมิ่งรู้ดี แต่เขาไม่เคยรักษาที่ตำหนักกั๋วซือมาก่อน เขาจึงหยุดเว้น แล้วเอ่ย “เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะหาคนพาเจ้าไป”
เอ่ยจบ ท่านอาวุโสเมิ่งก็เลิกม่านรถขึ้น กวักมือเรียกลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล “เจ้ามานี่ที”
ศิษย์คนนั้นรีบเดินมาหา
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย “ข้าคือผู้อาวุโสเมิ่ง”
ศิษย์คนนั้นคิดในใจ ข้าทราบแล้ว
ท่านอาวุโสเมิ่งกระแอมเบาๆ เอ่ย “กั๋วซือของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”
ศิษย์เอ่ย “ใต้เท้ากั๋วซือออกไปท่องเที่ยวขอรับ”
ท่านอาวุโสเมิ่งจึงเอ่ย “แล้วศิษย์พี่ใหญ่พวกเจ้าอยู่หรือไม่”
ศิษย์คนนั้นรีบเอ่ย “อยู่ขอรับ ท่านจะพบศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเราหรือ ข้าจะไปตามเขามาด้วยนี้”
ท่านอาวุโสเมิ่งมองกู้เจียว ก่อนเอ่ย “ไม่ต้องหรอก สหายน้อยคนนี้ของข้ามีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากเขา เจ้าพาเขาไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าก็พอ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนจบก็เอ่ยกับกู้เจียว “ข้ารอเจ้าอยู่ข้างนอกนะ”
กู้เจียวเหลือแค่ปรบมือให้เขาเท่านั้นแล้ว การแสดงเช่นนี้ ช่างเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งนัก!
ท่านอาวุโสเมิ่งรอกู้เจียวอยู่นอกตำหนักกั๋วซือ กู้เจียวไม่ต้องพะว้าพะวงอะไร ตามศิษย์คนนั้นไปหาศิษย์พี่ใหญ่ที่เขาพูดถึง
เนื่องจากมีคนนำทางให้ กู้เจียวจึงไม่อาจเดินเพ่นพ่านไปทั่วในตำหนักกั๋วซือ จึงไม่มีทางได้ทำความเข้าใจกับตำหนักกั๋วซือ แต่ระหว่างทางทิวทัศน์สวย วิมานหยกงดงาม ศาลาริมน้ำสดสวย เรียบง่ายแต่ยังคงความสง่างาม
ยิ่งเดินเข้าไปด้านในเท่าไหร่สีสันของสิ่งปลูกสร้างก็ยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น กู้เจียวแอบสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณทว่าลึกลับ
และความคุ้นเคยบางอย่าง
“ใช่หน่วยกล้าตายหรือไม่” กู้เจียวถาม
ศิษย์ผู้นั้นมองไปรอบๆ ก่อนมองกู้เจียวด้วยความประหลาดใจ “ท่านชายผู้นี้ เจ้าสัมผัสได้ถึงหน่วยกล้าตายใกล้ๆ ด้วยหรือ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
นางคล้ายจะไวต่อกลิ่นอายของหน่วยกล้าตายโดยธรรมชาติ บางทีอาจเพราะพวกเขามีบางอย่างที่เหมือนกันในการต่อสู้
หน่วยกล้าตายของตำหนักกั๋วซือล้วนแข็งแกร่งมาก เดินมาได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอย่างน้อยสิบสายที่ไม่ด้อยไปกว่าหมาป่าเลย
จู่ๆ กู้เจียวก็รู้สึกค่อนข้างโชคดีที่ท่านผู้เฒ่ายื่นมือมาช่วยเช่นนี้ หากตนแอบเสาะหาเองจริงๆ เกรงว่าคงยากที่จะเดินเหินได้อิสระภายใต้สายตาของยอดฝีมือมากมายเพียงนี้
“ถึงแล้วขอรับ”
ศิษย์ผู้นั้นชี้ไปที่หอเก็บตำราแห่งหนึ่งพลางเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้านใน ข้าขออนุญาตรายงานก่อน”
“รบกวนแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
ศิษย์ผู้นั้นไปรายงาน เพียงไม่นานก็ออกมาจากหอเก็บตำรา แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “ท่านชายขอรับ ศิษย์พี่ของข้าเรียนเชิญ”
กู้เจียวผงกหัว เดินขึ้นบันไดไป มองรองเท้าหน้าประตูแวบหนึ่ง จึงถอดรองเท้าตัวเองเช่นกัน เหยียบพื้นกระดานเงาวับไร้ฝุ่นด้วยถุงเท้าสีขาว
ภายในหอเก็บตำรา ชั้นหนังสือเรียงรายกันเป็นทิวแถวเต็มไปหมด กลิ่นหนังสือเข้มข้นโชยปะทะหน้า ภายในหอเงียบสงบ มีศิษย์ของตำหนักกั๋วซืออยู่ราวๆ สิบกว่าคนกำลังจัดตำราเข้าชั้น แต่ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยสักแอะ
ผ่านชั้นหนังสือมาจะเป็นแท่นไม้สูงราวๆ หนึ่งฉื่อ บนแท่นคล้ายห้องหนังสือแบบเปิดขนาดเล็ก
บุรุษในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หลังโต๊ะเตี้ยตรงแท่นไม้ หันหน้าไปทางชั้นวางหนังสือ กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างอยู่
คล้ายกับเห็นเงาของกู้เจียวทอดมายังพื้น เขาจึงเงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าหนุ่มหล่อเหลาโดดเด่นออกมา เขายิ้มให้จางๆ “เป็นสหายน้อยของท่านอาวุโสเมิ่งหรือ”
กู้เจียวพยักหน้า “ขอรับ ข้าแซ่เซียว”
“เชิญนั่ง” เขาชี้เบาะรองตรงข้ามตัวเองที่เพิ่งวางลง “ท่านชายเซียวเรียกข้าว่าเย่ชิงก็ได้”
กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามกับเย่ชิงศิษย์ใหญ่
ชุดคลุมยาวของเย่ชิงแตกต่างจากชุดคลุมยาวของศิษย์ตำหนักกั๋วซือ เห็นได้ชัดว่าเขามีฐานะโดดเด่นในตำหนักกั๋วซือแห่งนี้
บนร่างเขามีกลิ่นอายเหนือโลกีย์ ยามแย้มยิ้มก็ให้อารมณ์เข้าถึงง่าย แต่ก็ไม่ได้อยากจะเข้าใกล้จนเกินไป
เป็นความห่างที่พอดี
เย่ชิงวางกระดาษกับพู่กันในมือลง มีศิษย์ยกอ่างน้ำมาให้เขาล้างมือ
อันที่จริงมือเขาสะอาดมาก แต่ล้างมือแล้วค่อยเทชาให้แขกนั้นเป็นมารยาท
ศิษย์ผู้นั้นถอยไป
เขาเทชาให้กู้เจียวด้วยตัวเอง และเทชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แย้มยิ้มถาม “ไม่ทราบท่านชายเซียวมาตำหนักกั๋วซือด้วยธุระใดหรือ”
กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ย “น้องชายข้าป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องการผ่าตัด”
“ผ่าตัดโรคหัวใจหรือ” เย่ชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ตำหนักกั๋วซือเราเชี่ยวชาญการแพทย์ก็จริง แต่การผ่าตัดใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าหมอทั่วไปคงทำไม่ได้”
แววตากู้เจียววูบไหวเล็กน้อย นางรู้สึกตัวเองเห็นความหวังที่จะรักษากู้เหยี่ยนแล้ว “แล้วตำหนักกั๋วซือของพวกเจ้าผ่าตัดซับซ้อนเช่นนี้ได้หรือไม่”
เย่ชิงยิ้มเอ่ย “อาจารย์ข้าทำได้ อาจารย์ข้าท่านมีฝีมือการแพทย์สูงส่ง เคยผ่าตัดโรคหัวใจให้คนไข้รายหนึ่งมาก่อน”
กู้เจียวถาม “ผ่าตัดสำเร็จหรือไม่”
เย่ชิงเอ่ย “สำเร็จขอรับ เพียงแต่น่าเสียดายยิ่งนัก แม้โรคหัวใจของคนไข้รายนั้นจะหายแล้ว แต่ไม่อาจรอดพ้นจากอุบัติเหตุได้ โลกนี้ช่างอนิจจังนัก”
กู้เจียวเอ่ย “อุบัติเหตุก็ส่วนอุบัติเหตุ ผ่าตัดก็ส่วนผ่าตัด”
“ท่านชายน้อยกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง” เย่ชิงยิ้มพลางพยักหน้า “แต่ว่า ท่านชายน้อยทราบได้อย่างไรว่าน้องชายเจ้าต้องผ่าตัด”
คนปกติคิดไม่ถึงการผ่าตัดได้หรอก
กู้เจียวเอ่ย “ข้ารู้วิชาแพทย์นิดหน่อย”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เย่ชิงเอ่ยด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายที่ท่านชายเซียวมาได้ไม่ประจวบเหมาะนัก อาจารย์ข้าไม่อยู่ หากท่านชายเซียวมาเร็วกว่านี้สองสามวันคงได้เจออาจารย์ข้าแล้ว”
เรื่องนี้ไม่สำคัญ นางผ่าตัดเองได้
กู้เจียวเอ่ยตรงๆ “ข้าผ่าตัดเองได้ ขอใช้ห้องผ่าตัดของพวกท่านจะได้หรือไม่”
อาจเพราะท่านอาวุโสเมิ่ง เย่ชิงจึงมีมารยาทและใจกว้างต่อกู้เจียวมาก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ห้องผ่าตัดธรรมดาเจ้ายืมใช้ได้หมดเลย ห้องผ่าตัดของอาจารย์ข้าข้าไม่มีกุญแจ ต้องรอท่านผู้เฒ่าเขากลับมา”
แม้แต่ห้องผ่าตัดยังเข้าใจ ตำหนักกั๋วซือช่างมีความรู้ล้ำยุคสมชื่อจริงๆ
กู้เจียวคิดใคร่ครวญ จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น “ข้ามฉาก ชิดฉาก ข้ามชิด[1]”
เย่ชิงชะงัก
“ช่างเถิด ไม่มีอะไร” เขาไม่ได้ทะลุมิติมาเสียหน่อย กู้เจียวโบกมือไปมา ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ใต้เท้ากั๋วซือจะกลับมาเมื่อใดหรือ”
“อ่า” เย่ชิงตั้งสติได้ก่อนจะเอ่ย “ก่อนอาจารย์จะไปได้กำชับไว้ว่า เร็วที่สุดยี่สิบวัน ช้าสุดหนึ่งเดือน”
หนึ่งเดือนไม่ได้นานเกินไป จากอาการตอนนี้ของกู้เหยี่ยนนั้นรอได้
คราวนี้ราบรื่นกว่าที่กู้เจียวคิดไว้มากนัก ไม่เพียงเข้ามาในตำหนักกั๋วซือได้ ยังมีห้องผ่าตัดอยู่จริงๆ ซ้ำยังได้รับอนุญาตให้ใช้ด้วย
กู้เจียวขอบคุณเย่ชิง ก่อนจะออกจากตำหนักกั๋วซือโดยมีศิษย์ผู้หนึ่งเดินมาส่ง
นางขึ้นนั่งบนรถม้า โยนป้ายคำสั่งในมือเล่น พลางสะทกสะท้อนใจเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าตัวตนของปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้”
ท่านอาวุโสเมิ่งยืดตัวขึ้นตรงอย่างเย่อหยิ่ง “เหอะ!”
[1] ข้ามฉาก ชิดฉาก ข้ามชิด สูตรจำ sin cos tan กู้เจียวเอ่ยขึ้นเพราะอยากยืนยันว่าอีกฝ่ายทะลุมิติมาหรือไม่