CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 652 ยินยิน

  1. Home
  2. สามีข้าคือขุนนางใหญ่
  3. บทที่ 652 ยินยิน
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

บทที่ 652 ยินยิน

เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดเยอะ เอาแค่พอหอมปากหอมคอ ที่เหลือปล่อยให้คนฟังเอาไปปรุงแต่งเอง

เซียวเหิงพอเขียนเสร็จก็จากไป ปล่อยหมิงจวิ้นอ๋องให้อยู่กับอารมณ์ที่ขุ่นมัวไว้ที่เดิม

“จวิ้นอ๋องขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยทัก “ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ”

“คนอย่างข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ” หมิงจวิ้นอ๋องตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเขากำลังโกรธจัด ทหารนายนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจแสดงความคิดเห็นตัวเองออกมา “จวิ้นอ๋องขอรับ สิ่งที่นางเอ่ยอาจมิใช่เรื่องจริง ทรงอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมดนะขอรับ”

ด้วยความที่ทหารนายนั้นไม่ได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในตัวสามงามอันดับหนึ่งผู้นั้น จึงสามารถวิเคราะห์ปัญหานี้จากมุมมองที่เป็นกลางได้

ทว่าจวิ้นอ๋องกลับไม่คิดเช่นนั้น “เจ้าหมายความว่า นางกำลังโกหกข้าอย่างนั้นรึ”

“กระหม่อมแค่มองว่าควรระวังไว้เท่านั้นขอรับ” ทหารยามเอ่ย

หมิงจวิ้นอ๋องตะคอกกลับอย่างเย็นชา “นางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอจากแคว้นอื่น ไม่มีใครให้พึ่งพา เอาอะไรมากล้าที่จะใส่ร้ายตระกูลหนานกง นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น ใส่ร้ายคนอื่นจนไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเองไปเพื่ออะไร”

ชื่อเสียงของสตรีใหญ่ยิ่งกว่านภา

“หนานกงหลินก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าข้ามีใจให้นาง ยังคิดจะตีท้ายครัวข้ารึ ดีจริงๆ !”

“จวิ้นอ๋อง ให้กระหม่อมช่วยสืบให้ดีไหมขอรับ” ทหารยามเอ่ยขึ้น

หมิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คนอย่างหนานกงหลินไม่ปล่อยให้เจ้าสืบได้ง่ายๆ หรอก แอบเข้าหาสตรีของข้าลับหลังรึ ช่างกล้านัก ถ้าวันนี้แม่นางกู้ไม่มาบอกข้าคงไม่ทางรู้ได้”

ไม่แปลกที่หมิงจวิ้นอ๋องเลือกเชื่อคำพูดของเซียวเหิง แม่นางกู้กับหนานกงหลินไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน การที่อยู่ๆ จะมาใส่ร้ายกันคงเป็นไปได้ยากและแทบไม่มีผลดีต่อตัวแม่นางกู้แม้แต่นิด

หากเทียบกันแล้ว การที่หนานกงหลินเข้ามายุ่มย่ามกับแม่นางกู้ดูมีความเป็นไปได้มากกว่า

ขนาดคนระดับหมิงจวิ้นอ๋องยังหลงใหลไปกับความงามของแม่นางกู้ แล้วคนอย่างหนานกงหลินมีหรือจะรอด

และนั่นยิ่งทำให้หมิงจวิ้นอ๋องเลือกที่จะเชื่อเซียวเหิงมากกว่า

ทหารยามผู้ติดตามจวิ้นอ๋องมาอย่างยาวนาน เข้าใจอุปนิสัยของจวิ้นอ๋องเป็นอย่างดี มีบางเรื่องที่ทรงหลักแหลม แต่ย่อมไม่ใช่กับทุกเรื่องแน่

“เช่นนั้น…ให้กระหม่อมไป…” ทหารคนสนิทเอ่ยถามขึ้น

เขาเอ่ยพร้อมกับทำท่าปาดคอ

หมิงจวิ้นอ๋องแผดเสียง “ไม่ต้อง เรื่องของเขาก็ให้เขาจัดการเอง พวกเราไม่ต้องยุ่ง!”

“ขอรับ” ทหารยามคำนับ

หลังจากที่รถม้าเข้าจอดบริเวณนอกประตูสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน สาวใช้ค่อยๆ เปิดม่านให้เซียวเหิง “แม่นางกู้ ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

เขาลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะยื่นกระดาษที่เขียนเสร็จไว้แล้วให้สาวใช้ ‘ฝากบอกท่านชายของเจ้าด้วยว่าขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง’

…

กู้เจียวและคนอื่นๆ เดินทางออกมาจากเมืองชั้นใน

“เหตุใดวันนี้ถึงกลับไปที่สำนักบัณฑิตล่ะ” กู้เจียวหันไปถามมู่ชวนและมู่ชิงเฉิน

มู่ชวนยักไหล่ เอ่ย “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็แค่ตามพี่สี่มา”

มู่ชิงเฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกไป “ข้าจะย้ายไปอยู่ที่หอพัก”

“อ๋อ” มู่ชวนที่กำลังนวดกล้ามเนื้อคอตัวเอง พอได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปทำตาโตใส่ “ท่านพี่สี่ว่าอย่างไรนะ จะอยู่หอพักอย่างนั้นรึ”

“วันแข่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทาง เอาเวลามาฝึกซ้อมยังจะดีกว่า ที่พวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์พูดก็ถูก เราคงไม่ได้โชคดีแบบนี้ตลอดไปหรอก เหตุผลที่พวกเราชนะในวันนี้ ส่วนใหญ่มาจากระดับความชำนาญที่ไม่เท่ากันของผู้เล่นอีกฝ่าย ฝั่งนั้นมีสวี่ผิงแค่คนเดียว แต่ครั้งต่อไปหากมีคนแบบสวี่ผิงที่เป็นผู้เล่นจากราชสำนักเพิ่มเป็นสองคน โอกาสในการชนะของเราแทบจะลดลงไปครึ่งๆ เลย” มู่ชิงเฉินเอ่ยอย่างแน่วแน่

“ใช่ มู่ชิงเฉินพูดถูก” อาจารย์อู่ควบม้าเข้ามาข้างๆ พวกเขาพร้อมกับเอ่ยเสริม “ยังมีผู้เล่นที่มีความสามารถอีกมากมายรอเราอยู่ข้างหน้า ต่อไปเราต้องฝึกฝนให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่มีผู้เล่นจากราชสำนัก แต่เราก็ไม่ควรประมาท”

“การแข่งครั้งต่อไปยังคงจัดที่เดิมใช่หรือไม่” กู้เจียวถาม

“ใช่แล้ว หากไม่นับสนามของราชสำนัก สนามที่หลิงโปนั้นถือว่ามีความเพียบพร้อมมากที่สุดแล้ว”

นอกจากตัวสนามแล้ว ที่นั่งอัฒจันทร์ก็ถือว่าสร้างได้ดีมาก

“เหลืออีกกี่วัน” กู้เจียวถามอีกครั้ง

“เจ็ดวัน” อาจารย์อู่ตอบ “การแข่งขันยังคงมีถึงมะรืนนี้ หากพวกเจ้าสะดวกก็ลองมาดูการแข่งได้ แต่อย่าให้กระทบกับการซ้อมเป็นอันขาด”

“เช่นนั้น พวกเราไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ใช่หรือไม่ท่านอาจารย์”

อาจารย์อู่ถึงกับไปต่อไม่ถูก

อย่าพูดโต้งๆ แบบนั้นสิ

ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปไม่ได้หรือ!

เจ้าสำนักเสินที่อยู่บนรถม้าทำเป็นไม่ได้ยิน

กว่าจะกลับมาถึงสำนักบัณฑิตก็โพล้เพล้แล้ว อาจารย์อู่ต้องการวิเคราะห์การแข่งขันของวันนี้กับทุกคน กู้เจียวจึงให้กู้เสี่ยวซุ่นพากู้เหยี่ยนกลับไปก่อน

ทุกคนมารวมตัวกันที่สนาม

แม้จะเลยเวลาเลิกเรียนแล้ว แต่ยังมีบัณฑิตจำนวนมากรวมตัวกันอยู่รอบสนามหญ้าและได้ข่าวเรื่องที่พวกเขาแข่งชนะมาแล้ว

สำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่เคยชนะการแข่งขันตีคลีมาก่อน ความพ่ายแพ้นั้นเกินจะเปรียบแต่จะว่าไม่สนใจเลยก็ไม่ใช่ เหล่าบัณฑิตจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ทุกสายตาในบริเวณนั้นล้วนแต่จับจ้องพวกเขาขณะที่กำลังควบม้าเข้าไปยังสนาม

แม้จะไม่ได้มีการต้อนรับอย่างเอิกเกริก กระนั้นสายตาของทุกคนก็ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความภาคภูมิใจได้ไม่น้อยเลย

มู่ชวนถึงกับยืดอกยืดหลังให้ตรงกว่าเดิม!

“อะแฮ่ม! เอาละ เอาละ พวกเจ้าไปรอตรงนั้นก่อนนะ!” อาจารย์อู่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกเขา

แต่ว่า นี่เป็นชัยชนะเพียงครั้งแรกของพวกเขา ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้นแทบไม่อยากนึกถึงเลย!

สูดหายใจลึกๆ

นิ่งเข้าไว้

จากนั้นเขาก็ควบม้าออกไป

“พวกเราชนะจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่สิ! แถมยังชนะผู้เล่นจากราชสำนักอีกด้วยนะ! รู้อย่างนี้ไปดูแข่งแต่แรกก็ดี!”

“นั่นสิ”

ด้านนอกสนาม เหล่าบัณฑิตต่างพากันจับกลุ่มพูดคุย และรู้สึกเสียดายที่พลาดการแข่งวันนี้

ใครจะไปรู้ละว่าพวกเขาจะชนะ ก็นึกว่าจะแพ้หมดท่ากลับมาเหมือนครั้งก่อนๆ

“ได้ข่าวว่าพวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ไปดูการแข่งขันกันเยอะเลย สำนักบัณฑิตของพวกเราน่าสงสารที่สุดใช่หรือไม่ ที่แทบไม่ค่อยมีคนไปดูและให้กำลังใจพวกเขาเลย”

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”

เหล่าบัณฑิตที่พูดคุยเริ่มพากันเหงื่อตก

หลังจากที่อาจารย์อู่เรียกประชุมและวิเคราะห์ผลงานของทุกคนในวันนี้แล้ว เขาก็ขอให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วมาฝึกซ้อมเช้าวันรุ่งขึ้น

“เรื่องวันนี้มันเป็นยังไงกันแน่”

มู่ชิงเฉินเอ่ยถามขึ้นตอนที่กู้เจียวจูงม้าไปเก็บที่โรงม้า

“เรื่องอะไรรึ” กู้เจียวหันไปถาม

“หนานกงหลินอย่างไรเล่า” มู่ชิงเฉินเอ่ยตามตรง

กู้เจียวร้องอ๋อไปหนึ่งที แล้วก็ตอบเขาไปตามความจริง “หนานกงหลินถูกใครบางคนโจมตีเข้าที่ช่วงเอวจนมีอาการเหน็บชาและหล่นลงจากหลังม้า”

มู่ชิงเฉินย่นคิ้วแน่น มองกู้เจียวด้วยแววตาเคร่งเครียด “เจ้าตกเป็นเป้ารึ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เหตุการณ์มีอยู่ว่า กู้เจียวควบม้าเข้าไปใกล้จุดที่ผู้ชมยืนอยู่ข้างสนาม ส่วนหนานกงหลินยู่อีกฝั่งของกู้เจียว พอเกิดเรื่องขึ้น หนานกงหลินก็เอาแต่ถามกู้เจียวว่าเหตุใดถึงโน้มตัวลงเพื่อแย่งลูก

ในตอนนั้น ทุกอย่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และไม่มีใครได้ทันสังเกตความผิดปกติของคำถามของหนานกงหลิน

พอคิดได้ดังนั้น ดูเหมือนการที่กู้เจียวโน้มตัวลงไปกับการที่หนานกงหลินถูกโจมตีจนร่วงลงจากม้านั่นมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ หนานกงหลินไม่มีทางที่จะร่วงลงจากม้ากะทันหันเพียงแค่เพราะกู้เจียวแย่งลูกจากเขาหรอกใช่ไหม

แต่ถ้ามองว่าอีกฝ่ายต้องการให้กู้เจียวตกจากหลังม้า ทุกอย่างก็พอดูเข้าเค้า

“แล้วเจ้าล่ะ” กู้เจียวถามเขากลับ

“หืม” มู่ชิงเฉินชะงัก

“เรื่องเล่นตีคลีอย่างไรเล่า” กู้เจียวเอ่ย

“ไม่ได้เป็นอย่างที่ซูเฮ่าว่าหรอก” มู่ชิงเฉินตอบ

เขาไม่ได้สาบานที่จะไม่เล่นตีคลีอีกเพียงเพราะเขาแพ้ใครบางคน เหตุการณ์ครั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดอาจทำให้ซูเฮ่ามองแบบนั้น แต่ที่จริงแล้ว เขาเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้อีกทั้งมีความสุขที่ได้แพ้ให้กับคนผู้นั้น

พอกู้เจียวเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ จึงไม่ถามต่อ

พอส่งม้าให้กับคนดูแลคอกเสร็จ กู้เจียวก็เดินออกมาพร้อมกับเขา

พอเดินมาถึงตรงที่ต้องแยกย้าย มู่ชิงเฉินก็โพล่งขึ้นกะทันหัน “ตอนข้ายังเด็ก ข้าเคยออกไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง”

ช่วงนั้น คือตอนที่ท่านแม่ของเขารู้เรื่องที่ท่านพ่อแอบคบชู้และมีซูเฮ่า ท่านแม่โกรธจนต้องพาข้าหนีออกจากตระกูลซู

ซูเฮ่าเป็นลูกนอกสมรส ส่วนมารดาของอีกฝ่ายเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขามีบ้านใหญ่อยู่แล้ว

กว่าทุกอย่างถูกเปิดเผยก็ตอนที่ซูเฮ่าก็เริ่มเดินได้แล้ว

ซูเฮ่าเกิดก่อนเขาเพียงวันเดียว

แม่ของเขามีภาวะคลอดบุตรยาก และใช้เวลาถึงสามวันกว่าที่มู่ชิงเฉินจะลืมตาดูโลก ทว่าสองวันก่อนหน้า บิดาของเขาเอาแต่ไปเฝ้าบ้านเล็กที่กำลังอยู่ในช่วงคลอดบุตรเช่นกัน

ด้วยความโกรธ แม่ของเขาต้องคอยย้ายที่อยู่เพื่อเลี่ยงการเจอกันกับท่านพ่อ

พอเขาอายุได้เก้าขวบ เขาและมารดาก็ได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่ออวิ๋นเสวี่ย

“ตอนที่ข้าเจอนางครั้งแรก นางอายุแค่หกขวบ” มู่ชิงเฉินเล่าเรื่องย้อนความหลัง

“เพื่อนวัยเด็กของเจ้ารึ” เรื่องที่เขาเล่ามาทำให้กู้เจียวนึกถึงตุ๊กตาที่เจอวันก่อน นางเห็นไม่ชัด แต่ก็พอจะเห็นความน่าเกลียดอยู่บ้าง

มู่ชิงเฉินพยักหน้า “ข้าพักอยู่ที่หมู่บ้านนั้นเป็นเวลาสองปี นางเป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ นางชอบเล่นตีคลี และมักจะขี่ม้าแคระที่มีขนสีแดงราวกับลูกพุทราลงไปด้านล่างภูเขาเพื่อหาเพื่อนเล่นตีคลีด้วยกัน”

“ภายหลังนางไม่อยู่แล้ว แล้วข้าก็ไม่ได้เล่นตีคลีอีกเลยนับแต่นั้นมา”

เป็นครั้งที่สองที่กู้เจียวได้ยินเขาใช้คำว่าไม่อยู่แล้วกับเด็กคนนั้น จึงอดสงสัยไม่ได้

“ไม่อยู่บนโลกนี้แล้วอย่างนั้นรึ” กู้เจียวถาม

มู่ชิงเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเศร้า “อืม ตอนนางอายุได้แปดขวบ ก่อนจากกัน นางบอกกับข้าให้ดูแลพ่อของนางให้ดี แล้วนางจะกลับมา”

เอ่ยจบ มู่ชิงเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ตอนนั้นข้าก็เชื่อที่นางพูดจริงๆ โง่ชะมัดเลย”

“ข้ามารู้ในภายหลังว่าคนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ว่าผ่านมาเก้าปีแล้ว ข้าก็ยังคงรอวันที่นางจะปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกครั้ง”

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "บทที่ 652 ยินยิน"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์