สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 649-2 ใจใหญ่ (2)
บทที่ 649 ใจใหญ่ (2)
การแข่งในรอบต่อมา กู้เจียวเลือกที่จะเล่นงานหนานกงหลินซึ่งๆ หน้า ลูกไหนที่หนานกงหลินต้องรับ กู้เจียวก็จะเข้าไปสกัดทุกทาง แต่พอเป็นสวี่ผิงได้ลูก กู้เจียวกลับไปยุ่งอะไรและมองดูเขาเล่นท่าอย่างหน้าตาเฉย อีกทั้งไม่ยอมให้ฝ่ายเดียวกันเข้าไปแย่งลูกด้วย
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ทุกครั้งที่สวี่ผิงทำประตู แววตาของกู้เจียวก็พลันส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
จากนั้น กู้เจียวก็จะทำท่าตามที่เพิ่งได้เรียนรู้มาจากสวี่ผิง
สวี่ผิงเริ่มหน้าเสีย!
“กรรมการ!” เขาตะโกนเรียก
“เลียนแบบท่าไม่ได้เลยรึ” กู้เจียวเอ่ยถามด้วยท่าทีใสซื่อ
กรรมการถึงกับพูดไม่ออก
ที่จริง ก็ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องนี้แต่อย่างใด
“เจ้าเองก็เรียนรู้ท่าจากข้าได้นะ” กู้เจียวเอ่ยกับสวี่ผิงอย่างมั่นอกมั่นใจ
สวี่ผิงแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
ให้ข้าเรียนอะไรจากเจ้า
เจ้าไก่อ่อน!
ทว่าเจ้าไก่อ่อนหน้าหนาผู้นี้แหละที่เรียนรู้ท่าไม้ตายของสวี่ผิงมาจนหมด
แม้แต่กรรมการเองก็ทนดูแทบไม่ได้
เจ้าสำนักเสินเองก็ได้รับเสียงวิพากษ์และคำดูถูกจากเจ้าสำนักอื่นๆ เขายกมือขึ้นกุมหัว ก่อนจะโต้กลับ “เหอะ แน่ แน่จริงก็ให้เด็กของพวกเจ้าทำบ้างสิ”
ก็ขโมยกันซึ่งๆ หน้านี่แหละ ใครมันจะทำไม!
คิดเหรอว่าทำได้ง่ายๆ ! ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้สักหน่อย!
แล้วเจ้าเด็กนี่มันบ้ามาจากไหนกันนะ!
พอถึงตอนที่สวี่ผิงเปิดลูก จู่ๆ เขาก็คันจมูกและจามออกมา
ต่อมา กู้เจียวเองก็จามตามเขาเช่นกัน
ทุกคนที่เห็น “…”
หมดรอบที่หก ทั้งคู่เสมอกันที่สิบเจ็ดต่อสิบเจ็ด
กู้เจียวทำประตูได้ไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่นางจะส่งลูกให้มู่ชิงเฉิน แต่กู้เจียวก็ยังคงเป็นจุดสนใจของผู้ชมเพราะความหน้าไม่อายของนาง
“เขาทำไปได้ยังไง”
เด็กสาวที่มาด้วยกันกับเซียวเหิงเอ่ยขึ้น
เด็กสาวอีกคนจึงตอบกลับไป “แต่ข้าดีใจนะที่ได้เห็นท่านชายมู่ชิงเฉินทำประตูได้”
เด็กสาวคนที่สามหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยเสริม “นั่นสิ พวกเขาเล่นได้ดีมาก! เข้าขากันสุดๆ !”
เซียวเหิงเริ่มหน้าเสีย
ใต้เท้ารองจิ่งที่อยู่ถัดไปก็ไม่ต่างกัน ยังคงตะลึงกับวิธีการขโมยวิชาซึ่งหน้าของกู้เจียว ตั้งแต่เขาดูการแข่งมาก็ไม่เคยเห็นใครทำอะไรพิสดารเช่นนี้มาก่อน
“พี่ใหญ่เห็นหรือไม่ เจ้าเด็กนั่น…ไอ้หยา ตกใจหมดเลย!”
ขณะที่ใต้เท้ารองจิ่งกำลังพูดอยู่นั้น พอหันไปมองพี่ใหญ่อีกที ก็เห็นว่าพี่ใหญ่กำลังลืมตาอยู่ ดวงตาของเขาทั้งเปิด ทั้งดูสดใสมาก ใต้เท้ารองจิ่งตกใจมากจนแทบจะหงายหลังล้มลงกับพื้น!
คาดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะลืมตาขณะที่เขากำลังบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว นี่มันช่าง น่าขนหัวลุกเหลือเกิน
“เดี๋ยวนะ”
“พี่ใหญ่ลืมตาตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยส่งเสียงบอกหน่อยสิ…แต่ว่า พี่ใหญ่ส่งเสียงไม่ได้นี่นา…ช่างเถอะ” ใต้เท้ารองจิ่งพยายามตั้งสติแล้วกลับมานั่งดังเดิม
สภาพพี่ใหญ่ของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนตาย จะพูดอะไรไปก็คงไม่รับรู้หรอก
บางครั้งเขาก็ลืมตาขึ้น แต่มันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ และในความเป็นจริงเขาไม่สามารถมองเห็นได้เลย
เรื่องพวกนี้เขาก็พอจะรู้อยู่
“พี่ใหญ่ ร้อนไหม ข้าช่วยพัดให้เอาไหม”
เอ่ยจบก็พลางหยิบพัดขึ้นมาแล้วโบกที่ด้านหน้าของพี่ใหญ่
กั๋วกงถูกพัดบังสายตาเต็มๆ
ขณะที่พัดๆ อยู่ จู่ๆ ใต้เท้ารองก็เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ราวกับกำลังถูกจ้องด้วยสายตาอาฆาต
การแข่งขันรอบที่เจ็ดได้เริ่มขึ้น
รอบนี้สวี่ผิงค่อนข้างระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่รู้เป็นเพราะเขาแสดงวิชาออกมาหมดแล้วหรือไม่อยากเผยวิชาให้กู้เจียวได้เห็นอีกกันแน่
เขานึกว่าครั้งนี้กู้เจียวจะเล่นอย่างระวังเหมือนกับเขา
แต่เปล่าเลย เขาคิดผิด
กู้เจียวเลือกที่จะเรียนรู้แค่ท่าไม้ตายเท่านั้น!
จากนั้นสำนักบัณฑิตเทียนฉงก็เริ่มรุกหนักขึ้น จนคว้าธงมาได้สองอันรวด
“เปลี่ยนคน” ฝ่ายชิงเย่ว์ขอให้หยุดการแข่งเพื่อเปลี่ยนตัวผู้เล่น
หนานกงหลินและผู้เล่นคนอื่นๆ จึงเข้ามาที่ห้องพัก “พวกเจ้าเล่นอะไรกันอยู่ เหตุใดถึงไม่ยอมรุกเล่า” อาจารย์ของชิงเย่ว์ถามขึ้น
สวี่ผิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“สวี่ผิง เจ้าไปพักก่อน ไว้ค่อยขึ้นตอนรอบสุดท้าย” อาจารย์เอ่ยกับเขา
“ขอรับ” สวี่ผิงขานรับ
ผู้เล่นที่ขึ้นแทนก็ถือว่ามีทักษะการเล่นที่ดี และถนัดการเป็นกองหลังมากกว่า หนานกงหลินจึงต้องรับหน้าที่เป็นกองหน้าแทนสวี่ผิง
เขาหันไปมองกู้เจียวที่อยู่บนสนามด้วยสายตาอำมหิต
เขาจะไม่ยอมให้เจ้านั่นได้ใจเป็นอันขาด แล้วเขาจะต้องชนะให้ได้
“ข้าขอตัวไปห้องน้ำก่อน” เขาเอ่ยกับอาจารย์
“ไปสิ เร็วหน่อยนะ ต้องขึ้นแข่งแล้ว” อาจารย์เตือนเขา
“ขอรับ”
หนานกงหลินเดินออกจากบริเวณห้องพัก
และทันทีที่เขาดีดนิ้ว ก็มีร่างของทหารองครักษ์ลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับประสานมือให้เขา “ท่านชาย!”
“ข้าอยากให้มันตกจากหลังม้า” หนานกงหลินพูดขึ้นพร้อมกับหันไปทางกู้เจียวด้วยสายตาเลือดเย็น
“คือว่า…” องครักษ์ลับทำท่าลังเล
“อะไรกัน ทำไม่ได้รึ” หนานกงหลินตะคอกเสียง
องครักษ์จึงรีบประสานมือ “ทำได้ขอรับ!”
“ดีมาก! จำไว้นะ ทำให้ดูเหมือนเจ้านั่นมันตกลงมาจากม้าเอง เอาให้แยบยลที่สุด อย่าให้ใครจับได้เป็นอันขาด”
“รับบัญชาขอรับ!”
หมดเวลาพัก ผู้เล่นทุกคนต่างประจำที่สนาม
หนานกงหลินยืนอยู่ในตำแหน่งของผู้โจมตีหลัก มู่ชิงเฉินจึงเอ่ยเตือนกู้เจียว “ระวังตัวด้วย”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“อืม” กู้เจียวขานตอบเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
การแข่งขันได้เริ่มขึ้น ชิงเย่ว์เป็นฝ่ายเปิดลูก กู้เจียวควบม้าตามหลังหนานกงหลิน
ดูเหมือนหนานกงหลินจะไม่รีบส่งลูกต่อ เขายังคงเลี้ยงลูกไปเรื่อยๆ เพื่อล่อให้กู้เจียววิ่งไปใกล้บริเวณที่องครักษ์ลับของเขายืนอยู่
บริเวณรอบๆ สนามมีผู้คนที่จองที่นั่งบนอัฒจันทร์ไม่ได้ยืนดูการแข่งขันอยู่เป็นจำนวนมาก และองครักษ์คนนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในผู้ชมกลุ่มนั้น
ทุกคนมัวแต่สนใจการแข่งขัน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในมือของเขากำลังถือก้อนหินไว้อยู่
ในตอนนั้นเอง ใต้เท้ารองจิ่งก็กำลังเกาะราวและดูการแข่งขันอย่างดุเดือด โดยมีพี่ใหญ่อยู่ข้างๆ ซึ่งเขาเข็นรถของพี่ใหญ่ให้มาอยู่ใกล้ราวอัฒจันทร์แล้ว
หากพวกเขามองไปที่ผู้ชมฝั่งตรงข้ามด้านล่าง ก็จะเจอกับองครักษ์ลับที่กำลังถือก้อนหินอยู่ในมือ แต่ในเมื่อการแข่งขันกำลังดำเนินอยู่ จะมีใครสนใจเขากัน
ทันใดนั้น มือของกั๋วกงก็เริ่มสั่นเบาๆ
“เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า! รีบตามไปเร็ว! ทีตอนต่อยคนเก่งนี่นัก ทีตอนนี้ทำไมถึงปวกเปียกเสียแล้วล่ะ!”
ใต้เท้ารองจิ่งตะโกนไล่หลังให้กู้เจียว โดยไม่ได้สนใจพี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เลย
คราวนี้ร่างกายของกั๋วกงเริ่มมีอาการสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ใต้เท้ารองขอรับ! ท่านกั๋วกงเขา…” บ่าวรีบทักขึ้นหลังจากที่เห็นอาการผิดปกติของกั๋วกง
ใต้เท้ารองจิ่งจึงรีบหันมาหาพี่ใหญ่ แล้วเขาก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่ใหญ่มีอาการสั่นเช่นนี้ เขารีบย่อตัวลงแล้วจับที่รถเข็นของพี่ใหญ่ “เกิดอะไรขึ้นพี่ใหญ่ ไม่สบายตรงไหนรึ”
ริมฝีปากของกั๋วกงเริ่มขยับ ราวกับต้องการจะเอ่ยอะไร
“สงสัยเป็นเพราะการแข่งขันรอบนี้ดุเดือดเกินไป พี่ใหญ่เลยไม่ชอบใช่หรือไม่ ขอดูต่ออีกสักหน่อยได้ไหมพี่ใหญ่ อีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” ใต้เท้ารองจิ่งเอามือเกาหัวตัวเอง
หนานกงหลินวิ่งบี้กู้เจียวจนมาถึงรอบนอก
องครักษ์ลับกำลังจะลงมือแล้ว
ท่านกั๋วกงเริ่มสั่นหนักกว่าเดิม แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด
นี่พี่ใหญ่โกรธอยู่ใช่ไหม
ใต้เท้ารองจิ่งสับสนและไม่รู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องหรือไม่ เขาพยายามคิดอย่างหนักว่าเพราะอะไร
เขาจึงตัดสินใจยืนขึ้น และเข็นรถเข็นของพี่ใหญ่พลางถอนหายใจ “เอาละ ถ้าไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู ข้าจะพากลับเดี๋ยวนี้!”
คราวนี้กั๋วกงตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม
ใต้เท้ารองจิ่งเริ่มรู้สึกราวกับว่าพี่ใหญ่ต้องการจะฆ่าเขาอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงหลินเริ่มวิ่งช้าลง เพื่อให้องครักษ์ลับเล็งได้อย่างแม่นยำ
พอกู้เจียวมาหยุดอยู่ตรงจุดที่เหมาะแก่การโจมตี องครักษ์ลับก็จัดการยิงก้อนหินออกไปยังเป้าหมาย
เขาเล็งก้อนหินไปยังบริเวณจุดสำคัญที่เอว แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เป็นอัมพาตไปได้ครึ่งซีกชั่วคราว
และแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
จู่ๆ กู้เจียวเลือกที่จะโน้มตัวลงเพื่อแย่งลูกกลับมา
องครักษ์ลับเริ่มหน้าเสีย ก้อนหินเจ้ากรรมบินผ่านแผ่นหลังของกู้เจียวไปในพริบตา และพุ่งชนเข้ากับหนานกงหลินที่อยู่ด้านข้างเต็มๆ
หนานกงลินไม่มีแรงแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตไปชั่วขณะจนร่วงตกจากหลังม้าทันที!
ด้วยความที่หนานกงหลินจงใจลดความเร็วลง ทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ตามเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว
ซึ่งก็คือมู่ชวนและผู้เล่นของชิงเย่ว์
ม้าของมู่ชวนวิ่งไม่เร็วเท่าผู้เล่นของอีกฝ่ายก็จริง แต่เป็นเพราะบัณฑิตสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์นั้นวิ่งมาเร็วเกินไป ดังนั้นจะรั้งไว้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
ผู้เล่นของชิงเย่ว์เห็นม้าของตนเหยียบลงบนร่างของหนานกงหลินต่อหน้าต่อตา!
สิ้นเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึง ก็พบว่ากระดูกซี่โครงหน้าอกและกระดูกขาของหนานกงหลินถูกบดขยี้อย่างเหี้ยมโหด!