สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 647 พ่อลูก (1)
บทที่ 647 พ่อลูก (1)
พอเห็นว่ามู่ชิงเฉินเดินมาทางนี้ จงติ่งก็รีบปิดปากทันทีก่อนจะจูงม้าแล้วถือไม้คลีเดินออกไปสมทบกับโจวถงและคนอื่นๆ
“พวกเจ้าคุยอะไรกันรึ เหตุใดพอเห็นหน้าข้าก็รีบหนีไปเลย” มู่ชิงเฉินเอ่ยถามขณะที่มองจงติ่งที่กำลังเดินออกไป
“ไม่มีอะไร” กู้เจียวตอบ
นางไม่ใช่คนชอบนินทา และยิ่งไม่ชอบการนำเรื่องนินทามาเล่าต่อ
กู้เจียวครุ่นคิด มองว่านางควรจะให้ข้อมูลเขาไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยเสริม “ไม่ได้พูดถึงเจ้า”
มู่ชิงเฉินก็เลยไม่ถามต่อ
กระนั้น มู่ชิงเฉินก็พอจะเดาออกว่าคงเป็นเรื่องการมาเยือนของหมิงจวิ้นอ๋องในครั้งนี้ แม้จะมิได้มาแบบเปิดเผยตัวตน ทว่าบัณฑิตในสำนักส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่และพอได้ยินเรื่องราวหรือไม่ก็เคยพบเจอกับคนจากจวนไท่จื่อมาบ้างไม่มากก็น้อย
“เจ้ากำลังเลือกไม้ตีคลีอยู่รึ” มู่ชิงเฉินเอ่ยถาม
“อืม” กู้เจียวตอบเสียงห้วน
ไม่มีด้ามไหนที่จับถนัดมือเลย
จากนั้นมู่ชิงเฉินก็เดินออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง กู้เจียวเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ก้มหน้าก้มตาเลือกไม้ต่อ
รู้ตัวอีกที ก็เห็นมู่ชิงเฉินเดินจูงม้ากลับมาพร้อมกับไม้ตีคลี “เอ้านี่”
กู้เจียวมองเขาหนึ่งที ก่อนจะยื่นมือรับไม้ กู้เจียวลองทำท่าทางและดูน้ำหนักของมัน ดูเหมือนจะหนักกว่าไม้พวกนั้นทั้งหมดก็จริง แต่กลับพอดีมือสำหรับคนที่คุ้นเคยกับการใช้ทวนอย่างนาง
“ขอบใจมาก” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามกลับ “แล้วเจ้าใช้อะไรล่ะ”
“ข้าใช้อันนี้” มู่ชิงเฉินสุ่มหยิบกระบองที่อยู่ในตะกร้าแล้วขึ้นหลังม้า “ข้าจะพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยก่อน”
กู้เจียวเองก็กระโดดขึ้นหลังม้าของนาง “ได้เลย”
มู่ชิงเฉินอธิบายเรื่องกฎในการเล่นก่อน ตีคลีเป็นกีฬาที่ได้รับการสืบทอดจากราชวงศ์ของแคว้นจิ้น พอกีฬาชนิดนี้เข้ามายังแคว้นเยี่ยน ก็ได้รับความนิยมในหมู่ราชวงศ์ ต่อมาจึงค่อยๆ กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง จนถึงทุกวันนี้ สำนักบัณฑิตของชนชั้นสูงหลายแห่งได้รวมกีฬาตีคลีไว้ในหลักสูตรของพวกเขา
แม้สำนักบัณฑิตเทียนฉงจะไม่มีการสอนวิชาตีคลี แต่อาจารย์ก็มักจะพาเหล่าบัณฑิตไปเล่นตีคลีอยู่เป็นครั้งคราว
การเล่นตีคลีต้องใช้ทักษะการขี่ม้าสูงมาก การแข่งตีคลีทั้งหมดต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เผลอๆ ยากกว่าการฝึกม้าเพื่อออกรบเสียด้วยซ้ำ
ผู้เล่นต้องมีทักษะการขี่ม้า ความแข็งแกร่งทางกายภาพ กำลังใจ และการปรับตัว
“จะชนะก็ต่อเมื่อสามารถตีลูกให้เข้าประตูของฝ่ายตรงข้ามได้”
มู่ชิงเฉินอธิบาย “แต่จำไว้ว่า เจ้าไม่สามารถพุ่งชนอีกฝ่ายได้ ห้ามตีคู่ต่อสู้ด้วยไม้ตีคลี หรือขัดขวางม้าของคู่ต่อสู้ และห้ามสัมผัสลูกคลีด้วย ร่างกาย นี่เป็นข้อห้ามหลักๆ ของการเล่น ความขัดแย้งที่ไม่คาดคิดมักเกิดระหว่างการเล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เจ้าต้องปกป้องตัวเองด้วย”
เขาพูดโดยชี้ไปที่อุปกรณ์ป้องกันที่บ่าวถือมาพลางเอ่ย “อุปกรณ์ป้องกันมาถึงแล้ว สวมเอาไว้ แล้วลงสนามกัน”
กู้เจียวสวมสนับศอก สนับเข่า สนับฝ่ามือ แล้วเดินเข้าสนามกับมู่ชิงเฉิน
กู้เจียวลองเล่นทั้งสี่ตำแหน่งตามลำดับ และนางทำมันได้ดีทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือฝีมือการยิงเข้าประตูของกู้เจียว
มู่ชิงเฉินเป็นผู้ส่งลูกให้กู้เจียว แม้เขาจะถูกขัดจังหวะโดยอาจารย์อู่บ้าง แต่กระนั้นกู้เจียวก็รับได้ทุกลูกโดยไม่มีพลาดและยิ่งเข้าประตูได้อย่างสวยงาม และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือกู้เจียวสามารถยิงลูกจากระยะที่ไกลจนยากที่จะยิงให้เข้าประตูได้
ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
ท่วงท่านั้น สายตาที่เฉียบคมนั้น นี่มันนักเล่นตีคลีมือฉมังชัดๆ !
มู่ชิงเฉินควบม้ามาที่ข้างๆ กู้เจียวและมองด้วยสายตาจริงจัง “นี่เจ้าเพิ่งเล่นครั้งแรกจริงๆ รึ”
กู้เจียวพยักหน้า
มู่ชิงเฉินลังเลที่จะเอ่ย แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไป “ตอนที่เจ้ายิงลูกเมื่อครู่นี้ เจ้าดูช่ำชองมาก”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบออกไป “อ๋อ นี่คงเป็นพรสวรรค์ระดับตำนานสินะ”
มู่ชิงเฉิน “…”
การฝึกซ้อมช่วงบ่ายจบลงอย่างรวดเร็ว กู้เจียวได้เล่นตีคลีเป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับมู่ชิงเฉินที่เล่นตีคลีมาตั้งแต่เด็ก
อาจนำไปสู่การถูกปรับแพ้ได้
“การแข่งขันจะถูกจัดขึ้นในอีกเจ็ดวัน ช่วงนี้ตั้งใจซ้อมกันให้ดีๆ ล่ะ” อาจารย์อู่กล่าว
อาจารย์อู่คัดเลือกผู้เล่นทั้งหมดยี่สิบคน ผู้ที่ลงสนามจริงมีแค่สี่คนเท่านั้น ที่เหลือเป็นตัวสำรอง
ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป กู้เจียวจะต้องเข้าร่วมการซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียน โดยมีกู้เสี่ยวซุ่นคอยนั่งเฝ้าอยู่ขอบสนาม
ชั่วพริบตาเดียว ก็มาถึงวันก่อนแข่งหนึ่งวัน
อาจารย์อู่เรียกทุกคนไปที่สนามและประกาศผู้เล่นที่ได้รับเลือกตามประสิทธิภาพการฝึกซ้อมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้เล่นคนแรกที่อาจารย์อู่ประกาศคือมู่ชิงเฉิน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด
ส่วนอีกสามคนที่เหลือได้แก่ กู้เจียว หยวนเซียวจากห้องหมิงเฟิงถัง และจ้าวเวยจากห้องหมิงเย่ว์ถัง
มู่ชวนได้เป็นตัวสำรอง
ขณะเดียวกัน กู้เสี่ยวซุ่นจากที่เคยมานั่งรอกู้เจียวซ้อมทุกวันจนได้ผันตัวเข้ามาเป็นหัวหน้างานสนับสนุนเบื้องหลัง และจะได้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย
อาจารย์อู่เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “วันนี้พวกเราคงไม่ต้องซ้อมกันแล้วล่ะ ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันให้ดี พร้อมออกเดินทางไปยังสำนักบัณฑิตหลิงโปในรุ่งเช้าของพรุ่งนี้”
…
พอกู้เจียวกลับไปที่เรือน เล่าเรื่องที่ตัวเองจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อแข่งขันตีคลีม้าให้ทุกคนได้ทราบ
กู้เหยี่ยนพอได้ยินดังนั้นก็รีบเสนอตัว “ข้าอยากไปดูเจ้าแข่งด้วย”
กู้เจียวหันไปมองกู้เหยี่ยน ก่อนตอบ “ได้สิ”
ก่อนนอน กู้เจียวตรวจร่างกายให้กู้เหยี่ยนอีกรอบ การตรวจร่างกายเช้าเย็นให้กู้เหยี่ยนจึงกลายเป็นกิจวัตรของกู้เจียวไปโดยปริยาย
กู้เหยี่ยนเอนตัวลงบนเตียง เลิกเสื้อขึ้นเพื่อให้กู้เจียวใช้เครื่องช่วยฟังตรวจร่างกายของเขา
อาการของเขาถือว่ากำลังทรงตัวดี ให้เขาไปดูการแข่งขันในวันพรุ่งนี้คงไม่เป็นปัญหาใหญ่นัก
พอตรวจเสร็จ กู้เจียวก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง เก็บอุปกรณ์เข้ากล่องยา นอนลงบนเตียง แล้วหลับตา พาตัวเองเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
กู้เจียวคาดไม่ถึงว่าคืนนี้นางจะฝันอีกครั้ง
ที่ต้องบอกว่าอีกครั้ง นั่นก็เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เจียวฝันตั้งแต่มาอยู่ที่เมืองเซิ่งตูแห่งนี้ จะติดก็แค่พอตื่นมาก็ลืมตลอดว่าเมื่อคืนฝันอะไร
ในภาพฝันครั้งนี้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีเทาขมุกขมัว
กู้เจียวยืนอยู่บริเวณลานนอกตำหนักอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีประตูสีแดงที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเล็กน้อยราวกับเกิดจากเด็กซนใช้ปลายมีดมาขูดมัน
ที่จริงมันอาจเกิดจากหลายสาเหตุก็เป็นได้ เช่นบ่าวรับใช้ไปเผลอชนประตูเป็นรอยขณะเคลื่อนย้ายสิ่งของก็เป็นได้ น่าแปลกที่ทำไมกู้เจียวถึงคิดแต่เพียงว่ารอยนั้นเกิดจากฝีมือของเด็ก
กู้เจียวผลักประตูบานนั้น แล้วเดินเข้าไป
บริเวณรอบๆ มีต้นไผ่สีเขียวเป็นพวงปลูกอยู่ที่มุมด้านซ้าย มีดอกระฆังปลูกเป็นแถวทั้งสองด้านติดกับผนังกำแพงที่กำลังส่งเสียงกรอบแกรบยามลมพัดโชย
เป็นตำหนักที่ดูแปลกใหม่แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยในคราวเดียวกัน
ที่รู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะกู้เจียวไม่เคยมาที่นี่ กระนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยกับที่ทางของตำหนักแห่งนี้
เริ่มต้นจากฝั่งตะวันออกของทางเดิน ห้องแรกที่เจอคือห้องรับแขก ห้องที่สองคือห้องทำงาน ห้องที่สามคือห้องอ่านหนังสือ และบริเวณหัวมุมคือห้องเก็บของ
กู้เจียวมองห้องแต่ละห้องที่เรียงรายตรงหน้าด้วยความประหลาดใจดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องหนังสือ
“อินอิน ถึงเวลาฝึกเขียนอักษรแล้ว รีบมาเร็วเข้า”
“อย่าเอาแต่อู้นะ ไอ้หยา เล่นซ่อนแอบอีกแล้วรึนี่”
“ทุกวันต้องเขียนให้ได้หนึ่งร้อยคำนะ ต้องให้บอกอีกกี่หนกัน”
เจ้าของเสียงนี้…
ขณะที่กู้เจียวกำลังรู้สึกสับสน ประตูห้องอ่านหนังสือถูกเปิดออก ปรากฏร่างชายในชุดคลุมสีน้ำเงินเดินก้าวเท้าออกมา
กู้เจียวจำเขาคนนี้ได้ในทันที
เขาคือ ท่านกั๋วกง
กั๋วกงในความฝันที่เห็นอยู่ตอนนี้แลดูหนุ่มแน่นและภูมิฐาน ซึ่งต่างจากกั๋วกงวัยกลางคนที่ใบหน้าซีดเซียวนอนอยู่บนเตียงอย่างสิ้นเชิง
กู้เจียวเองก็ไม่รู้ตัวว่าเหตุใดถึงจำเขาได้ในทันทีที่เห็น
รู้เพียงแค่ว่าพอเห็นแล้วก็นึกถึงเขาในทันที
“อินอิน”
ชายหนุ่มเริ่มเดินไปทีละห้อง
“อินอิน เลิกซ่อนได้แล้ว ถึงเวลาเขียนอักษรแล้วนะ”
“เอาละ ไม่เรียนก็ได้ เราไปเล่นกันดีกว่า ออกมาเถอะ อินอิน”
“อินอิน”
“อินอิน!”
“อินอินอยู่ไหน!”
น้ำเสียงของกั๋วกงในวัยหนุ่มเริ่มสั่นเครือ
“อินอิน อย่าแกล้งพ่อสิลูก รีบออกมาเร็วเข้า!”
“อินอินอยู่ไหน อินอิน”
“อินอิน รีบออกมาเร็วเข้า! พ่อคิดถึงเจ้าแล้วนะ”
นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา กั๋วกงยังคงร้องเรียกหาบุตรสาวด้วยน้ำเสียงสะอื้นและสั่นเครือ “อินอิน…อินอิน…ลูกอยู่ที่ไหน พ่อคิดถึงลูก อินอิน…”
เขาเดินโซเซและล้มลงบนบันได
กู้เจียวเอื้อมมือออกไปช่วยโดยไม่รู้ตัว
นางยืนอยู่ตรงที่ประตู ขณะที่เขาอยู่บนบันได
แต่สุดท้าย กู้เจียวก็ตัดสินใจถอนมือลง
แต่จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปทางประตู “อินอิน!”
หัวใจของกู้เจียวเต้นแรง ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน
ความทรงจำในฝันนั้นเริ่มเลือนหายไปราวกับสายน้ำ และในไม่ช้ากู้เจียวก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในความฝัน หลงเหลือเพียงใบหน้าที่ตื่นตระหนกของชายหนุ่ม
“ใบหน้านั้น คล้ายกับท่านกั๋วกงเลย”
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น
อาจเป็นเพราะนางไปเจอเขาบ่อยเกินไป ก็เลยเก็บมาฝันอย่างนั้นรึ