สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 658 ชนะขาดลอย (1)
บทที่ 658 ชนะขาดลอย (1)
สิ่งที่เรียกว่า ‘ยิ่งเห็นโลกมากก็ยิ่งไม่มีอะไรน่าแปลกใจ’ คืออะไรน่ะหรือ
ให้มาดูการตีคลีของสำนักบัณฑิตเทียนฉง
พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าการตีคลีจะตีแบบนี้ได้ด้วย!
ยกแรกครูพักลักจำ ใช้ฝีมือของ ‘สวี่ผิง’ เอาชนะ ‘สวี่ผิง’ ก็ทำให้ผู้ชมอึ้งทึ่งกันพอแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะยิ่งกว่าอีก
ในบรรดาผู้ชม มีจำนวนไม่น้อยที่มาดูการแข่งขันเพื่อชื่นชมความสง่างามของมู่ชิงเฉิน สุดท้ายถูกบัณฑิตใหม่ตีรวนไปเสียหมด
คราวก่อนก็เป็นเช่นนี้ สามารถพิสูจน์ได้แล้วกับประโยคที่ว่า ‘นักตีคลีเป็นแบบไหน ก็เลี้ยงม้าแบบนั้น’ เป็นความจริง
นักตีคลีไม่ปกติ ม้าก็เลยไม่ปกติไปด้วย!
เมื่อถึงโค้งสุดท้ายฝ่ายสำนักบัณฑิตผิงหยางต่างก็หมดกำลังใจกันแล้ว ม้าของพวกเขาตกใจวิ่งเตลิดยังไม่เท่าไร แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือม้าของไอ้เจ้าหนุ่มนั่น
หันเช่อดึงบังเหียนไว้แน่น “ไม่! หยุด! หยุดสิ! หยุด!”
บอกให้หยุดก็เปล่าประโยชน์แล้ว ม้าเฮยเฟิงวิ่งหนีราชาม้ากันจนอลหม่าน
ราชาม้าอ้าปากกว้างหอบแฮกวิ่งไปข้างหน้า
มาสิ! ข้าจะพาพวกเจ้าบินเอง!
นักกีฬาของสำนักบัณฑิตเทียนฉงต่างทนดูกันไม่ได้แล้ว เจ้าพวกนี้ไม่ได้อยู่สำนักเดียวกับพวกเรา
ผู้ชมบนอัฒจันทร์หัวเราะกันจนปวดท้องไปหมดแล้ว
คนที่ไม่รู้เรื่องม้าดีคิดว่าม้าตัวนี้เก่งกาจจริงๆ ส่วนคนที่รู้จักม้านั้นรู้ดีว่าม้าน่ะมันเก่งอยู่แล้ว แต่คนที่สามารถควบขี่มันได้ต่างหากล่ะที่น่าสนใจกว่า
ในศาลาพลับพลาห้อยประดับไข่มุกบนอัฒจันทร์ฝั่งตะวันออก บุรุษผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำตัวโคร่งนั่งคุกเข่าหลังตรงจิบชาอยู่ เยื้องไปทางด้านหลังฝั่งขวาของเขามีบุรุษในชุดขุนนางคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
“ม้าวิ่งขนาดนี้ยังไม่ตกลงมาเลย เจ้าหนุ่มนั่นเป็นผู้ใดกัน” คนที่ถามขึ้นคือบุรุษในชุดคลุมสีดำ
บุรุษในชุดขุนนางเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้ข้าเคยเจอ เป็นสหายร่วมชั้นของมู่ชิงเฉินพ่ะย่ะค่ะ ว่ากันว่าเป็นชาวแคว้นระดับล่าง ปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์นัก ซ้ำยังเคยแอบอ้างว่าเป็นหมอไปหลอกลวงจวนกั๋วกงด้วย”
บุรุษชุดคลุมสีดำเอ่ย “หมอเก๊ที่เจ้าเล่าว่ามู่ชิงเฉินพาไปจวนกั๋วกงคนนั้นน่ะรึ”
บุรุษในชุดขุนนางเอ่ย “เขานั่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หากกู้เจียวอยู่ที่นี่ด้วย ต้องจำอีกฝ่ายได้แน่ว่าเป็นใต้เท้าเซ่าที่รับผิดชอบจับกุมมือสังหารที่จวนองค์รัชทายาทครานั้น
ซ้ำยังมีเรื่องบาดหมางกันกับมู่ชิงเฉินด้วย ดังนั้นพอทราบว่านางเอาป้ายคำสั่งของมู่ชิงเฉินไปที่หอนางโลมของเมืองชั้นใน ก็ตัดสินใจเด็ดขาดในการสาดโคลนใส่มู่ชิงเฉินโดยการเหยียบย่ำนาง
และก็เป็นเพราะเขานี่ล่ะ กู้เจียวจึงได้ไปจวนกั๋วกงอย่างสง่าผ่าเผย
บุรุษชุดคลุมสีดำเอ่ยเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่ “ข้าดูแล้วคนผู้นี้กลับมีฝีมืออยู่ไม่เบา เจ้าอย่าได้ตัดสินส่งเดชเพราะมีเรื่องบาดหมางกันกับมู่ชิงเฉินเชียว”
ใต้เท้าเซ่าหลบตาลง “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องนัก ฝีมือการขี่ม้าของเจ้าหนุ่มนี่เก่งกาจจริงๆ ”
ความนัยของประโยคนี้คือฝีมือการแพทย์ของกู้เจียวใช้ไม่ได้จริง เรื่องที่ไปหลอกลวงจวนกั๋วกงก็ไม่ใช่ตนใส่ร้ายป้ายสีกู้เจียวกับมู่ชิงเฉิน
บุรุษชุดคลุมสีดำคล้ายจะสนใจเด็กคนนี้ไม่น้อย ใต้เท้าเซ่ากังวลมากว่าพระองค์จะถามชื่อของเด็กคนนี้ เขาไม่อยากให้มีคนข้างกายมู่ชิงเฉินมาเบียดอยู่ข้างกายฝ่าบาท
ทว่าบุรุษชุดคลุมสีดำเพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นจากโต๊ะ จิบชาเบาๆ อึกหนึ่ง ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ในที่สุดการแข่งขันครานี้ก็ปิดฉากลงด้วยคะแนนสิบสองต่อยี่สิบเจ็ด สำนักบัณฑิตเทียนฉงยี่สิบเจ็ด ทุบสถิติใหม่ของการแข่งขันตีคลี
ที่ว่า ‘ครึ่งหลัง ข้าจะทำให้พวกเจ้าไม่ได้ลูกแม้แต่ลูกเดียว’ ของหันเช่อนั้น นับว่าได้เป็นจริงดังว่าแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นจริงกับตัวพวกเขาเองก็เท่านั้น
เจ้าสำนักบัณฑิตผิงหยางนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าสำนักเสิน ยามนี้สีหน้าเขาดูไม่ได้ยิ่งนัก เขายิ้มเย็นเอ่ย “สำนักบัณฑิตเทียนฉงมีฝีมือนัก ถึงกับใช้ม้าคลั่งตัวนี้เพื่อการแข่งขันครานี้เชียวรึ”
เจ้าสำนักเฉินแย้มยิ้ม เอ่ยอย่างลุ่มลึกเจือความนัย “เอ๋ เข้าใจผิดแล้วกระมัง หากว่ากันเรื่องหาม้านั้นสำนักบัณฑิตเทียนฉงคงสู้สำนักบัณฑิตผิงหยางไม่ได้แม้แต่น้อย พวกเจ้าหาม้าเฮยเฟิงมาได้สี่ตัว พวกเราเลยโดนบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก จึงได้ใช้ม้าสำรองที่ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน”
เจ้าสำนักบัณฑิตผิงหยางแทบจะกระอักเลือดออกมา
ม้าที่ไม่เคยโดนฝึกยังดุร้ายถึงเพียงนี้ หากฝึกไปสักระยะคงได้ขึ้นสวรรค์เป็นเทพเซียนเลยกระมัง
มีใครเขาโอ้อวดเช่นนี้บ้าง! ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ในบรรดาตระกูลขุนนางในเมืองหลวงนั้นตระกูลหันอยู่ในสี่อันดับแรก ม้าของกู้เจียวบดขยี้ม้าเฮยเฟิงของตระกูลหันจนหมดอารมณ์ ได้รับชื่อเสียงภายในการแข่งขันเดียว
หันเช่ออยากเหยียบย่ำอยู่เหนือมู่ชิงเฉิน สุดท้ายกลับโดนกู้เจียวเหยียบย่ำขึ้นไปอยู่เหนือหัวเสียแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหันเช่อกลับไปแล้วจะกระอักเลือดออกมาเท่าใด
จากนั้นเป็นการแข่งขันอีกห้านัด หลังจากนัดที่สี่จบลงจะพักหนึ่งชั่วยาม ยามบ่ายเริ่มแข่งต่อ
“พวกเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย อีกเดี๋ยวไปดูการแข่งขันต่อไปกัน ไม่แน่อาจจะมีคู่ต่อสู้ในครั้งต่อไปของพวกเราอยู่ในบรรดาพวกเขาก็ได้” อาจารย์อู่ในศาลาบอกทุกคน
ทุกคนพยักหน้า หยิบห่อผ้าที่พกมาด้วยไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
มีห้องปีกข้างเพียงห้องเดียว กู้เจียวจึงให้คนอื่นๆ เปลี่ยนกันก่อน ทุกคนคิดว่าเขาเขินอายไม่กล้า จึงไม่ได้สงสัยอะไร
อย่างไรเสียมู่ชิงเฉินก็ไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเดียวกันกับใครอยู่แล้ว
“เจ้าไปเปลี่ยนก่อนไป” เมื่อเหลือกันแค่สองคน มู่ชิงเฉินจึงบอกกู้เจียว
“อ๋อ” กู้เจียวเข้าไปในห้อง
แกรก
เสียงลงกลอนประตูดังขึ้น
มู่ชิงเฉิน “…”
คนทั้งกลุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไปยังอัฒจันทร์ของสำนักบัณฑิตเทียนฉง กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นนั่งอยู่ข้างเจ้าสำนักเสิน แก้มของพวกเขาทั้งคู่ตากแดดจนสีแดงแจ๋ กู้เจียวคิดว่ามันน่ารักไม่น้อย
น้องชายของตนไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่ารักไปเสียหมด
พอกู้เจียวมา กู้เสี่ยวซุ่นก็ยกที่นั่งตัวเองให้นางโดยอัตโนมัติ
เขารู้ความมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางให้ใครมาแย่งที่กู้เจียว ยิ่งไปกว่านั้นนั่งอีกฝั่งของกู้เจียวก็ไม่เลว เขาไม่กล้าที่จะผูกขาดหรืออะไรทำนองนั้น
กู้เหยี่ยนนั่งอยู่บนรถเข็น กู้เจียวนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองนั่ง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเขานิดหน่อย
คนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงต่างรู้กันว่า ‘เซียวลิ่วหลัง’ เป็นว่าที่พี่เขยของกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น เหตุใดจึงเป็นว่าที่นั้น หลักๆ เลยก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในความสัมพันธ์กับเซียวเหิง ไม่ให้คนมีเจตนาร้ายคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพวกนางเข้าด้วยกันได้
ส่วนสาเหตุที่ไม่แสดงความบริสุทธิ์ให้มันเด็ดขาดไปเลยนั้น ก็เนื่องจากตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่า ‘กู้เจียว’ ก็มาเช่นกัน กู้เสี่ยวซุ่นเรียกพี่เขยมาหลายครั้งหลายหนแล้ว
ยามนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างรู้กันว่ากู้เจียวก็มีว่าที่คู่หมั้นอยู่ในแคว้นเจาเช่นกัน
สถานการณ์เช่นนี้ปกติธรรมดามาก หยวนเซี่ยวกับจ้าวเวยต่างก็มีว่าที่คู่หมั้นเช่นกัน คนหนึ่งหมั้นกันตั้งแต่อยู่ในท้อง อีกคนหมั้นกันเมื่อสามปีก่อน
“พี่สี่!”
ทันใดนั้น ซูเสวี่ยในชุดสำนักบัณฑิตสีชมพูสวมผ้าคลุมหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น