สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 657 บดขยี้ด้วยฝีมือ! (1)
บทที่ 657 บดขยี้ด้วยฝีมือ! (1)
เวลาพักใกล้จะหมดลง บรรดานักกีฬาตีคลีทั้งหมดพลิกตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า ทยอยกลับไปยังสนามตีคลี
สำนักบัณฑิตผิงหยางเล่นได้โดดเด่นยิ่งนัก พอพวกเขาปรากฏตัวขึ้น รอบด้านก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นทันที
หันเช่อควบม้าขึ้นมาข้างหน้าสุด เขารูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย ใบหน้าหล่อเหลา แววตานั้นเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เจือความมั่นใจว่าเขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน
เขาไม่ได้โด่งดังในเมืองเชิ่งตูเท่ากับมู่ชิงเฉิน แต่โอกาสที่ดีที่สุดทำให้คนผู้หนึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังได้ ก็คือการเหยียบย่ำคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดให้ได้
หากวันนี้เขาชนะมู่ชิงเฉินแล้ว ภายหน้าไม่ว่าใครที่เอ่ยถึงเขาก็จะบอกว่า ‘เขาก็คือหันเช่อผู้นั้น ผู้ที่ชนะท่านชายชิงเฉินได้น่ะ’
หันเช่อนำฝ่ายตัวเองเผชิญหน้ากับพวกมู่ชิงเฉินสามคน
สำนักบัณฑิตผิงหยางวางมาดอวดดีเย่อหยิ่ง ทั้งสองฝ่ายเพียงแค่นั่งบนหลังม้าเผชิญหน้ากันเท่านั้น แต่กลับชวนให้รู้สึกว่าที่นี่กำลังจะกลายเป็นสนามรบอันน่าสะพรึงกลัว
มู่ชวนหันกลับมามอง ก่อนพึมพำเสียงเบาๆ “เหตุใดจึงยังไม่มาอีกเล่า”
อาจารย์อู่ให้จ้าวเวยพักรอบหนึ่ง เปลี่ยนตัวให้มู่ชวนลงรอบนี้แทน เพราะรอบที่แล้วมู่ชวนกับพวกกู้เจียวสามคนเข้าขากันได้ดีมาก
หยวนเซี่ยวเอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้สิ คงจะกำลังเลือกม้าอยู่กระมัง”
มู่ชวนทำอะไรไม่ถูก “รีบๆ เริ่มเลยดีกว่า หากยังไม่มาอีกจะผิดกติกาเอาได้”
เสียงสนทนาของทั้งคู่แผ่วเบามาก ทว่ามู่ชิงเฉินกับพวกหันเช่อที่โสตประสาทดีเยี่ยมแทบจะได้ยินครบทุกถ้อยคำ
หันเช่อหลุดหัวเราะออกมา “คงไม่ใช่เพราะคนสำนักบัณฑิตของพวกเจ้ากลัวพวกเรา จึงได้หนีหางจุกตูดไปแล้วกระมัง”
“ฮ่าฮ่า!” สามคนที่เหลือระเบิดหัวเราะเสียงดัง!
มู่ชิงเฉินแค่นเสียงเย็นเอ่ย “ใครหนีหางจุกตูดกัน! เจ้าคิดว่าใครๆ เขาจะเหมือนคนตระกูลหันอย่างพวกเจ้ากันรึ พอทัพศัตรูมาก็ทิ้งบ้านทิ้งเมืองหลบหนี!”
“เจ้า!” หันเช่อพลันหน้าถมึงทึงขึ้นมา
คนตระกูลหันหลบหนีทิ้งเมืองนั้นมีตำนาน ในนั้นตอนที่พวกเผ่าทูเจวี๋ยมารุกรานโจมตีชายแดนแคว้นเยี่ยนได้ใช้อุบายตบตา ทำให้คนตระกูลหันเข้าใจผิดคิดว่าทูเจวี๋ยมีกองทัพใหญ่หนึ่งหมื่นนาย คนตระกูลหันจึงพาเหล่าชาวบ้านหลบหนีกันในยามวิกาล
ทว่านี่ไม่ใช่คูเมือง แต่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ใช่การหลบหนีด้วย เป็นการกระจายชาวบ้านต่างหาก!
มู่ชวนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงแค่นเสียงเย็น “ปอดแหกเอ๊ย”
หันเช่อเดือดดาลถลึงตาแทบถลน เส้นเอ็นตรงขมับเต้นตุบๆ อย่างแรง
สหายที่อยู่ด้านข้างส่งสายตาให้เขา ไม่ให้เขาโมโห
ไม่ควรลงสนามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง มันจะง่ายต่อการขัดแข้งขัดขากันภายในกันเอง ทำให้ผิดกติกาการตีคลีได้ง่ายๆ
หันเช่อสูดหายใจลึก ตั้งสติ มองมู่ชวนอย่างขบขัน “เจ้าอย่าได้คิดจะยั่วโทสะข้าดีกว่า วันนี้พวกเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนฉงแพ้แน่! ครึ่งหลังข้าจะทำให้พวกเจ้าไม่ได้ลูกเลยแม้แต่ลูกเดียว!”
มู่ชวนโมโหจนแทบจะใช้ไม้ตีคลีฟาดปากเขา “เก่งนักหรือ! ก็แค่ได้อานิสงส์ม้าเฮยเฟิงนั่นแหละ! ถ้ามีปัญญาเจ้าก็เปลี่ยนม้าอื่นมาสู้กับพวกเราสิ!”
หันเช่อไม่โกรธซ้ำยังแย้มยิ้มอีก “มีม้าเฮยเฟิงก็คือ ‘มีปัญญา’ ของข้า มีปัญญาพวกเจ้าตระกูลมู่ก็ผลิตม้าเฮยเฟิงออกมาสักสองสามตัวสิ”
มู่ชวนไหนเลยจะไปทำได้
โธ่เว้ย!
เหตุใดตอนที่ตระกูลมู่แบ่งอำนาจทางการทหารตระกูลเซวียนหยวนจึงไม่ได้ม้าเฮยเฟิงเล่า
ไม่รู้ว่าหันเช่อตั้งใจหรือไม่ เขาดึงบังเหียนเบาๆ จู่ๆ ม้าเฮยเฟิงใต้ร่างเขาก็พุ่งไปหาสำนักบัณฑิตเทียนฉงสองก้าว ทำให้ม้าของมู่ชวนกับหยวนเซี่ยวตกใจจนร้องฮี้ๆ ถอยหลังหมายจะหนี
“กรรมการ! เขาผิดกติกา!” มู่ชวนเอ่ยกับอาจารย์กรรมการที่อยู่ด้านข้าง
กรรมการหันมามอง
เหตุใดจึงมีม้าหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ได้
สำนักบัณฑิตเทียนฉงเปลี่ยนกลยุทธ์หรือไร สู้อีกฝ่ายไม่ได้จึงได้เอาม้ามาทำให้ตาบอดแทน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มู่หรูซินใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากอย่างกระมิดกระเมี้ยน เห็นได้ชัดว่ากู้เจียวกำลังก่อความวุ่นวาย ขี่ม้าพรรค์นี้มาตีคลีให้ขายหน้าเพื่อการใด
ทำเสียเหมือนเล่นตลกไปได้
จู่ๆ ท่านกั๋วกงที่อยู่บนรถเข็นก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ขึ้นมา มือเขาจับที่พักแขนไว้แน่น เพราะมีแรงแล้ว แขนจึงสั่นไปด้วย
เขาขมวดคิ้ว หันไปมองทางเข้าสนาม ปราดตามองไปก็เห็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงขี่ม้าสีดำทมิฬตลอดร่างควบเข้ามา
สีดำทมิฬตลอดร่าง ดำขลับเป็นประกาย บนหัวทัดดอกไม้ใหญ่ดอกหนึ่ง แผงคอของม้าถูกมัดด้วยเชือกแดงถักเป็นเปียเล็กๆ ซ้ำยังย่างก้าวอย่างเย่อหยิ่งทว่าสง่างาม ทำให้หันเช่อเห็นแล้วถึงกับชะงักงัน
มู่หรูซินสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา จึงรีบถาม “ท่านกั๋วกง เป็นอะไรไปเจ้าคะ ไม่อยากดูแล้วหรือ”
เหล่านักกีฬาฝ่ายสำนักบัณฑิตเทียนฉงควบม้าไปยังริมสนาม
ในหัวเขามีความคิดไร้สาระผุดวาบขึ้นมา อ้อนแอ้นเพียงนี้ เจ้าไม่ทาปากแดงให้มันด้วยเสียเลยเล่า!
ความจริงนั้นเสี่ยวจิ้งคงขโมยชาดของพี่เขยตัวแสบมาแล้ว เพียงแต่ถูกกู้เจียวจับได้เสียก่อนจึงไม่ทันได้ทาให้เสี่ยวสืออี
นักกีฬาอีกคนหันไปมอง พบว่าเป็นอย่างที่ว่าจริง จึงเย้ยหยัน “นั่นก็เพราะถูกพวกเราข่มจนกลัวอย่างไรเล่า ยามนี้เห็นพวกเราจึงได้เริ่มหวาดผวาขึ้นมา”
หันเช่อจำบัณฑิตที่อยู่หลังม้าได้ เขาจึงชักจะนั่งไม่ติดขึ้นมาเสียแล้ว!
“เหมือนว่าม้าของพวกเราก็เริ่มสั่นนิดๆ เช่นกันนะ”
“แม่เจ้า!” ใต้เท้ารองจิ่งที่อยู่บนอัฒจันทร์พ่นน้ำชาออกมาทันที
“นี่เป็นการสั่นเพราะตื่นเต้นจนเลือดพลุ่งพล่านต่างหากเล่า!”