สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 653-2 เจียวเจียวออกโรง (2)
บทที่ 653 เจียวเจียวออกโรง (2)
“ข้า… ข้าขอออกไปข้างนอกประเดี๋ยว ยาที่สั่งไว้อยู่ตรงนี้นะ”
เอ่ยจบ ฮูหยินรองก็รีบจ้ำไปที่ศาลาบรรพชนของจวนกั๋วกง
ใต้เท้ารองจิ่งกำลังคุกเข่าแล้วก้มหัวให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
“ช้าก่อน ช้าก่อน! ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน” ฮูหยินรองเอ่ยจบก็ลากสามีออกมาจากศาลา
“มีเรื่องอะไรรึ” ใต้เท้ารองจิ่งมองนางอย่างงุนงง
“พี่ใหญ่เริ่มพูดได้แล้ว” ฮูหยินรองเอ่ยพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกาย
แต่ใต้เท้ารองจิ่งดูจะไม่ตื่นเต้นไปกับนางด้วย “ก็ข้าบอกแต่แรกแล้วไง พี่ใหญ่พูดชื่อของอินอินใช่ไหมล่ะ”
ฮูหยินเล่าต่อ “ไม่ใช่แค่นั้นนะ พี่ใหญ่เขาคว้ามือของแม่นางมู่แล้วเรียกชื่อนางว่าอินอินด้วยล่ะ! พี่ใหญ่คิดว่านางเป็นอินอินแน่ๆ ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร อินอินไม่อยู่ตั้งนานแล้ว” ใต้เท้ารองจิ่งโบกมือปัด
“ข้ารู้น่าว่าอินอินไม่อยู่แล้ว แต่พี่ใหญ่เขากระทบกระเทือนตรงนี้มิไม่ใช่หรือ” ฮูหยินเอ่ยขึ้นแล้วชี้นิ้วไปที่ศีรษะของตัวเอง “เขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้”
“ไม่มีทาง พี่ใหญ่ต้องจำได้สิ” ใต้เท้ารองจิ่งส่ายศีรษะ
ฮูหยินกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ได้ คิดเสียว่าพี่ใหญ่จำได้ก็แล้วกัน แต่ข้าขอถามท่านหน่อย พี่ใหญ่ของพวกเราอาการดีขึ้นตั้งแต่ที่พาแม่นางมู่มารักษาใช่ไหม วันนั้นที่พี่ใหญ่เจอแม่นางมู่เป็นครั้งแรก ตกกลางคืนเขาก็เริ่มพูดชื่อของอินอินขึ้นมาใช่หรือไม่”
“ดู…เหมือน…จะใช่นะ” ใต้เท้ารองจิ่งพยายามนึกย้อน
“เมื่อครู่นี้พี่ใหญ่คว้ามือของแม่นางมู่แล้วเรียกชื่อนางว่าอินอิน!” ฮูหยินรองเอ่ยเรื่องนี้อีกครั้ง
“เจ้าต้องการจะพูดอะไร” ใต้เท้ารองจิ่งถาม
ฮูหยินทำหน้ายิ้มกริ่ม “ที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ พี่ใหญ่อยากได้ลูกสาว แม่นางมู่กับอินอินก็อายุไล่เลี่ยกัน แล้วถ้าพี่ใหญ่ถูกใจแม่นางมู่ขึ้นมา ก็รับนางมาเป็นลูกสาวเลยก็ได้นี่”
“นี่มัน…” ใต้เท้ารองจิ่งเริ่มไม่แน่ใจ
“ลองให้แม่นางมู่เรียกพี่ใหญ่ว่าท่านพ่อดูสิ พี่ใหญ่อาจฟื้นก็ได้” ฮูหยินรอง
ใต้เท้ารองจิ่งขมวดคิ้วแน่น “เดี๋ยวก่อนนะ เหตุใดตอนแรกเจ้าไม่เชื่อวิธีนี้ไม่ใช่รึ พอสหายของมู่ชิงเฉินเสนอวิธีนี้ เจ้าก็ไปหาว่าเขาเป็นหมอปลอมแล้วก็ไล่เขาออกไปอยู่เลยนี่”
ฮูหยินรองเบ้ปาก “ก็ตอนนี้เชื่อแล้วอย่างไรเล่า”
“อ้อ” ใต้เท้ารองจิ่งเลิกคิ้วมองภรรยา
ก็ดี ถือว่าไม่ได้เสียเงินห้าร้อยตำลึงไปเปล่าๆ
ฮูหยินรองให้ความเคารพรักท่านกั๋วกงมาโดยตลอด ตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนกั๋วกง ก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางหรือเรื่องที่กระทำผิดต่อกันแม้แต่นิด เวลาครอบครัวของนางมีปัญหา พี่ใหญ่ก็จะรีบช่วยเหลือทันทีโดยที่นางไม่ได้ขอ
นางอยากให้เขาฟื้นตัวเร็วๆ
“แต่ว่า แม่นางผู้นั้นจะยอมหรือไม่ก็อีกเรื่อง” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย
“เช่นนั้น ข้าจะลองไปคุยกับนางก่อน” ฮูหยินรองยิ้มเอ่ย
ไม่นาน ฮูหยินรองก็กลับมาที่ห้องของท่านกั๋วกง และพามู่หรูซินไปที่ห้องของตัวเองแล้วเล่าเรื่องของอินอินให้นางฟัง “นางเป็นบุตรสาวของพี่ใหญ่น่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้น่ะเอง” มู่หรูซินเอ่ยพร้อมกับพยักหน้า
ฮูหยินยิ้มให้แล้วเล่าต่อ “เจ้ากับบุตรสาวของเขาก็อายุไล่ๆ กัน ที่ช่วงนี้เจ้ามาดูแลพี่ใหญ่บ่อยๆ คงทำให้เขาคิดถึงบุตรสาวของเขานั่นแหละ”
“บุตรสาวท่านกั๋วกงสูงส่งขนาดนั้น ข้ามิบังอาจจะไปเทียบเคียงกับนางได้” ไม่ว่ามู่หรูซินจะหยิ่งยโสแค่ไหน ก็ไม่มีทางพาตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกสาวของตระกูลขุนนางได้
“ว่าแต่ ครอบครัวของแม่นางมู่ล่ะ” ฮูหยินรองเอ่ยถาม
มู่หรูซินเบือนหน้าลง “พ่อแม่ของข้าจากไปตั้งแต่ข้ายังเล็ก ท่านอาจารย์เป็นคนเลี้ยงดูข้า”
“ชีวิตคนเรานั้นยากจริงๆ ” ฮูหยินรองกุมมือของมู่หรูซิน “ถ้าอินอินยังมีชีวิตอยู่ นางก็คงอายุพอๆ กับเจ้า”
…
หลังจากฮูหยินรองเดินออกไป สาวใช้ก็รีบถามมู่หรูซิน “แม่นาง ที่ฮูหยินรองเอ่ยนั้นหมายถึงอะไรเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ถามอะไรแปลกๆ อยู่ได้”
มู่หรูซินมองดูมือของกั๋วกงพร้อมกับตอบอย่างใจเย็น “ใครจะรู้ล่ะ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
วันรุ่งขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งจวนราวกับไฟป่า
เหล่าสาวใช้ที่รวมตัวกันที่สวนดอกไม้เพื่อเก็บกวาด
สาวใช้คนที่หนึ่ง “เจ้าได้ข่าวเรื่องที่ท่านกั๋วกงจะรับแม่นางมู่เป็นลูกสาวบุญธรรมแล้วหรือยัง”
สาวใช้คนที่สอง “เจ้าไปได้ยินจากที่ไหนมา”
สาวใช้คนที่หนึ่ง “ไม่ต้องสนหรอกว่าข้าฟังมาจากใคร ประเด็นคือเจ้าเชื่อไหม!”
สาวใช้คนที่สอง “ข้าไม่เชื่อ!”
สาวใช้คนที่สาม “จริงแท้แน่นอน! ข้าน่ะได้ยินว่าท่านกั๋วกงดึงมือของแม่นางมู่แล้วเรียกนางด้วยชื่อของลูกสาวท่านด้วยล่ะ!”
สาวใช้คนที่สี่ “ท่านกั๋วกงฟื้นแล้วรึ”
สาวใช้คนที่หนึ่ง “ท่านฟื้นแค่ตอนที่มีแม่นางมู่อยู่ข้างๆ เท่านั้น”
สาวใช้คนที่สอง “อย่างนี้ก็แปลว่าแม่นางมู่จะได้มาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านกั๋วกงจริงๆ สินะ แต่นางดูหยิ่งไปหน่อย ข้าไม่ชอบ”
สาวใช้คนที่หนึ่ง “เจ้าจะชอบหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า ขอแค่ท่านกั๋วกงชอบก็พอไม่ใช่รึ!”
…
กู้เจียวไม่รู้ข่าวอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนกั๋วกง เพราะมั่วแต่ยุ่งกับการฝึกซ้อมทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น แถมยังต้องเรียนหนังสือไปด้วยอีก
วันเวลาผ่านไปเร็วจนน่าตกใจ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงวันที่หกแล้ว
พรุ่งนี้ก็เป็นวันแข่งรอบสองแล้ว
คราวก่อนพวกเขาไม่ได้งบในการเช่าที่พัก ก็เลยต้องนอนที่หอพักของสำนักบัณฑิตและต้องตื่นเช้าเพื่อไปถึงที่สนามได้ทัน
เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดอย่างคราวก่อน อีกทั้งเป็นการออมแรงให้ผู้เล่นด้วย
ผู้เล่นต้องไปถึงสนามก่อนเวลา ขณะที่คนดูไม่ต้อง ดังนั้นกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นจะตามไปที่สนามในเช้าวันพรุ่งนี้ โดยเจ้าสำนักได้จัดรถม้าที่กว้างขวางและสะดวกสบายไว้ให้พวกเขาเรียบร้อย
ทุกคนจึงออกเดินทางเข้าไปในเมือง
อาจารย์อู่จองโรงเตี๊ยมที่ชื่อซินเย่ว์เอาไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากสำนักบัณฑิตหลิงโปราวสองลี้
หลังจากลงจากรถม้า มู่ชวนชำเลืองโรงเตี๊ยมตรงหน้านี้อยู่นาน พร้อมกับเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ที่นี่อยู่ห่างจากสนามแข่งตั้งเยอะ!”
อาจารย์อู่กระแอมหนึ่งที “แค่สองลี้เอง ไม่ไกลหรอก! เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง!”
เหตุผลหลักคือเงินที่สำนักบัณฑิตมอบให้นั้นพอแค่สำหรับโรงเตี๊ยมแบบนี้เท่านั้น บวกกับช่วงนี้ที่มีการแข่งขัน ทำให้โรงเตี๊ยมบริเวณใกล้กันถูกจองเต็มหมดแล้ว
“ที่นี่โทรมใช่ย่อยเลย” มู่ชวนออกอาการรังเกียจ
แน่นอนว่าท่านชายตระกูลมู่ที่อยู่ดีกินดีมาโดยตลอดไม่เคยจะต้องมาพักในที่เก่าโทรมแบบนี้อยู่แล้ว
“อะแฮ่ม! แค่ภายนอกเท่านั้นน่า ข้างในพอใช้ได้อยู่นะ” อาจารย์อู่เอ่ยจบก็ก้าวธรณีประตูโรงเตี๊ยมเข้าไป ทันทีที่เขาเหยียบลงบนพื้น จู่ๆ ฝ้าก็ร่วงลงมาทันที
อาจารย์อู่ “…”
“ท่านพี่สี่ พวกเรากลับไปนอนที่บ้านกันเถอะ” มู่ชวนเอ่ยกับมู่ชิงเฉิน
มู่ชิงเฉินมองดูกู้เจียวที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นบันใด พลางตอบน้องของเขา “อยากกลับก็กลับไปเองสิ”
เอ่ยจบ เขาก็เดินขึ้นบันได
“เอ้า! เดี๋ยวก่อนสิท่านพี่สี่… ”
อาจารย์อู่จองห้องชั้นบนให้พวกเขาหนึ่งห้องต่อหนึ่งคน ส่วนห้องพักที่เขาจองให้ตัวเองสภาพไม่ได้ดีเท่า
ห้องของกู้เจียวอยู่ระหว่างห้องของมู่ชิงเฉินกับมู่ชวน จากนั้นมู่ชวนก็เดินมาเคาะประตูห้องกู้เจียวพร้อมกับแบกสัมภาระติดมาด้วย “เซียวลิ่วหลัง แลกห้องกันได้ไหม”
มู่ชวนอยากอยู่ใกล้ท่านพี่สี่ของเขา
กู้เจียวไม่ว่าอะไร
แล้วเขาก็แลกห้องได้สำเร็จ
เมื่อมู่ชิงเฉินเดินออกมาจากห้องเพื่อมาตามกู้เจียว ก็เจอกับใบหน้าสุดยียวนของผู้เป็นน้อง
“ท่านพี่สี่! ตกใจใช่ไหมล่ะ!” มู่ชวนเอ่ยพร้อมกับอ้าแขนออก
มู่ชิงเฉิน “…”
พอถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนทานข้าวพร้อมหน้ากันที่ห้องโถง เพื่อความปลอดภัยของผู้เล่นทุกคน อาจารย์อู่ลงทุนชิมอาหารทุกจานก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษและไม่เป็นอันตราย
หลังทานข้าวเสร็จ ทุกคนจึงรีบแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง
ส่วนอาจารย์อู่คอยเฝ้าพวกเขาตรงทางเดินเพื่อไม่ให้ใครออกไปไหนได้ตามอำเภอใจ
เนื่องจากในห้องค่อนข้างอับชื้น กู้เจียวจึงเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ
ห้องพักของกู้เจียวอยู่ติดกับถนน พอเปิดหน้าต่างออกก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนของถนนได้
บรรยากาศยามค่ำคืนบนถนนของเมืองเซิ่งตูช่างต่างกับเมืองหลวงของแคว้นเจาอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่กู้เจียวมองดูผู้คนที่หลั่งไหลบนถนน ทันใดนั้น กู้เจียวก็เจอเข้ากับเงาของใครบางคนที่คุ้นเคย
แม้ว่าฟ้าจะมืด และระยะทางจะไกล แต่กู้เจียวมั่นใจว่ามองไม่ผิดแน่นอน!
กู้เจียวเคยมองดูภาพเหมือนของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ละครั้งที่ได้เห็น ในหัวก็มักจะเชื่อมโยงสีหน้าท่าทางของเขาอยู่ทุกครั้ง
ใช่เขาแน่ๆ
เจ้าด้วนหนานกงลี่!
เขากำลังเดินออกมาจากร้านค้า และเดินตรงไปที่รถม้าของตระกูลหนานกง
กู้เจียวหรี่ตาลงช้าๆ ก่อนจะกระโดดเหาะลงมาจากหน้าต่างชั้นสอง!