สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 656 สวรรค์เป็นใจ (1)
บทที่ 656 สวรรค์เป็นใจ (1)
สำนักบัณฑิตเทียนฉงเอาชนะสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์ที่มีนักตีคลีจากราชสำนักได้สำเร็จในครั้งก่อน กลายเป็นที่จับตามองของผู้ชม พวกเขาจึงเฝ้ารอการแข่งขันระหว่างสำนักบัณฑิตเทียนฉงและสำนักบัณฑิตผิงหยางเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าบัณฑิตใหม่ผู้นั้นจะเล่นลูกไม้พิสดารใดอีก
มู่ชิงเฉินอยู่ตำแหน่งหน้าสุด มู่ชวน หยวนเซี่ยวตามติดเขา ส่วนกู้เจียวเป็นกองหลัง
วันนี้มู่ชวนเป็นผู้เล่นสำรอง จ้าวเวยลงสนามแทน จ้าวเวยกับหยวนเซียวสละตำแหน่งที่สองให้กู้เจียวโดยไม่ได้นัดหมาย
กู้เจียวไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ จะตำแหน่งที่สองหรือที่สี่นั้นก็ไม่แตกต่างกันสำหรับนาง
เมื่อมู่ชิงเฉินลงสนาม บรรดาสาวน้อยบนอัฒจันทร์ก็พากันตื่นเต้น ทว่านี่คือสมัยโบราณที่แสนจะเข้มงวด หากเป็นยุคปัจจุบันละก็ กู้เจียวคงได้ยินเสียงร้องตะโกนว่า ‘สามีจ๋า’
“ท่านชายชิงเฉิน! ท่านชายชิงเฉิน!”
แต่ก็ยังมีคนใจกล้าตะโกนเรียกชื่อมู่ชิงเฉิน
ในเมื่อสวมผ้าคลุมหน้ากันอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดรู้อยู่ดี
เสียงร้องตะโกนนั้นเหมือนสลักที่ถูกดึงออก คนรอบตัวนางก็พากันโบกมือโห่ร้องตามๆ กัน
กู้เจียวเลิกคิ้ว “สาวๆ หลงเจ้าขนาดนี้เชียวรึ”
คราวก่อนก็คิดว่าเยอะพอสมควรแล้ว แต่หลังจากชนะการแข่งขันตีคลี ชื่อเสียงของมู่ชิงเฉินก็กลายเป็นที่เลื่องลืออีกครั้ง หญิงสาวมากมายที่ไม่ได้มาจากสำนักบัณฑิตก็พากันแอบเข้ามาดูเขาเล่นตีคลี
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนเรียกท่านชายชิงเฉิน กู้เจียวกลับได้ยินเสียงเรียก ‘ท่านชายเซียว’
เห็นได้ชัดว่ามู่ชินเฉิงเองก็ได้ยินเช่นกัน
ยามมีคนร้องตะโกน ‘ท่านชายชิงเฉิน’ มู่ชิงเฉินไม่แม้แต่จะแยแส แต่พอมีคนเรียกกู้เจียวว่า ‘ท่านชายเซียว’ เขากลับเหลียวไปมองอย่างอดไม่ได้
แต่ท่ามกลางผู้คนมากมาย จะรู้ได้เช่นไรว่าเป็นใคร
ทว่าเหล่าคุณหนูทั้งหลายที่สายตาของเขามองผ่านต่างพากันกุมอก พวกนางจะเป็นลมล้มพับกันหมดแล้ว
ท่านชายชิงเฉินเหลียวมองมาทางนี้เชียวนะ
เขาได้ยินพวกนางเรียกหรือ
เขาไม่หันมองไปทางอื่นเลย มองมาแต่ทางพวกนาง
“หรือว่าท่านชายชิงเฉิน…กำลังมองข้า…”
“ข้าว่าเขากำลังมองข้า…”
“เห็นชัดๆ ว่ามองข้าต่างหาก…”
มู่ชิงเฉินแค่เหลียวไปมองตามสัญชาตญาณ พอได้สติก็พลันขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะละสายตากลับมาในทันที
แต่กู้เจียวยังคงมองไปทางผู้ชมอยู่นานสองนาน
เอ๊ะ สาวๆ ที่มาให้กำลังใจนางอยู่ที่ใดกัน
เรียกแค่ทีเดียวก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว ใจไม่สู้เลย
เซียวเหิงมีธุระช่วงบ่าย ไม่ได้มาที่นี่ แต่ที่นั่งบนอัฒจันทร์ครั้งก่อนยังเว้นที่ไว้ให้เขา เพื่อนร่วมชั้นสามนางจากสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันยิ้มแย้มอยู่ประจำที่นั่งของตนเอง ที่นั่งหน้าสุดนั้นเว้นว่างไว้สำหรับคนที่สวยที่สุด
ต้องขอบคุณคนงาม ที่ทำให้พวกนางสามารถนั่งชมการตีคลีได้อย่างสบายอารมณ์ในศาลาที่มีร่มเงาร่มรื่นเช่นนี้
ศาลาถัดไปเป็นของคนจากจวนกั๋วกงเช่นเดิม
ใต้เท้ารองจิ่งนั่งทับขาหลังตรงอยู่บนเบาะรองนั่ง ฮูหยินรองเองก็นั่งอย่างสง่างามในท่าเดียวกันอยู่ข้างเขา ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ฮูหยินรองยิ้มแย้มยามรินเหล้าผลไม้ให้ใต้เท้ารอง ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านอยากมาดูตีคลีมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่พูดไม่จา”
ใต้เท้ารองจิ่งยังคงนิ่งงัน
เหตุใดข้าไม่พูดไม่จาเจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ
“ไม่ได้เจอคนงามน่ะสิ” เขาบ่นเสียงพึมพำ
“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ฮูหยินรองได้ยินไม่ชัดนัก
ใต้เท้ารองจิ่งหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่มีอะไร ข้าแค่เป็นห่วงพี่ใหญ่”
ฮูหยินรองเหลียวไปมองท่านกั๋วกงที่อยู่ข้างกัน “มีแม่นางมู่อยู่ พี่ใหญ่ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ”
ท่านกั๋วกงนั่งอยู่บนรถเข็น มู่หรูซินเฝ้าอยู่ข้างกายเขา
เดิมที่ฮูหยินรองไม่ได้ตั้งใจจะพาท่านกั๋วกงออกมาดูตีคลีด้วย เนื่องจากเขาเพิ่งจะหายป่วยได้ไม่นาน จำเป็นต้องพักฟื้นอย่างสงบ แต่มู่หรูซินบอกว่า ออกมายืดเส้นยืดสายสักหน่อยจะเป็นผลดีกับอาการป่วยของท่านกั๋วกง
ท่านกั๋วกงจับจ้องที่สนามตีคลีไม่วางตา
มู่หรูซินไม่แน่ใจว่าเขามีสติอยู่หรือไม่ แต่ยังคงถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านกั๋วกง ท่านชอบดูจีจวูหรือไม่เจ้าค่ะ”
ถึงกระนั้นท่านกั๋วกงก็ตอบไม่ได้อยู่ดี
มู่หรูซินเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินเล่นตีคลีเก่งยิ่งนัก”
ฮูหยินจิ่ง แม่ผู้ให้กำเนิดของจิ่งอินอิน ลูกสาวคนโตของตระกูลเซวียนหยวน
ลูกหลานตระกูลเซวียนหยวนเก่งกาจทั้งศาสตร์และศิลป์ ควบม้าตีคลีนั้นไม่เป็นรองผู้ใด
สีหน้าของท่านกั๋วกงแลดูเหมือนขยับไหว
ยามมู่หรูซินหันไปมองท่านกั๋วกงก็หยุดเสียแล้ว
“แม่นาง น้ำแร่ภูเขาที่ท่านขอเจ้าค่ะ”
สาวใช้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นขวดดินเผาที่บรรจุน้ำแร่ภูเขาให้กับมู่หรูซิน “ว่ากันว่าสำนักบัณฑิตหลิงโปมีน้ำแร่ธรรมชาติชั้นยอด ใช้กังหันทดน้ำมาจากบนภูเขา แม่นางรีบชิมเร็วเจ้าค่ะ หวานหรือไม่”
มู่หรูซินมองนาง ก่อนจะรับขวดดินเผามา “เข้าใจแล้ว ประเดี๋ยวข้าค่อยดื่ม”
สาวใช้ยิ้ม หลบตาลงก่อนจะถอยมาหยุดข้างกายมู่หรูซิน
“ไอ้หยา! ท่านชายชิงเฉินมาแล้ว!” บัณฑิตสาวจากสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันที่อยู่ศาลาถัดกันร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่
มู่หรูซินเคยเห็นมู่ชิงเฉินระยะประชิดที่จวนกั๋วกง จึงไม่ได้ตื่นเต้นอย่างพวกนาง นางเหลือบไปมองท่านกั๋วกงโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเห็นว่าท่านกั๋วกงเองก็เหมือนจะตื่นเต้นเช่นกัน
นิ้วมือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนของเขาสั่นไหว แววตาที่เลื่อนลอยก็เหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นี่คือการแข่งขันรอบที่สาม
สองรอบแรกท่านกั๋วกงไม่ได้มีอาการเช่นนี้เลย
หากเป็นแต่ก่อน นางไม่มีทางถามเรื่องอื่นนอกเหนือจากอาการป่วย ทว่าวันนี้ต่างออกไป นับวันฐานะของนางในจวนกั๋วกงยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าจะยิ่งสูงขึ้นอีกในวันหน้า
แน่นอนว่านางย่อมมีความมั่นใจมากกว่าเดิม
นางหันไปมองสองสามีภรรยาที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ใต้เท้ารองจิ่ง ฮูหยินรอง ท่านชายชิงเฉินกับท่านกั๋วกงรู้จักกันมานานแล้วหรือเจ้าคะ”
แน่นอนว่ารู้จักกันมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมู่ชิงเฉินจะพาหมอมารักษาท่านกั๋วกงได้อย่างไร
มู่หรูซินรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังเอ่ยถาม แต่ความจริงแล้วนางอยากรู้เรื่องราวของทั้งสองคนมากกว่านี้
ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรถามเสียหน่อย
ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย “ตอนอินอินยังเด็ก พี่ใหญ่เคยพานางไปอยู่ที่เรือนอวิ๋นเสวี่ยซานอยู่ช่วงหนึ่ง บังเอิญว่ามู่ชิงเฉินอยู่เรือนข้างกัน พี่ใหญ่ของข้าเป็นคนสอนหนังสือให้มู่ชิงเฉิน”
“เช่นนี้นี่เอง” มู่หรูซินพยักหน้า
มิน่าล่ะท่านกั๋วกงเห็นมู่ชิงเฉินแล้วถึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นมา คงเป็นเพราะเห็นมู่ชิงเฉินเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจ
มู่หรูซินหันไปมองมู่ชิงเฉินอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ บังเอิญว่าในขณะนั้นเองกู้เจียวก็ลงมาจากหลังม้าพอดี มู่หรูซินเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจนในทันที!
“เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
มู่หรูซินเหลียวไปทางใต้เท้ารองจิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา “ใต้เท้ารองจิ่ง ท่านบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าท่านโบยเขาจนเจ็บหนัก ลงจากเตียงไม่ได้ แถมยังให้ชดใช้เงินอีกห้าร้อยตำลึง! ท่านดูสิว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไร! เหมือนคนบาดเจ็บหรือไม่!”
ใต้เท้ารองจิ่งสะอึกในทันที
โธ่เว้ย ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
คราวก่อนมู่หรูซินถูกกู้เจียวหักแขน มู่หรูซินบังเอิญเจอนางเพราะมารักษาท่านกั๋วกง แล้วขอให้เขาจับตัวเจ้าหนุ่มนั่นเอาไว้
ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะจับตัวอีกฝ่ายไม่ได้ แถมยังเสียเงินอีกตั้งห้าร้อยตำลึง
ใบหน้าของเขาถมึงทึง แน่นอนว่าไม่มีทางยอมรับ ทำได้เพียงบอกว่าตอนนั้นตนเองจับอีกฝ่ายได้แล้ว แต่เจ้าหนุ่มนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมรับผิด เขาลงโทษอย่างไม่ออมมือ โบยเสียจนแทบจะพิการ
ฮูหยินรองหันไปมองใต้เท้ารองจิ่ง “นั่นสิเจ้าคะ เหตุใดท่านถึงไม่เล่าให้ข้าฟังเลย”
ใต้เท้ารองจิ่งกระแอม ทอดสายตามองกู้เจียวที่ควงไม้ทดสอบแรงอยู่กลางสนามตีคลี ก่อนจะเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ข้า…ข้า…ข้า ข้าโบยแล้ว! ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะหายเร็วปานนี้!”
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เขารีบโผมาหยุดอยู่ด้านหลังรถเข็นของพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ชอบดูมู่ชิงเฉินเล่นตีคลีที่สุดเลยใช่หรือไม่ มา มา มา พวกเราไปดูกันเถอะ!”
เอ่ยจบก็เข็นรถออกไปหยุดอยู่ที่ริมรั้วกั้น
หลังจากเหล่านักตีคลีจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงเข้าประจำที่ เหล่าผู้เล่นจากสำนักบัณฑิตผิงหยางถึงเดินเข้ามาในสนามจากอีกฝั่งหนึ่ง
ทั้งสี่คนสวมชุดสีดำ ในมือถือไม้ตี แววตาเยือกเย็นควบอาชางาม ม้าสี่ตัว คนที่สี่คน มาดองอาจ ราวกับมีรังสีพิฆาตปกคลุมไปทั่วทั้งสนามตีคลีในชั่วพริบตา!
จ้าวอิงพลันลูบแขนตัวเองไปมา “หนาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เกินอะไรขึ้นกันแน่”
หยวนเซียวคิดในใจ อย่าเอ่ยออกมาได้ไหม เขาเองก็หนาวเหมือนกัน
กู้เจียวยังคงเพลินเพลินกับไม้ตีของตัวเอง พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบเข้ามาใกล้ก็เงยหน้าขึ้น ขณะเดียวกันนั้นบัณฑิตทั้งสี่จากสำนักผิงหยางก็ควบม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านอกจากม้าของมู่ชิงเฉินแล้ว ม้าของตัวเองกับจ้าวเวยและหยวนเซียวต่างก็พากันถอยหลังไปหลายก้าว
ยังไม่ทันได้แข่งเลย ม้าก็ปอดแหกเสียแล้ว