สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 651 เอาคืน
บทที่ 651 เอาคืน
ทุกคนที่ได้เห็นกั๋วกงต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า ท่านกั๋วกงเป็นอัมพาตมิใช่หรือ แล้วที่เห็นอยู่นี่คืออะไร อาการเริ่มดีขึ้นแล้วอย่างนั้นรึ
เรื่องอาการของท่านกั๋วกงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีหมอมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาที่จวนกั๋วกงเพื่อทำการรักษา อีกทั้งไม่นานมานี้ก็ได้ยินว่าพวกเขาเชิญหมอเทวดาจากแคว้นเฉินมาช่วยทำการรักษาด้วย
หรือว่า หมอเทวดาที่ว่านั้นเป็นเทวดากลับชาติมาเกิดจริงๆ
กู้เสี่ยวซุ่นผู้ซึ่งไม่เคยได้ยินเรื่องราวของกั๋วกงมาก่อนและคิดว่ากั๋วกงเป็นแค่คนธรรมดาสามัญก็ยืดคอชะเง้อมองเข้าไปในรถม้า แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “ลิ่วหลัง สภาพเขาดูย่ำแย่มาก จะเข้าไปดูอาการเขาหน่อยไหม”
ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเซียวเหิงและกู้เจียวสลับกันใช้ชื่อของอีกฝ่าย กู้เสี่ยวซุ่นจึงต้องเรียกพี่สาวของเขาด้วยชื่อของพี่เขยอย่างเป็นกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกล่วงรู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพวกเขา
กู้เหยี่ยนเองก็มองตามเข้าไปเช่นกันจนหัวของพวกเขาแทบจะติดกัน
เขาย่นคิ้วแน่นขณะที่มองร่างของกั๋วกงสลับกับหันมาหากู้เจียว
จากนั้นกู้เจียวก็ลงจากม้า
คนอื่นไม่รู้เรื่องที่กู้เจียวมีความรู้ด้านการแพทย์ พอเห็นกู้เจียวเดินตรงเข้าไปหาท่านกั๋วกงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
นี่เขาคิดจะทำอะไร
หลังจากที่ใต้เท้าจิ่งล้มไม่เป็นท่าอยู่สักพักก็เริ่มได้สติกลับมา เขาพยายามลุกขึ้นแล้วรีบเอาตัวเข้าไปขวางกู้เจียว
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ล้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มา ข้าช่วยเอง!”
ว่าแล้วใต้เท้ารองจิ่งก็อวดลำแขนอันทรงพลังให้พี่ใหญ่ของเขาได้ดู แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นสายตาอำมหิตของพี่ใหญ่แทน
จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นร่างของกั๋วกงก็ถูกผู้เป็นน้องอุ้มวางบนเก้าอี้รถเข็น
ขณะที่กู้เจียวกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า
ใต้เท้ารองจิ่งยื่นมือออกมาขวาง เอ่ยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าจะขึ้นมาทำอะไร”
เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้าเด็กคนนี้ที่พร้อมจะโจมตีผู้อื่นอยู่เสมอ และเขาจะไม่ปล่อยให้คนพรรค์นี้เข้าใกล้พี่ใหญ่เด็ดขาด!
“ข้าจะตรวจอาการให้เขา” กู้เจียวตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เจ้า หมอเก๊! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแตะตัวพี่ใหญ่ของข้าเด็ดขาด!” ใต้เท้ารองโต้กลับทันควัน
และแล้ว เขาก็รับรู้ได้ถึงสายอำมหิตจากพี่ใหญ่ของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
ใต้เท้ารองจิ่งขยี้จมูกตัวเองด้วยความโกรธและกระซิบบอกพี่ใหญ่ “ไม่ต้องกลัวไปนะพี่ใหญ่ ข้าไม่ปล่อยให้เขาขึ้นรถม้าหรอก”
สายตาอำมหิตจากพี่ใหญ่ครั้งที่สาม
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร แค่เหลือบมองใต้เท้ารองจิ่งอยู่เงียบๆ
“เพราะเห็นแก่หน้าของท่านชายชิงเฉินหรอกนะ ข้าจะยอมให้เจ้าช่วยตรวจร่างกายให้พี่ใหญ่ก็ได้” ในที่สุดเขาก็ยอมแต่โดยดีหลังจากถูกกดดันจากสายตาอำมหิตรอบด้าน
กู้เจียวเดินขึ้นไปบนรถม้า
“หลีกหน่อย” กู้เจียวเอ่ยกับใต้เท้ารอง “ท่านบังแสงข้าอยู่”
“นี่มันรถม้าของข้านะ เหตุใดข้าต้อง… อะๆ กระเถิบให้ก็ได้!” ใต้เท้ารองจิ่งยอมเดินลงจากรถม้าอย่างวางมาด
“เจ้าเองก็ลงมาด้วย!”
เขาสั่งสารถีให้ลงจากรถด้วยกัน
เพื่อจะได้ไม่รู้สึกถูกไล่อยู่คนเดียว
“เสี่ยวซุ่น หยิบกล่องปฐมพยาบาลมาให้เร็วเข้า” กู้เจียวเอ่ย
“รับทราบ!” กู้เสี่ยวซุ่นหยิบชุดปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋า กระโดดลงจากรถม้าแล้วยื่นให้กู้เจียว
กู้เจียวไม่ได้พกกล่องยาออกมา แต่ก็มีชุดปฐมพยาบาลติดตัวไว้ในกรณีฉุกเฉิน ประกอบไปด้วยยาฉุกเฉิน ไฟฉาย และเข็มเงิน
นางวัดชีพจรให้กั๋วกงก่อน จากนั้นจึงเปิดไฟฉายขนาดเล็กและฉายแสงไปที่ม่านตา
ด้วยความที่ร่างของกู้เจียวได้บดบังทุกกระบวนการตรวจ ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกไม่เห็นว่านางใช้วิธีอะไรในการตรวจอาการให้ท่านกั๋วกง ทว่าดูแล้วก็คงชำนาญไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันไปถามกู้เหยี่ยน “เซียวลิ่วหลังรู้วิธีการรักษาด้วยหรือ”
“ใช้ได้ทีเดียวเลยล่ะ” กู้เหยี่ยนตอบเขาขณะที่กำลังนั่งเอามือเท้าหน้าต่างรถม้า
“เช่นนั้นคราวก่อน…” มู่ชิงเฉินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่กู้เจียวเข้าไปดูอาการให้กับท่านกั๋วกง ซ้ำยังบอกว่ามู่หรูซินฝังเข็มไม่ถูกจุด แปลว่าที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ
หากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่ามู่หรูซินไม่ได้เก่งอะไรสินะ
ในเมื่อไม่ได้เก่ง แล้วอาการของกั๋วกงจะดีขึ้นได้อย่างไร
ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัวของเขาในเวลาอันสั้น
มู่ชวนและคนอื่นๆ ต่างพากันตกตะลึง
“ไม่ยักรู้ว่าเสี่ยวลิ่วรู้เรื่องการแพทย์ด้วย”
เสี่ยวลิ่วรึ
กู้เสี่ยวซุ่นเองก็ไม่ยักรู้ว่าพี่สาวของเขาได้ชื่อเล่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
รูม่านตาของกั๋วกงเริ่มเปิดกว้างและเกิดปฏิกิริยากับแสง อีกทั้งการสะท้อนของกระจกตาก็ดูปกติดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขาไม่ได้กระตุกใบหน้าโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยเขาไม่ได้อยู่ในร่างของเจ้าชายนิทราอีกต่อไป
คราวก่อนที่นางพันผ้าพันแผลให้เขา ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้เล็กน้อยผ่านทางนิ้วมือของเขา แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้
กู้เจียวค่อนข้างมั่นใจว่าร่างกายของกั๋วกงกำลังฟื้นตัว
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าสาเหตุที่อาการของเขาดีขึ้นเป็นเพราะการรักษาของมู่หรูซินหรืออย่างอื่นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การทำงานของร่างกายและการตอบสนองของเส้นประสาทยังไม่สมบูรณ์นัก อันเป็นผลสืบเนื่องที่เกิดจากความเสียหายของสมอง กู้เจียวยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเขาจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นคนปกติอย่างเดิมได้หรือไม่
หลังจากเก็บขยะที่ติดเชื้อแยกถุงเสร็จ กู้เจียวก็ทำการเก็บกระเป๋าแล้วเตรียมจะลงจากรถม้า ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ทันใดนั้น กู้เจียวรู้สึกได้ถึงแรงเหนี่ยวรั้งเล็กน้อยจากอีกฝ่าย
หันกลับไปก็พบว่ากั๋วกงกำลังใช้นิ้วที่สั่นกระตุกอย่างแรงคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้
ที่น่าแปลกใจก็คือ กู้เจียวสามารถปฏิเสธการเหนี่ยวรั้งของเขาและเดินลงจากรถไปได้อย่างง่ายดาย แต่นางกลับไม่ทำ
กู้เจียวขมวดคิ้วเป็นปม
“มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือไม่” กู้เจียวเอ่ยถามเขา
กั๋วกงพูดไม่ได้ จึงได้แต่ใช้มือรั้งไว้
กู้เจียวตรวจร่างกายให้เขาอีกครั้ง พละกำลังของเขาแทบจะหมดแล้ว นิ้วมือสั่นสะท้านแต่พยายามทนไว้สุดแรง
กู้เจียวไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดว่าอาจเป็นอาการกล้ามเนื้อกระตุกกะทันหัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กู้เจียวก็ก้มหยิบลูกกวาดขึ้นมาจากกล่องปฐมพยาบาล กางมือของกั๋วกงออกแล้ววางลูกกวาดไว้เพื่อให้เขาได้ใช้แรงมือในการกำมันไว้
…
หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขัน ทั้งผู้เล่นและผู้ชมต่างทยอยกันออกจากสนาม
เซียวเหิงไม่ชอบเดินเบียดเสียดกับผู้คน จึงบอกให้เด็กสาวสามคนที่มาด้วยกันออกไปก่อน
“แปลกจัง ไม่เห็นจะรีบเหมือนตอนขามาเลย อย่าบอกนะว่า…แอบนัดใครไว้น่ะ”
หนึ่งในเด็กสาวเอ่ยขึ้นในวงนินทา
เซียวเหิงไม่สนใจ ยังคงก้มหน้าก้มตาจิบน้ำชา
เด็กสาวเริ่มเบะปาก “เหอะ เย็นชาเสียเหลือเกิน ช่างเถอะ พวกเราไปกันดีกว่า!”
“ข้าก็นึกว่าพอได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบนี้แล้วจะสนิทกันมากขึ้นเสียอีก”
“คนอย่างนางไม่ลดตัวลงมาอยู่กับพวกเราหรอก”
เด็กสาวทั้งสามบ่นอุบอิบระหว่างที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์
เสี่ยวจิ้งคงคว้าราวบันไดด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับยื่นหัวเล็กๆ ของเขาออกไปตรงช่องว่างระหว่างราวบันไดแล้วถอนหายใจ
“เจียวเจียว”
เขายังไม่ได้พูดคุยกับเจียวเจียวเลย คิดถึงชะมัด
อีกตั้งสิบวันกว่าจะปิดเทอม
การเรียนหนังสือเหมือนยาขมสำหรับเด็กน้อยเสมอ
พอเห็นว่าผู้คนเริ่มออกไปกันหมดแล้ว เซียวเหิงจึงตัดสินใจลุกขึ้น ก่อนจะจูงมือเจ้าตัวเล็กเพื่อเตรียมตัวออกจากที่นี่
“ช้าก่อนเจ้าค่ะ แม่นางกู้”
สาวใช้เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้
อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่ยอมเรียก ดันเกิดนึกอยากมาเรียกตอนวินาทีสุดท้าย ซ้ำยังเป็นตอนที่ทุกคนเดินออกไปแล้วด้วย
ต้องมีอะไรแน่ๆ
เซียวเหิงหันไปทางสาวใช้พร้อมกับส่งสายตาฉงน
สาวใช้ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ “วันนี้ท่านชายมาที่นี่ก็จริง เพียงแต่เขาไม่ได้มาปรากฏตัวที่อัฒจันทร์ นี่ก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ท่านชายต้องการเชิญแม่นางกู้ไปสังสรรค์ด้วยกันที่ริมทะเลสาบเจ้าค่ะ”
จากนั้นเซียวเหิงหันไปหาเสี่ยวจิ้งคง
เจ้าตัวเล็กหยิบกระดาษและดินสอออกมาอย่างรู้งานพร้อมกับทำท่าอิดออด
ทำตัวเหมือนกับกู้เจียวไม่มีผิด
เซียวเหิงเขียน ‘ท่านชายของเจ้าคือใคร’
“พอแม่นางไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มหวาน
“ริมทะเลสาบน่าไปรึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม
“น่าไปสิเจ้าคะ ที่นั่นตกปลาได้ ชมไฟได้ ไปจุดโคมลอยก็ได้นะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
เจ้าตัวเล็กได้ยินดังนั้นก็เริ่มกระพือแขน “ข้าอยากไป! ข้าอยากไป!”
ทว่าเซียวเหิงหันไปหรี่ตาให้เขา ราวกับกำลังพูดว่า เหอะ ไม่ให้ไปหรอก
‘เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้ ถึงคราวที่ข้าต้องกลับแล้ว’ เขาเขียนบนกระดาษ
สาวใช้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะนางเองก็คงคาดไม่ถึงว่าแม่หญิงคนนี้จะไม่เห็นแก่น้ำใจของท่านชายเลยหลังจากที่ลงแรงลงทุนขนาดนี้
แต่ด้วยความที่สาวใช้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงพยายามพลิกสถานการณ์ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว อย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ ให้คนของเราไปส่งแม่หญิงกลับสำนักบัณฑิตสตรีนะเจ้าคะ”
ซึ่งมีระยะห่างแค่สองก้าวเท่านั้นน่ะหรือ
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าท่อนขาของเซียวเหิงพร้อมกับโอดครวญ “ข้าเดินไม่ไหวแล้ว เจ้าอุ้มข้ากลับได้ไหม”
สุดท้ายเขาจึงยอมนั่งรถม้าที่สาวใช้จัดเตรียมไว้ให้
ท่านชายปริศนาผู้นี้คือใครกัน ถึงสามารถจองที่นั่งที่ดีสุดของสนามได้ แถมตลอดการแข่งก็แทบไม่ปรากฏตัวเลยด้วยซ้ำ ไหนจะเตรียมรถที่ดูภายนอกเผินๆ ก็เป็นแค่รถม้าทั่วไปแต่ข้างในกลับถูกตกแต่งอย่างหรูหราให้เข้ามารับพวกเขาถึงในสนามได้
พอลงจากอัฒจันทร์ เซียวเหิงก็ก้าวขึ้นรถม้าทันที
รถม้าทั้งคันทำจากไม้หนานมู่ทอง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าไม้มังกร ว่ากันว่าสามารถอยู่ได้นานนับพันปี องค์หญิงซิ่นหยางเองก็ชอบสะสมไม้ประเภทนี้
บริเวณรอบๆ มีทหารสี่นายคอยคุ้มกัน
เซียวเหิงไม่ใช่คนที่ดูออกว่าใครมีวิทยายุทธ์ แต่ทหารสี่คนนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกันกับทหารหลงอิ่งของแคว้นเจา
คงเป็นหน่วยกล้าตายของแคว้นเยี่ยนสินะ ดูแล้วเป็นยอดฝีมืออย่างไรอย่างนั้น
ที่เสี่ยวจิ้งคงบอกว่าเขาเดินไม่ไหวนั้นคือเรื่องจริง วันนี้เขาสนุกทั้งวันและไม่ได้งีบหลับตอนกลางวัน เขาก็โซเซไปพิงที่เซียวเหิงและฟุบหลับไปทันทีหลังจากขึ้นรถม้า
รถม้าออกเดินทางจากสำนักบัณฑิต
รถม้าเพิ่งออกตัวไปได้ไม่ทันไร เสียงของสาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านนอกรถม้าก็ดังขึ้น “ท่านชาย”
เหอะ
ไม่แนบเนียน ไปเรียนมาใหม่นะ
เซียวเหิงขมวดคิ้วมองใบหน้าที่เคลิ้มหลับของเจ้าตัวเล็ก หลับสบายขนาดนั้นเชียว
“ท่านชาย มาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” สาวใช้ยังคงต่อบท
เซียวเหิงยังคงนั่งนิ่ง แทบจะไม่ขยับลูกตาของขึ้นมามองแม้แต่นิด ยิ่งให้เขาเปิดม่านยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“อะแฮ่ม” ท่านชายปริศนาพยายามส่งเสียงกระแอม
ไม่รู้เป็นเพราะเขาส่งสัญญาณให้สาวใช้หรือไม่ ม่านของรถจึงถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเอ่ยกับเขา “แม่นางกู้ ท่านชายต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ม่านถูกเปิด ทำให้เซียวเหิงได้เห็นท่านชายปริศนาที่อยู่ในชุดผ้าแพร ขณะเดียวกันก็ทำให้ท่านชายผู้นั้นได้ยลโฉมสาวงามอันดับหนึ่ง
เซียวเหิงสวมผ้าคลุมหน้า บดบังรูปลักษณ์ทั้งหมดของเขา กระนั้นก็ยังเผยให้เห็นโครงหน้าสาวงามรำไร
เซียวเหิงเหลือบไปมองอีกฝ่ายแค่แวบเดียวก่อนจะเอามือดึงผ้าม่านลงอย่างไร้เยื่อใย!
สาวใช้ที่เห็นดังนั้นก็ตกใจจนเข่าทรุด
ท่านชายในชุดผ้าแพรไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด เขายกมือขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท แม่นางกู้โปรดยกโทษให้ด้วย”
เอ่ยจบ ท่านชายก็ถอยออกมาแล้วส่งสายตาให้สารถีเดินรถต่อ
รถม้าเริ่มเคลื่อนออกไป
“จวิ้นอ๋อง! แม่นางผู้นั้นไม่ให้เกียรติท่านเลย! ท่านทรงทำเพื่อนางขนาดนี้แล้ว! กระหม่อมได้ยินมาว่านางเป็นคนจากแคว้นล่างนะขอรับ!” ทหารผ้าแพรนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
หมิงจวิ้นอ๋องหัวเราะ มองตามรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป พลางตอบอย่างแน่วแน่ “หญิงงามก็เป็นแบบนี้แล มีความหยิ่งยโสเป็นธรรมดา ไม่เป็นไร ข้าทนได้”
น้ำเสียงที่เขาเอ่ยนั้นไม่ได้ดังมาก หากเป็นคนทั่วไปคงไม่มีทางได้ยิน ทว่าเซียวเหิงคือคนที่เกิดมาพร้อมกับประสาทหูที่ดี
เขาขมวดคิ้วแน่น
เขาคือจวิ้นอ๋องอย่างนั้นรึ
หากคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่เขาแต่เป็นกู้เจียว ย่อมต้องรู้ว่าท่านชายคนนั้นก็คือหมิงจวิ้นอ๋องที่ครั้งหนึ่งเคยมาที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง
“จวิ้นอ๋องขอรับ!”
เป็นเสียงของทหารยามนายหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
“กลับมาแล้วรึ” หมิงจวิ้นอ๋องถามเขา “หนานกงหลินล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“อาการไม่ค่อยดีขอรับ หลังจากกลับไปก็เอาแต่พูดว่าบัณฑิตเทียนฉงผู้นั้นเป็นคนทำร้ายเขา และขอให้ท่านจวิ้นอ๋องช่วยอยู่ข้างเขาด้วยขอรับ”
หมิงจวิ้นอ๋องครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบออกไป “เขาต้องการให้ข้ากำจัดเจ้านั่นรึ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ว่าเจ้านั่นเป็นสหายของมู่ชิงเฉิน เจ้าต้องเก็บกวาดให้สะอาดมากที่สุด อย่าเหลือร่องรอยอะไรไว้ และอย่าให้ชิงเฉินจับได้เป็นอันขาด”
“ขอรับ!” ทหารยามกำหมัดแน่น
เซียวเหิงเคาะประตูในทันที
สาวใช้หันมาถามเขา “มีอะไรหรือเจ้าคะแม่นางกู้”
เซียวเหิงยื่นกระดาษให้ ‘ข้าต้องการพูดคุยกับท่านชายของเจ้า’
สาวใช้เห็นดังนั้นดวงตาก็พลันลุกวาวและรีบให้สารถีวนรถกลับไป
หมิงจวิ้นอ๋องประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นรถม้าวนกลับมา
เซียวเหิงเปิดม่านรถออก พร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่เย็นชา
แม้จะดูไร้เยื่อใย แต่ก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ที่ถูกหญิงงามจ้องมองเช่นนี้
“แม่นางกู้มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
เซียวเหิงทำท่าลังเล
เมื่อเห็นความโศกเศร้าปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว หัวใจของเขาก็บีบแน่นโดยไม่รู้ตัว “แม่นางกู้… มีอะไรไม่สบายใจหรือไม่”
เซียวเหิงออกอาการกังวลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นกระดาษให้เขา ‘เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนยิ่ง สองจิตสองใจว่าจะบอกกับท่านดีหรือไม่’
“เชิญแม่นางกู้ว่าออกมาได้เลย” หมิงจวิ้นอ๋องเอ่ย
เซียวเหิงทำหน้าสับสนว้าวุ่น แล้วบรรจงเขียนว่า ‘ท่านชายเล็กของตระกูลหนานกงชอบมาวุ่นวายกับข้าอยู่เนืองๆ ’
สีหน้าหมิงจวิ้นอ๋องเริ่มหนักแน่น
หนานกงหลิน!
เซียวเหิงถอนหายใจ ขมวดคิ้วขมวดคลายอยู่นานสองนานพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดและทำอะไรไม่ถูก
จากนั้น เขาจึงเขียนต่อ ‘ช่างเถิด คิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ตระกูลหนานกงมีอิทธิพลขนาดนั้น ข้าไม่ควรให้ท่านมารับรู้ความลำบากใจของข้าแต่แรก’