สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 655 กู้เจียวผู้ร้อนเงิน! (1)
บทที่ 655 กู้เจียวผู้ร้อนเงิน! (1)
เหตุผลนี้ดูฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย มู่ชิงเฉินจึงไม่ว่าอะไร
การดีดหินใส่ แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เป็นการหยามเกียรติอย่างยิ่ง
“ในเมื่อรู้อยู่ว่าเขาเป็นถึงนายพล ยังจะกล้าทำแบบนั้นอีก” มู่ชิงเฉินเอ่ย
“เป็นนายพลแล้วอย่างไรเล่า ใหญ่มาจากไหนกัน” กู้เจียวเถียงกลับ
“เจ้า…”
มู่ชิงเฉินได้แต่ถอนหายใจ
คนอะไร ไม่รักตัวกลัวตายเลยจริงๆ
ในตอนแรก อำนาจทางทหารของตระกูลเซวียนหยวนถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน คนของตระกูลหนานกงได้สัดส่วนจำนวนมากที่สุด แม้ว่าตระกูลหนานกงจะไม่ได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสิบตระกูลขุนนางอันดับต้นๆ ในเมืองหลวง ทว่าในแง่ของอำนาจและความแข็งแกร่งทางทหารแล้วไม่มีตระกูลไหนเหนือไปกว่าตระกูลหนานกง
“จะว่าไป เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคือนายพลหนานกง” มู่ชิงเฉินถามต่อ
“ตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ข้าเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าลูกชายของเขาตกจากม้า เลยเดาว่าใช่เขา” กู้เจียวตอบเช่นนั้น
มู่ชิงเฉินไม่ได้ถามอะไรต่อ
กู้เจียวได้แต่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พกอาวุธติดตัวออกมา อย่างน้อยถ้ามีลูกระเบิดติดมือไว้คงเขวี้ยงใส่หนานกงลี่ให้ร่างระเบิดเป็นผุยผงไปแล้ว
มู่ชิงเฉินสังเกตเห็นอีกฝ่ายกำลังทำหน้าไม่พอใจ เลยไม่รู้จะชวนคุยอะไรต่อ
ขณะเดียวกัน สารถีของมู่ชิงเฉินก็กลับมาพร้อมกับถังหูลู่ในมือ
“ท่านชายขอรับ แถวนี้ไม่มีขนมอะไรน่าทานเลย เลยซื้อมาได้แค่ถังหูลู่ขอรับ” สารถีเอ่ยจบก็ยื่นให้มู่ชิงเฉิน
ที่จริงเขาไม่ได้อยากกินของหวานอะไรนัก อีกอย่าง เขามองว่าถังหูลู่นั้นเป็นขนมของเด็กและหญิงสาว
ตอนแรกเขากะจะยกให้สารถีกินเอง แต่จู่ๆ เขาเกิดนึกครึ้มแล้วยื่นถังหูลู่ให้กู้เจียว “อ่ะนี่”
“อ้อ ขอบใจนะ” กู้เจียวไม่ปฏิเสธ
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม กู้เจียวที่ยังสวมชุดของซูเสวี่ยก้มหน้าก้มตากินถังหูลู่อย่างไม่สนใคร ที่ยังไม่ถอดชุดออกเพราะกลัวว่าจะเจอกับหนานกงลี่อีกรอบ
มู่ชิงเฉินมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างสลับกับเหลือบมองมาทางกู้เจียว
ท่าทางการกินถังหูลู่แบบนี้ คล้ายกับซูเสวี่ยไม่มีผิด
มู่ชิงเฉินได้แต่ย่นคิ้ว
นี่เขาเพ้อเจ้ออะไรอยู่
เซียวลิ่วหลังเป็นผู้ชายนะ
…
ทั้งกู้เจียวและมู่ชิงเฉินต่างออกมาทางหน้าต่าง ตอนนั้นแถวโรงเตี๊ยมยังไม่มีร้านค้าแผงลอยมาตั้งขาย พอพวกเขากลับมาถึงที่โรงเตี๊ยมก็พบว่าถนนทั้งสายเต็มไปด้วยร้านค้า เลยจำต้องกลับเข้าทางประตูหลักแทน
อาจารย์อู่ตกใจเสียจนลูกตาแทบจะหลุดเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดมา!
ออกไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่
ข้านั่งเหงาๆ อยู่ตรงนี้ตั้งนาน!
“ไป ไหน มา!” อาจารย์อู่เป็นฟืนเป็นไฟ
กู้เจียว “เอ่อ ไปเดินเล่นมาขอรับ”
อาจารย์อู่กำหมัดแน่น ก่อนจะหันไปทางมู่ชิงเฉิน “เจ้าล่ะ!”
“เอ่อ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาขอรับ” มู่ชิงเฉินเหลือบมองกู้เจียว
อาจารย์อู่แทบลมจับ!
สมกับเป็นเจ้าแห่งทัณฑ์บน เกเรเถลไถล มิหนำซ้ำยังพาเพื่อนเสียคนไปด้วย!
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่ชนะ กลับไปข้าจะลงโทษสองเท่าเลยคอยดู!” เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาจะลงโทษเด็กๆ ตอนนี้ไม่ได้ ไว้ค่อยชำระกันทีหลัง
แล้วทั้งสองก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
มู่ชิงเฉินที่กำลังจะเข้านอนกลับอดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เพิ่งเจอไม่ได้ เขารู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังกำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้อยู่ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก ราวกับเขากำลังเดินหลงเข้าไปในหมอกเทาและหาทางออกไม่เจอ
มู่ชิงเฉินตัดสินใจที่จะเข้าไปถามสหายคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
อาจารย์อู่ยังคงยืนคุมอยู่ด้านนอก
หากเขาเดินออกไปเคาะประตู อาจารย์อู่ก็คงไม่ว่าอะไร แต่จู่ๆ เขาเลือกที่จะใช้ทางหน้าต่างแทน ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น
เขาเกี่ยวโครงหน้าต่างด้วยมือเดียว แล้วปีนขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว เดินผ่านห้องของมู่ชวน ก่อนจะกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างห้องกู้เจียว
แต่ไหนล่ะกู้เจียว
ใช่แล้ว เป็นอีกครั้งที่กู้เจียวแอบหนีออกไป
มีหรือคนอย่างกู้เจียวจะอยู่เฉยๆ
คราวนี้ กู้เจียวระวังตัวกว่ารอบแรก แม้แต่คนที่ประสาทสัมผัสไวอย่างมู่ชิงเฉินก็ยังไม่รู้สึกผิดสังเกต
มู่ชิงเฉินย่นคิ้วอย่างหนัก
ความรู้สึกไม่พอใจที่เกิดขึ้นในใจของเขานั้นคืออะไรกันนะ
กู้เจียวใช้วิธีเดียวกันกับที่เขาใช้ในการแอบหนีออกมา คือปีนหน้าต่างขึ้นหลังคาแล้วค่อยไต่กำแพงลงมา ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
จากนั้นกู้เจียวก็มาถึงบริเวณใกล้กับร้านขายวัตถุโบราณแห่งนี้อีกครั้ง
ทหารยามของหนานกงลี่ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว บรรยากาศรอบๆ กลับสู่ความสงบเช่นเดิม มีเพียงคนสองสามคนที่แวะเวียนเข้าออกร้านค้า
ทว่าจุดมุ่งหมายของกู้เจียวไม่ใช่ร้านขายวัตถุโบราณ แต่เป็นร้านตัดเสื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
รถม้าของเซียวเหิงก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
กู้เจียวเอียงศีรษะเล็กน้อย จากนั้นวิ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
เมื่อมาถึงหน้าร้านตัดเสื้อ ก็มีรถม้าคันหนึ่งเข้ามาหยุดเทียบที่ด้านข้าง
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนในรถม้า สายลมที่พัดโชยทำให้ม่านของรถม้าคันนั้นปลิวไสว กู้เจียวที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและความรู้สึกที่คุ้นเคยก็รีบกระโดดขึ้นไปบนรถม้าคันนั้นโดยทันที
ปรากฏร่างเล็กและร่างสูงนั่งอยู่ในรถม้า ร่างเล็กอยู่ในสภาพที่อ่อนเพลียจนเผลอหลับไปในอ้อมแขนของร่างสูง ในขณะที่ร่างสูงยังคงตื่นตัวและไม่แสดงความเหนื่อยล้าออกมาแม้แต่นิดเดียว
กู้เจียวตรงเข้าไปนั่งลงข้างๆ ร่างสูง “ยังไม่กลับอีกรึ”
เซียวเหิงยกยิ้ม พลางตอบ “แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดกลับมาตรงนี้อีก”
ข้าก็
รอเจ้าอย่างไรเล่า
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาหรือไม่ แต่สุดท้าย พวกเขาก็เจอกัน
“หนานกงลี่ไม่เจอเจ้าใช่ไหม” กู้เจียวถาม
“ไม่” เซียวเหิงเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ตอนที่หนานกงลี่ถูกก้อนหินดีดใส่หัว ตอนนั้นเขาทำเป็นไม่สนใจและรีบจูงมือเสี่ยวจิ้งคงเข้าไปในร้าน
แม้เขาไม่ได้เห็นกู้เจียวตรงนั้น แต่นอกจากกู้เจียวแล้ว คงไม่มีใครคิดปองร้ายคนอย่างนายพลหนานกงลี่ได้อีก
“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เซียวเหิงถาม
“ไม่เลย” กู้เจียวตอบ “พวกมันหาข้าไม่เจอ”
เซียวเหิงใช้ประโยชน์จากแสงจันทร์รำไรและแสงโคมจากท้องถนนเพื่อสำรวจร่างกายของกู้เจียว เขากางฝ่ามือออกแล้วใช้ปลายนิ้วสัมผัสเบาๆ เพื่อดูว่ามีบาดแผลที่ซ่อนอยู่หรือไม่
เขาถอนหายใจโล่งอกหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีบาดแผล
กระนั้น เขายังคงไม่ชักมือกลับ ยังคงกุมมือที่เรียวเล็กและปลายนิ้วลูบฝ่ามือของนางอย่างผ่อนคลาย
มือของนางทั้งเล็กและอ่อนนุ่ม จนเขาสามารถใช้ฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียวกุมมือทั้งสองข้างของนาง
กู้เจียวชำเลืองมือของเขาที่กำลังกุมมือของตัวเอง ดื่มด่ำช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้และแนบชิดกัน
กู้เจียวรู้ดีว่ามือคู่นี้ของตนแปดเปื้อนมานักต่อนัก
และไม่ต้องการให้คนที่มือสะอาดอย่างเขาต้องมีราคีไปด้วย
เซียวเหิงกุมมือเล็กไว้อย่างแน่นหนา ราวกับต้องการที่จะ… ดึงร่างของคนตรงหน้าขึ้นมาจากความมัวหมองทั้งหลาย