สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 656-2 สวรรค์เป็นใจ (2)
บทที่ 656 สวรรค์เป็นใจ (2)
กู้เจียวขมวดคิ้วมุ่น
หัวหน้าบัณฑิตจากฝั่งสำนักบัณฑิตผิงหยางกวาดมองพวกเขา ทว่าสายตากลับหยุดอยู่บนใบหน้าของกู้เจียวนานกว่าใคร ทว่าสุดท้ายก็หันไปมองมู่ชิงเฉิน ก่อนจะยกยิ้มอย่างเหนือกว่าพลางเอ่ย “ข้าดูการแข่งขันคราวก่อนของพวกเจ้า เรียกได้ว่าฉวยโอกาสได้เก่งไม่เบา เพียงแต่คราวนี้พวกเจ้าคงไม่โชคดีขนาดนั้น”
มู่ชิงเฉินตอบอย่างไม่แยแส “ถึงกับต้องใช้ม้าเฮยเฟิงของตระกูลหันมาลงแข่ง ก็พอจะมองออกว่าสำนักบัณฑิตผิงหยางนั้นเกรงกลัวสำนักบัณฑิตเทียนฉงมากเพียงใด”
กู้เจียวจับคำสำคัญได้สองคำ ตระกูลหัน ม้าเฮยเฟิง
คนผู้นั้นมุมปากกระตุก กระชากเชือกม้าก่อนจะหักเลี้ยวกลับ “แล้วจะได้รู้กันในสนาม”
“ตระกูลหันอย่างนั้นหรือ” กู้เจียวหันไปมองมู่ชิงเฉิน
“หนึ่งในตระกูลชนชั้นนำของแคว้นน่ะ ลูกหลานในตระกูลเก่งกาจทั้งบู้บุ๋น เดิมที…” มู่ชิงเฉินชะงักไป เรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าพูดออกไปได้หรือไม่ แต่พอเห็นแววตาใคร่รู้ของกู้เจียว เขาก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะเล่าต่อในที่สุด
“หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนพ่ายแพ้จากการก่อกบฏ อำนาจทหารก็ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน ตระกูลหนานกงกุมอำนาจสูงสุด นอกจากนั้นก็เป็นตระกูลหัน ตระกูลหวัง และตระกูลมู่ แต่ที่สำคัญก็คือ อาชาเหล็กชั้นยอดนั้นตกอยู่ในมือของตระกูลหัน ซึ่งก็คือม้าเฮยเฟิง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดอันแข็งแกร่ง การเพาะพันธุ์ม้าเฮยเฟิงจึงมีขั้นตอนเข้มงวดเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าการฝึกฝนก็หฤโหดเช่นกัน”
กู้เจียวร้องอ๋อขึ้นมา พลางมองไปที่ม้าของเขา “แล้วเหตุใดม้าของเจ้าถึงไม่กลัว”
มู่ชิงเฉินลูบหัวม้าปลอบโยน “ม้าของข้าไม่ได้ไม่กลัวหรอก เพียงแต่ข้าให้พลังปราณควบคุมเอาไว้”
กู้เจียวมองไปยังม้าของมู่ชิงเฉิน จากนั้นก็หันกลับมามองม้าของตัวเองและเพื่อนร่วมคณะทั้งสามตัวที่ตอนนี้สี่ขากำลังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด “เช่นนั้นแล้วตอนลงสนาม…”
มู่ชิงเฉินสูดหายใจลึกพลางเอ่ย “แล้วแต่สวรรค์ก็แล้วกัน”
บนโลกนี้ไม่มีม้าใดที่ห้าวหาญศึกสงครามไปกว่าม้าเฮยเฟิงแล้ว เหมือนดั่งยอดฝีมือในบรรดายอดฝีมืออีกทีที่ย่อมต้องข่มกันบ้าง เหล่าม้าอาชาไนยเองก็เช่นกัน
ม้าเฮยเฟิงปรากฏตัวที่ใด ม้าทั้งหลายย่อมศิโรราบให้!
บนอัฒจันทร์ มีคนไม่น้อยที่เคยเห็นม้าเฮยเฟิงมาก่อนก็พากันยกมืออธิษฐานอวยพรให้สำนักบัณฑิตเทียนฉง
“จบกัน จบกัน คราวนี้จบเห่แน่” ใต้เท้ารองจิ่งมองไปยังเงาร่างเล็กแสนสง่างามที่เหมือนดั่งพี่เขยของตนเองที่กลางสนาม ก่อนจะทอดถอนใจอย่างสิ้นหวัง
“เหตุใดถึง…จบเห่เล่าเจ้าคะ” มู่หรูซินเดินเข้ามา ก่อนจะถามอย่างสงสัย
นางเป็นคนแคว้นเฉิน ไม่เข้าใจการเมืองในแคว้นเยี่ยน
ใต้เท้ารองจิ่งชี้ไปที่ม้าของสำนักบัณฑิตผิงหยางพลางเอ่ย “เห็นม้าพวกนั้นหรือไม่ นั่นไม่ใช่ม้าธรรมดา แต่เป็นม้าเฮยเฟิง”
พอได้ยินคำว่าม้าเฮยเฟิง มู่หรูซินก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ตำนานเล่าขานกันว่านั้นคืออาชาศึกของทหารตระกูลเซวียนหยวน หมื่นตัวล่มเมือง แสนตัวล่มแคว้น ชัยชนะล้วนแต่มากจากฝีมือของม้าเฮยเฟิงของตระกูลเซวียนหยวน
ได้ยินมาว่าม้าพันธุ์นี้ดุร้ายเหี้ยมโหดกว่าม้าศึกทั่วไป ได้รับขนานนามว่าม้าพลีชีพ
“แข่งขันเพียงแค่นี้ จำเป็นต้องใช้ด้วยหรือ” ใต้เท้ารองจิ่งพึมพำ
จำเป็นหรือไม่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ตระกูลหันและตระกูลมู่นั้นไม่ลงรอยกัน ท่านชายตระกูลหันผู้นั้นคงตั้งใจจะใช้ม้าขย่ำมู่ชิงเฉินให้แหลก ถึงได้ใช้ม้าเฮยเฟิงเช่นนี้
“เฮ้อ”
ใต้เท้ารองจิ่งกำชายเสื้อของตัวเองอย่างหงุดหงิด
หงุดหงิดชะมัด
ไม่อยากดูแล้ว
เดี๋ยวก่อน
เขาจะหงุดหงิดไปทำไมเล่า
สำนักบัณฑิตของเจ้าหนุ่มนั้นแพ้ก็สมใจเขาแล้วไม่ใช่หรือ
ใต้เท้ารองจิ่งเผยยิ้มมาดร้าย ดวงตาทั้งสองเป็นประกายมองไปยังกลางสนามตีคลี
เสียงระฆังสำริดดังขึ้น การแข่งขันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
สำนักบัณฑิตเทียงฉงเป็นฝ่ายเปิดสนาม ในฐานะผู้นำ และเพื่อสงบจิตใจ มู่ชิงเฉินจึงเป็นคนเริ่มตีลูกแรกด้วยตนเอง
เขาตีลูกเล็งไปทางหยวนเซี่ยว
หยวนเซี่ยวรู้แต่แรกแล้ว เขาเตรียมตัวรับลูกเป็นอย่างดี แต่ใครจะไปรู้กันว่าเขายังไม่ทันได้ง้างไม้ตีขึ้น ม้าที่ควบอยู่ก็ตื่นตระหนกจนวิ่งเตลิด จนเขาเกือบจะตกจากหลังม้า
กว่าเขาจะทรงตัวได้มั่น ลูกก็ถูกบัณฑิตสำนักบัณฑิตผิงหยางแย่งไปแล้ว
ม้าของสำนักบัณฑิตเทียนฉงวิ่งไม่ทันม้าเฮยเฟิงอย่างแน่นอน
หากคนจากสำนักบัณฑิตผิงหยางได้ลูกไปละก็ ดูท่าทางแล้วคงไม่มีทางแย่งกลับมาได้
หากเป็นยุคปัจจุบันก็คงเหมือนขับรถเต่าไล่ตามลัมโบกินี จะไปตามทันได้อย่างไร!
สนามแรกจบลง สำนักบัณฑิตผิงหยางคว้าไปได้สามธง ส่วนสำนักบัณฑิตเทียนฉงยังไม่ได้เลยสักธง
สนามที่สองจบลง สำนักบัณฑิตผิงหยางคว้ามาได้สามธง ส่วนสำนักบัณฑิตเทียนฉงได้มาหนึ่งธง ด้วยฝีมือการบุกทำประตูของมู่ชิงเฉิน
สนามที่สามจบลง สำนักบัณฑิตผิงหยางคว้ามาได้สี่ธง ส่วนสำนักบัณฑิตเทียนฉงได้มาหนึ่งธง กู้เจียวเป็นคนทำประตู
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป… พวกเราคงแพ้แน่”
บนอัฒจันทร์ฝั่งสำนักบัณฑิตเทียนฉง จงติ่งกระซิบถาม
โจวถงสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าเชื่อในตัวเซียวลิ่วหลัง”
บัณฑิตอีกคนหนึ่งพึมพำ “ประเด็นคือม้าของสำนักบัณฑิตผิงหยางวิ่งเร็วมาก ทั้งยังดุดันเหลือเกิน”
สี่สนามจบลง การแข่งขันครึ่งแรกเสร็จสิ้น จำนวนธงในยามนี้คือสิบสองต่อสอง สำนักบัณฑิตเทียนฉงคือฝ่ายที่ได้สอง
จบกัน หมดหวังแล้วจริงๆ สินะ
อุตส่าห์มาดูตีคลีด้วยความมั่นใจว่าจะคว้าชัยกลับมา แต่กลายเป็นว่าแพ้อย่างหมดท่าอยู่บนหลังม้า ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เหล่าบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงเหมือนมะเขือที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม เกาะขอบรั้วมองตาปริบๆ
บนเรือนสูงท้ายสนาม อาจารย์อู่เดือดดาลจนแทบจะระเบิด “ถึงกับใช้ม้าเฮยเฟิงเชียวหรือ! มากเกินไปแล้ว! แบบนี้มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ! คราวก่อนพวกเขาก็ยังใช้ม้าธรรมดาไม่ใช่หรือ!”
ม้าแข่งตีคลีของเหล่าท่านชายตระกูลใหญ่ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเทียบกับใคร
ต่อหน้าม้าเฮยเฟิง ม้านับหมื่นล้วนแต่ยอมศิโรราบ
อาจารย์อู่โมโหจนทนไม่ไหว เขาถลกแขนเสื้อขึ้น “ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปร้องเรียนกับเจ้าสำนักของพวกเขา”
“พวกเจ้าลอกเลียนวิชาผู้อื่นได้ แต่พวกข้าใช้ม้าเฮยเฟิงไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นหน้าประตู
ทุกคนต่างเหลียวไปมองตามต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นผู้เล่นตีคลีจากสำนักบัณฑิตผิงหยาง ท่านชายตระกูลหันผู้นั้น นามว่าหันเช่อ
สองแขนของเขากอดอกพิงกรอบประตู ริมฝีปากยกยิ้ม “สำนักบัณฑิตของเราละเมิดกติกาแล้วหรือ”
ประโยคนั้นทำเอาอาจารย์อู่ถึงกับพูดไม่ออก
ถูกต้องแล้ว ไม่มีกฎใดที่ห้ามใช้ม้าเฮยเฟิง แต่นั่นเป็นเพราะคนตั้งกฎไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะมีคนขี่ม้าเฮยเฟิงมาแข่งตีคลีน่ะสิ
เจ้า…เจ้าพูดแบบนี้มันกำปั้นทุบดินชัดๆ !
ผู้ใดใช้ม้าเฮยเฟิงเพื่อการนี้กันเล่า!
หันเช่อยิ้มเยาะ “เจอกันในสนามก็แล้วกัน”
อาจารย์อู่กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ยั้งเพลิงโทสะเอาไว้ ก่อนจะเหลียวกลับไปเอ่ยกับกู้เจียว “เซียวลิ่วหลัง ม้าเจ้าใช้ไม่ได้แล้ว เจ้าต้องเปลี่ยนม้าตัวใหม่ ม้าของสำนักอยู่ในคอก เจ้าจะเป็นคนเลือก หรือจะให้ข้าเลือกให้”
กู้เจียวบุกหนักที่สุดเพื่อสกัดกั้นสำนักบัณฑิตผิงหยาง ม้าของนางตื่นกลัวจนร้องโหยหวน… ทั้งกลัวรังสีข่มขวัญของม้าเฮยเฟิง ทั้งกลัวรังสีคุกคามจากเจ้านายของตน
กู้เจียวเอ่ย “ข้าไปเอง”
“เช่นนั้นก็ได้ มีค่าเท่ากันอยู่ดี” ไม่มีม้าตัวไหนในคอกไม่กลัวม้าเฮยเฟิงหรอก
คอกม้าของแต่ละสำนักบัณฑิตนั้นแยกออกจากกัน ด้านนอกมีเวรยามเฝ้าอยู่ แต่ละคนสามารถเข้าได้เฉพาะคอกม้าของสำนักบัณฑิตของตนเท่านั้น
คอกของสำนักบัณฑิตเทียนฉงอยู่ชั้นในสุด
กู้เจียวเดินเข้าไป เดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำตะคุมแวบผ่าน
นางเหลียวไปมอง เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน
วินาทีต่อมา เงาดำนั้นก็แวบผ่านอีกครั้ง!
กู้เจียวหรี่ตาพลางเดินต่อไป ขณะที่เงาดำปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สาม นางตัดสินใจยื่นมือออกไปแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้!
เงาดำถูกกระชากลอยหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
กู้เจียวจ้องมองก่อนจะต้องตกใจ “จิ้งคงรึ”
ยามอยู่ข้างนอกนางพูดจาด้วยเสียงเด็กหนุ่มตลอด แต่เสียงเด็กหนุ่มนี้เสี่ยวจิ้งคงเองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้นมา “เจียวเจียว!”
เสี่ยวจิ้งคงโผเข้าหาอ้อมกอดของกู้เจียว
กู้เจียวกอดเขาเอาไว้ “เจ้ามาได้อย่างไร เจ้าไม่ได้เรียนอยู่หรือ”
เซียวเหิงบอกไว้ว่าเขาจะพาเจ้าหนูไปส่งที่สำนักบัณฑิตหลิงโปแล้วจะไปทำธุระต่อ
เสี่ยวจิ้งคงดวงตาเบิกโพรง “ข้าไม่ได้โดดเรียนนะ!”
กู้เจียว “…”
เยี่ยมนัก เขาโดดเรียนจริงๆ
กู้เจียวปล่อยเจ้าหนูลง ให้เขายืนให้มั่น จากนั้นนางถึงได้ย่อตัวลงระดับสายตาของเขา ก่อนจะถามเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดถึงโดดเรียน”
“ข้า ข้า…” เสี่ยวจิ้งคงก้มหน้า ล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเอง
กู้เจียวชี้ไปที่ตำแหน่งมือของเขากุมอยู่ “ในกระเป๋ามีอะไร เอาออกมา”
เสี่ยวจิ้งคงเอาออกมาอย่างสำนึกผิด “มี มีดอกไม้กับเชือก ข้าอยากถักเปียให้เสี่ยวสืออี”
กู้เจียวชะงักไป
เสี่ยวจิ้งคงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น “แต่ว่า แต่ว่าข้าทำการบ้านเสร็จแล้วนะ! ที่ท่านอาจารย์สอนข้าก็ท่องได้หมดแล้วด้วย! ข้าเรียนเข้าใจแล้วถึงได้ออกมาจริงๆ นะ!”
“เสี่ยวสืออีก็มาด้วยหรือ” กู้เจียวถาม
เสี่ยวจิ้งคงเข้าใจประเด็นของเจียวเจียวผิดไปมากนัก
เจ้าเด็กน้อยพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “อื้อ ข้าคิดถึงเสี่ยวสืออีมาก คราวก่อนข้าบอกพี่เสี่ยวซุ่นแล้วว่า ถ้าเขากับพี่เหยี่ยนมาอีก ให้แอบพาเสี่ยวสืออีกลับไปเล่นกับข้า”