สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 645 ตัวตน
บทที่ 645 ตัวตน
กู้เจียวส่งสารถีที่ร้านเช่ารถ แล้วออกจากเมืองชั้นในไปด้วยกันกับท่านอาวุโสเมิ่ง
“ยังไม่รู้แซ่ท่านเลย”
กู้เจียวเอ่ยขึ้น
นักแสดงนำสวมวิญญาณปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นมีค่าแค่ถามแซ่หนึ่ง!
“เมิ่ง” ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยนิ่งๆ
กู้เจียวหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านก็แซ่เมิ่งรึ”
ท่านอาวุโสเมิ่ง เหอะ คุ้นหูมากเลยใช่หรือไม่ ถูกต้องแล้ว ข้าก็คือปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแค้วน เมิ่งเหล่า!
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “บังเอิญทีเดียว”
จากนั้น ไม่มีจากนั้นแล้ว
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…”
โบราณกล่าวได้ถูกต้องนัก ม้าแก่รู้ทาง หลังจากออกจากเมืองมากู้เจียวไม่ต้องทำแม้แต่ดึงบังเหียนเลี้ยวแล้ว ราชาม้าแสดงฝีมือลากรถม้าเองเลย มันควบวิ่งพารถม้ากลับมาถึงตรอกเล็กๆ ที่พวกนางอาศัยอยู่
วันนี้ที่บ้านคึกคักยิ่ง เซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคงมาหา
กู้เจียวได้ยินเสียงเล็กๆ เจี๊ยวจ๊าวของเสี่ยวจิ้งคงมาตั้งแต่ไกล เรือนอันเงียบเหงาคล้ายมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด
สีหน้าท่านอาวุโสเมิ่งพลันแข็งทื่อ
เห็นได้ชัดว่า ปมในใจที่ถูกเด็กแสบระเบิดเป็นถ่านยังคงฝังลึกในใจเขา ยามนี้ได้ยินเสียงเสี่ยวจิ้งคง ท่านอาวุโสเมิ่งก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
ท่านอาวุโสเมิ่งละล้าละลังไม่ก้าวเข้าเรือนเสียที
ราชาม้าก็ไม่เข้าเรือนเช่นกัน
หนึ่งคนหนึ่งม้าหันหลังกลับอย่างรู้ใจกัน ราชาม้าเป็นฝ่ายคาบบังเหียนตัวเองขึ้นมายื่นให้ตรงหน้าท่านอาวุโสเมิ่งเอง
ท่านอาวุโสเมิ่งคว้าบังเหียนเผ่นแนบพาม้าไปเดินเล่นทันที
“เจียวเจียว! เอ๋ ท่านปู่! เอ๋ เสี่ยวสืออี!”
เสียงเล็กๆ เจือความดีใจของเสี่ยวจิ้งคงดังขึ้นด้านหลังท่านอาวุโสเมิ่ง
ท่านอาวุโสเมิ่งตัวแข็งทื่ออีกหน
ราชาม้าคาบบังเหียนคืนอย่างไม่เกรงใจ วิ่งหนีทิ้งท่านอาวุโสเมิ่งไว้คนเดียว!
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังเข้ามาหา เขาเงยหน้าน้อยๆ ขึ้น พินิจมองท่านอาวุโสเมิ่งพลางเอ่ย “ท่านปู่! ท่านหายแล้วนี่นา!”
“ไม่นี่ ข้าเวียนหัวมาก” ท่านอาวุโสเมิ่งกุมศีรษะ แสดงฝีมือการแสดงเดินโซเซเข้าไปในห้องหนังสือ
เสี่ยวจิ้งคงโผเข้าหาอ้อมอกกู้เจียว “เจียวเจียว!”
เมื่อครู่นี้เขาเล่นดีดลูกแก้วกับกู้เสี่ยวซุ่นในลานบ้าน เล่นจนเหงื่อออกเต็มหน้าไปหมด
กู้เจียวจูงมือเขาเดินเข้ามาในลานบ้าน艾琳小說
เซียวเหิงกำลังทำงานอยู่หลังบ้าน เขาเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษออกจากเมือง สีขาวตลอดร่าง สูงโปร่งดุจหยก ทั้งๆ ที่ผ่าฟืนแบกน้ำแท้ๆ แต่ท่วงท่ากลับเจริญหูเจริญตายิ่งนัก
กู้เจียวเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดสบายๆ ให้เสี่ยวจิ้งคงเป็นอย่างแรก เสี่ยวจิ้งคงไปเล่นด้วยความเปรมปรีดิ์ กู้เจียวจึงมาหลังบ้าน
“มาแล้วรึ” นางเดินไปทัก
“อืม” เซียวเหิงขานรับนิ่งๆ ผ่าฟืนท่อนสุดท้ายในมือ
อันที่จริงเขาเห็นนางกลับมาแต่แรกแล้ว แต่ผู้ชายนี่นา บางครั้งก็รักศักดิ์ศรี จะต้องให้นางเป็นฝ่ายมาเอาใจ
ปากไม่ตรงกับใจเสียจริง
เขาผ่าฟืนเสร็จ ก็ไปตักน้ำต่อ
“ข้าทำเอง” กู้เจียวเอ่ยขึ้น
เซียวเหิงเอ่ย “ไม่ต้อง เจ้าไปนั่งไป”
กู้เจียวจ้องมองเขา มุมปากหยักยกขึ้น นางไม่ได้ปฏิเสธ ยกม้านั่งเล็กๆ มานั่งลงข้างเขา
เขาหย่อนถังไม้ลงในบ่อ ตักน้ำแล้วก็หมุนคันโยกดึงมันขึ้นมาทีละนิด
กู้เจียวเท้าแก้มมองเขาพลางเอ่ยถาม “วันนี้ลมอะไรหอบมาเล่า”
“สำนักบัณฑิตหยุด” เซียวเหิงบอก “เสี่ยวจิ้งคงอยากมาหาเจ้า ก็เลยมา”
“แล้วเจ้าล่ะ” กู้เจียวถาม
หูเซียวเหิงแดงเห่อ ไม่กล้ามองนาง เอาแต่จ้องถังน้ำที่ถูกตัวเองดึงขึ้นมา ผืนน้ำเป็นระลอกคลื่น
“ข้า” ขนตาเขาขยับไหวเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ก็อยากเจอเจ้า”
มุมปากกู้เจียวหยักยกขึ้น
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงถาม “แต่ตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในของเจ้าอยู่ที่ข้ามิใช่หรือ เจ้าออกจากเมืองมาได้อย่างไร”
เซียวเหิงตอบ “ข้ามีวิธีของข้า
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักบัณฑิต คนตามเกี้ยวพาราสีมีมากมายดั่งฝูงปลาข้ามแม่น้ำ กะอีแค่ตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิด
เซียวเหิงมองไปทางสำนักบัณฑิต ก่อนถาม “คนที่โดนจิ้งคงเรียกว่าท่านปู่ท่านนั้น…”
กู้เจียวเอ่ย “เป็นคนใจดีที่เจอจิ้งคงระหว่างทาง จิ้งคงใช้ลูกระเบิดทำเขาบาดเจ็บ ยามนี้เขากำลังรักษาตัวที่นี่ เขาแซ่เมิ่ง”
คนบนโลกนี้ที่แซ่เมิ่งมีไม่ใช่น้อยๆ อาศัยแค่แซ่เมิ่งยากจะทำให้คนเชื่อมโยงได้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น
เซียวเหิงมองประตูห้องที่ปิดสนิท พลางเอ่ย “เขา… พักอยู่ในห้องหนังสือหรือ”
กู้เจียวเอ่ย “ใช่ ที่บ้านไม่มีห้องเหลือแล้ว”
เรือนหลังนี้มีห้องหลักทั้งหมดแค่สามห้องเท่านั้น อาจารย์หลู่กับอาจารย์แม่หนานห้องหนึ่ง กู้เสียวซุ่นกับกู้เหยี่ยนห้องหนึ่ง ที่เหลือก็ของนางแล้ว ท่านอาวุโสเมิ่งจึงต้องพักฟื้นที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือไม่ได้ใหญ่นัก แต่ที่บ้านชินกับการที่มีแค่เซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคงใช้ห้องหนังสือ คนอื่นๆ ใช้ห้องของตัวเองก็เพียงพอแล้ว ในห้องหนังสือจึงมีเพียงโต๊ะหนังสือหนึ่งตัว หลังจากย้ายมันออกไปแล้ว ก็กางแคร่ไม้ไผ่ที่อาจารย์หลู่เป็นคนทำแทน
เซียวเหิงพึมพำเสียงเบา “รู้อย่างนี้คงบอกภรรยาก่อนว่าพรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับ”
“ไม่มีอะไร!” เซียวเหิงหน้าขรึมเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าไปไหนมารึ”
ระหว่างพวกเขาจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกันน้อยมาก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นหรือไม่ เขาจึง ‘ไม่สนใจ’ นางเหมือนเมื่อก่อนน้อยลงมาก
กู้เจียวก็ไม่ได้ปิดบังก่อนจะบอก “เมื่อครู่ข้าไปตำหนักกั๋วซือมา”
“ตำหนักกั๋วซือรึ” เซียวเหิงนิ่งอึ้ง เขาตักน้ำขึ้นมาวางไว้บนปากบ่อ แล้วหันไปมองกู้เจียว “เจ้าไปหน้าตำหนักกั๋วซือ หรือว่าเข้าไปข้างใน”
“เข้าไปสิ” กู้เจียวบอก
เซียวเหิงยิ่งตกใจเสียกว่าเดิม
เขามาที่เซิ่งตูนานเพียงนี้แล้ว ย่อมได้ยินเรื่องตำหนักกั๋วซือมาบ้าง นอกจากวังหลวงแล้ว นั่นเป็นสถานที่ที่คุ้มกันแน่นหนาที่สุดในเมืองเซิ่งตูเลย คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
นับประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ ต่อให้เป็นชนชั้นสูงก็ยังเข้าออกตำหนักกั๋วซือได้น้อยมาก
แต่กู้เจียวเข้าไปได้ไม่พอ ยังออกมาโดยไร้รอยขีดข่วนอีก
“เจ้าเข้าไปได้อย่างไร” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวเล่าเรื่องที่ตัวเองให้ท่านอาวุโสเมิ่งปลอมตัวเป็นปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นเข้าไปในตำหนักกั๋วซือให้เซียวเหิงฟัง
เซียวเหิงฟังจบก็เงียบไปครู่ใหญ่
“เจ้าแน่ใจรึว่าเขาเป็นตัวปลอม” เขาถาม
“อืม ปรมาจารย์หมากรุกคนไหนจะมาเป็นขอทาน ข้าเจอเขาที่แคว้นเจามาก่อน” กู้เจียวเอ่ยพลางหยิบสมุดเล่มเล็กของตัวเองออกมา อวดบทและฉากที่ตัวเองเขียนเองให้สามีดู
เซียวเหิงอ่านบทน่ากระอักกระอ่วนเหล่านั้น จู่ๆ ก็ไม่กล้ามองท่านอาวุโสเมิ่งในห้องหนังสือได้ตรงๆ ขึ้นมา
หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว เซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคงก็กลับมาที่เมืองชั้นใน
ก่อนไป กู้เจียวได้คืนตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในของ ‘กู้เจียว’ ให้กับเซียวเหิง ยามนี้นางมีป้ายคำสั่งของปรมาจารย์แห่งหกแคว้นอยู่ ตราอาญาสิทธิ์นี้คงไม่ได้ใช้แล้ว เซียวเหิงถือของคนอื่นได้ แต่สุดท้ายใช้ของตนจะสะดวกกว่า
หลังจากเซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคงกลับไปแล้ว กู้เจียวก็กำลังจะกลับไปพักในห้อง
นางเพิ่งจะหมุนตัว ก็เห็นสีหน้าท่านอาวุโสเมิ่งมองนอกประตูใหญ่อย่างซับซ้อน
กู้เจียวมองตามสายตาเขาไป ก่อนถามเขา “กำลังมองอะไรรึ”
“คนผู้นั้น…คือใครรึ” ท่านอาวุโสเมิ่งถาม
ออกจากบ้านไปมีแค่สองคน จิ้งคงกับเซียวเหิง ท่านอาวุโสเมิ่งย่อมไม่ได้หมายถึงจิ้งคงอยู่แล้ว
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “สามีข้าเอง ลิ่วหลัง ท่านไม่ใช่เคยได้ยินชื่อเขาแล้วหรอกหรือ”
ตอนแรกกู้เจียวปิดบังตัวตนของตัวเองกับท่านอาวุโสเมิ่ง แต่เซียวลิ่วหลังมาที่บ้านหนหนึ่ง อาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่ต่างเรียกเขาว่าลิ่วหลัง จึงยากที่จะปิดบังต่อ
ท่านอาวุโสเมิ่งรู้แล้วว่าพวกนางสองคนใครคือกู้เจียว ใครคือเซียวลิ่วหลัง
ท่านอาวุโสเมิ่งขมวดคิ้ว “เจ้ายังเด็กเพียงนี้จะมีสามีได้อย่างไร”
กู้เจียวเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ก็มีแล้ว!”
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…”
ท่านอาวุโสเมิ่งถาม “เขาเป็นแคว้นเจารึ”
“ใช่น่ะสิ” กู้เจียวเอ่ย
“คนแคว้นเจา…” ท่านอาวุโสเมิ่งขมวดคิ้วพึมพำ
เรื่องบางเรื่องกู้เจียวไม่ได้ใส่ใจ แต่ส่วนใหญ่กลับละเอียดดุจเส้นผม นางจับความผิดปกติของท่านอาวุโสเมิ่งได้ จึงถาม “ท่านรู้สึกว่าเขาไม่ใช่รึ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เขา…” ท่านอาวุโสเมิ่งครุ่นคิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถิด ข้าอาจจะมองผิดไป”
กู้เจียวไตร่ตรองครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น “ไม่ ไม่ ไม่ ท่านอาจจะไม่ได้มองผิดก็ได้ ท่านเคยเจอเขาที่อื่นอีกใช่หรือไม่”
ท่านอาวุโสเมิ่งนึกทวนความทรงจำ ก่อนเอ่ย “เคยเจอคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หนหนึ่ง แต่ข้าไม่รู้จัก มองแค่ไกลๆ เท่านั้น”
เหตุใดจึงจำได้น่ะหรือ คงเพราะมีคนบางคนอาจเกิดมาพร้อมความสามารถที่ทำให้ผู้คนจดจำกระมัง
กู้เจียวนึกถึงคนคนนั้นที่ม่อเชียนเสวี่ยเคยเจอ จึงถาม “ท่านเจอที่ไหนรึ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย “หน้าประตูตำหนักกั๋วซือ”
กู้เจียวถาม “เขาเป็นศิษย์ของตำหนักกั๋วซือหรือ”
ท่านอาวุโสเมิ่งส่ายหน้า “ไม่ใช่ เขาไม่ได้สวมชุดคลุมยาวของตำหนักกั๋วซือ และไม่มีมาดของศิษย์ตำหนักกั๋วซือเลย ตอนนั้นท่าทางเขา…เหมือนไปรักษาตัวที่ตำหนักกั๋วซือเสียมากกว่า”
“รักษาตัวอย่างนั้นรึ” กู้เจียวครุ่นคิด
สิ่งที่ท่านอาวุโสเมิ่งไม่ได้บอกก็คือ คนที่สามารถไปรักษาตัวที่ตำหนักกั๋วซือได้ล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา
เด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปทางประตูใหญ่ ศิษย์ใหญ่ตำหนักกั๋วซืออย่างเย่ชิงมาต้อนรับถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านชายตระกูลใหญ่จะได้รับ
เป็นไปได้มากที่เด็กหนุ่มคนนั้น…จะเป็นเชื้อพระวงศ์ต้าเยี่ยน!