สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 659 ท่านพ่อเจียวผู้องอาจ! (1)
บทที่ 659 ท่านพ่อเจียวผู้องอาจ! (1)
คนเจ็บถูกทยอยหามออกมา กู้เจียวไม่มีเวลามาสงสัยเรื่องกล่องยา
นางพูดคุยกันสั้นๆ กับหมอสำนักบัณฑิตหลิงโปเกี่ยวกับการคัดแยกผู้บาดเจ็บ อย่างไรเสียแต่ละคนก็ต่างยุ่งกับงานตัวเอง งานนี้จึงยากกว่าเดิมเป็นสองเท่าหากต้องการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย
สำนักบัณฑิตหลิงโปพยักหน้าเห็นด้วย “ที่น้องชายว่ามามีเหตุผลยิ่ง”
คนทั่วไปจะเลือกช่วยผู้บาดเจ็บที่มีฐานะสูงส่งก่อน หากฐานะเสมอกัน ก็จะช่วยผู้บาดเจ็บที่บาดเจ็บสาหัสที่สุดก่อน อันที่จริงสำหรับหมอคนหนึ่งนั้น แบบนี้ไม่ใช่การเลือกสรรที่ดีที่สุด
แต่คนที่เข้าใจหลักการนี้และกล้าที่จะลงมือได้จริงๆ นั้นกลับมีน้อยมาก
หลังจากคัดแยกผู้บาดเจ็บเสร็จ กู้เจียวก็ให้มู่ชิงเฉินไล่คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากที่เกิดเหตุให้หมด นอกจากหมอกับพวกนางที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว ห้ามผู้ใดเข้ามาใกล้เด็ดขาด
ประการแรกเพราะจะส่งผลต่อการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ประการที่สองเพราะจะเกิดการความเสี่ยงที่เบียดเสียดจนเหยียบกันได้
ส่วนกล่องยาใบน้อยจะถูกเปิดโปงหรือไม่นั้น ชีวิตคนสำคัญยิ่ง ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้หรอก
เพียงแต่สืบถามมาตั้งนาน นอกจากตัวกั๋วซือเองแล้วคนอื่นๆ ไม่มีใครรู้จักเครื่องมือสมัยปัจจุบันเหล่านี้เลย จึงไม่มีอะไรให้ต้องห่วง
“ท่านพี่ ข้าเจอห้องข้างในนี้ แสงดีมากทีเดียว” กู้เสี่ยวซุ่นบอกนาง
กู้เจียวพยักหน้า “ดี ข้าคัดแยกผู้บาดเจ็บเสร็จจะพาผู้บาดเจ็บที่ต้องผ่าตัดเข้าไป”
ยามนี้ในบรรดาผู้บาดเจ็บห้าคนที่หามออกมา มีสามคนที่บาดเจ็บภายนอก คนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส อีกคนแขนขวาหลุดจากเบ้า
ผู้บาดเจ็บสาหัสนั้นอวัยวะภายในมีเลือดออก อาการวิกฤติมาก หมอของสำนักบัณฑิตหลิงโปส่ายหน้า “รักษาไม่ได้แล้ว” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หากคนของตำหนักกั๋วซืออยู่ที่นี่ก็อาจจะยังพอมีหวัง แต่หมอชาวบ้านธรรมดาเกรงว่า…
“เปลมาแล้ว!” หยวนเซี่ยวเอ่ยขึ้น
มู่ชวนกับอาจารย์อู่ก็มาด้วย สำนักบัณฑิตไม่มีเปล อาจารย์อู่เป็นคนพาพวกเขาทำขึ้นชั่วคราว ทั้งหมดหกเปล
กู้เจียวชี้ผู้บาดเจ็บสาหัสคนนั้น “หามเขาเข้าไป”
หมอชะงัก “น้องชาย เจ้าจะทำอะไร”
กู้เจียวเอ่ย “ผ่าตัด ข้าจะทิ้งชุดปฐมพยาบาลไว้ให้ท่าน ส่วนวิธีใช้ยานั้น เมื่อครู่ท่านก็เห็นหมดแล้ว”
“ข้าเห็นน่ะก็เห็นอยู่หรอก แต่ว่า…” หมอมองผู้บาดเจ็บที่โดนคนหามเข้าไปอย่างเหลือจะเชื่อ คิดในใจว่าคนผู้นี้จะช่วยได้จริงๆ รึ บัณฑิตผู้นี้เป็นนักกีฬาตีคลีกระมัง รู้จักการทำแผลนิดหน่อยไม่ได้น่าแปลก แต่อาการบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ เขารู้แจ้งแน่หรือ
“น้องชาย” หมอท่านนั้นหวังดี เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มอายุยังน้อยผู้นี้รักษาคนแล้วตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สุดท้ายแล้วก็ต้องมารับผิดชอบ
เขายังไม่ทันได้เอ่ยขึ้น กู้เสี่ยวซุ่นก็มาเสียแล้ว ก่อนจะเอ่ยกับอาจารย์อู่กับจ้าวเวยที่หามเปลอยู่ “ห้องนี้!”
พวกอาจารย์อู่หามผู้บาดเจ็บเข้าไปทันที
ว่ากันตามตรง ทั้งคู่ก็มองออกว่าอาการบาดเจ็บของคนผู้นั้นมันแปลกๆ เซียวลิ่วหลังเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่งที่มาช่วย ไม่ต้องทุ่มเทถึงเพียงนี้ก็ได้
พูดให้ชัดหน่อยก็คือพวกเขาก็ห่วงว่าเซียวลิ่วหลังจะรักษาคนให้ตายเช่นกัน
“เปลอื่นๆ ยกมาไว้ตรงนั้น” กู้เจียวชี้ไปทางแผ่นดินที่ยุบ
ที่ที่แผ่นดินยุบอยู่ฝั่งขวาของศาลา อ้อมจากพื้นที่ว่างเบื้องหน้าไปไม่ไกล
“ให้ข้าทำอะไร” มู่ชิงเฉินถาม
กู้เจียวเอ่ย “ข้าต้องการแผ่นไม้มาดามแขนกับขา”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “ได้ ข้าทราบแล้ว”
มู่ชวนรีบเอ่ย “พี่สี่ ข้าไปด้วย!”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “ข้าไปเองก็พอ เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ห้ามให้ใครบุกเข้ามา”
มู่ชวนสัมผัสได้ถึงความไว้วางใจและความสำคัญในถ้อยคำของพี่สี่ เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอรับ! พี่สี่!”
เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปก็มาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้วเช่นกัน เดิมนึกว่าจะโกลาหลวุ่นวายมาก ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
ที่รักษาก็รักษาไป ที่หามคนก็หามคน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน แม้แต่สำนักบัณฑิตซงซานกับสำนักบัณฑิตจื่อจู๋ที่เดิมทีวิวาทกันก็ยังพักเรื่องในอดีตไว้ก่อน ร่วมแรงกันไปขุดซากปรักหักพังช่วยคนออกมา
ส่วนสิ่งที่เขากังวลที่สุดคือการที่มีคนมาล้อมมุงดูก็ไม่ได้เกิดขึ้น มู่ชิงเฉินพาสำนักบัณฑิตและทหารคุ้มกันของตระกูลมู่เองไปล้อมสถานที่เกิดเหตุอย่างหนาแน่น แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้
เขาเห็นกู้เจียวในสถานการณ์นี้แล้ว
กู้เจียวเพิ่งจะต่อแขนให้ผู้บาดเจ็บคนหนึ่งเสร็จ มู่ชิงเฉินนำแผ่นไม้ขนาดต่างๆ เดินเข้ามาหา กู้เจียวใช้แผ่นไม้ดามไว้กับแขนผู้บาดเจ็บ ก่อนจะใช้ผ้าพันแผลพันไว้แล้วผูกคล้องคอให้เขาไม่ให้มันขยับเขยื้อน
เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปพลันมึนงงขึ้นมา
ช้าก่อน นี่มันนักกีฬาตีคลีสำนักบัณฑิตเทียนฉงที่ใช้กำลังตัวเองก่อกวนทั้งสนามมิใช่รึ
ตั้งแต่การใช้หนามยอกเอาหนามบ่ง ไปจนถึงทำเอาจนม้าเฮยเฟิงเสียหมดท่า ดูอย่างไรเจ้าหนุ่มนี่ก็ ‘ไม่ปกติ’
ทว่าจู่ๆ เขาก็มีท่าทางจริงจังขึ้นมา ตนจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าใดนัก
หลังจากกู้เจียวคล้องผ้าไม่ให้แขนผู้บาดเจ็บขยับแล้วก็ส่งต่อให้หมอของสำนักบัณฑิตหลิงโป “จัดการที่หลุดจากเบ้าแล้ว ขาเขายังมีแผลอื่นอีก”
หมอจากสำนักบัณฑิตหลิงโปพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ข้าจัดการเอง เจ้าเข้าไปผ่าตัดเถิด”
เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปดวงตาเบิกโต อะ อะ อะ ไอ้หนุ่มนี้ยังผ่าตัดคนเป็นอีกด้วยรึ
…
หมอไม่พอจริงๆ หลังจากทราบข่าวจวนกั๋วกงพาหมอเทวดามาด้วยหนึ่งคน เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปก็รีบมาขอความช่วยเหลือจากใต้เท้ารองจิ่งทันที
ใต้เท้ารองจิ่งมองไปยังมู่หรูซิน
มู่หรูซินเอ่ย “คนเป็นแพทย์ย่อมมีจิตเมตตา หน้าที่ของข้าคือช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ ท่านเจ้าสำนักนำทางเถิด”
“ขอบคุณหมอเทวดามู่ยิ่งนัก!” เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง รีบพามู่หรูซินไปที่เกิดเหตุ
มู่หรูซินไม่ได้ให้คนไปเอากระเป๋ายาของตัวเองที่รถม้ามา ในนั้นมีแต่ยาล้ำค่าหายาก นางหักใจใช้กับคนรับใช้พวกนี้ไม่ได้
บังเอิญคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่านางเอามาด้วยเช่นกัน
กู้เจียวผ่าตัดไปได้ครึ่งทาง อวัยวะภายในของผู้บาดเจ็บเสียเลือดอย่างรุนแรง เลือดสดๆ กระเด็นมาเปื้อนแว่นตาป้องกันของนาง จู่ๆ นางก็มองไม่เห็น
สองมือนางไม่ว่าง ไม่มีปัญญาไปเช็ดด้วยซ้ำ
“เสี่ยวซุ่น!”
นางเอ่ยเรียก
มู่ชิงเฉินกำลังช่วยผู้บาดเจ็บกระดูกหักคนหนึ่งดามแผ่นไม้กับอาจารย์อู่อยู่ ได้ยินเข้าจึงรีบลุกไปหา กำลังจะถามกู้เจียวว่าต้องการอะไร ก็เห็นเงาสูงโปร่งร่างหนึ่งเข้าไปในห้องก่อนเขาก้าวหนึ่งแล้ว
เจ้าของร่างนั้นยื่นมือเรียวดุจหยกไปหา ถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดบนแว่นตาให้กู้เจียว
“คีมห้ามเลือด” นางเอ่ย
คนผู้นั้นหยิบคีมห้ามเลือดส่งให้นางอย่างคล่องแคล่ว
นางรับมาบีบหลอดเลือดไว้
“คีมจับเข็ม” นางเอ่ยขึ้นอีก
คนผู้นั้นหยิบคีมจับเข็มส่งให้นางอย่างถูกต้อง
นางเย็บไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ากู้เสี่ยวซุ่นไม่รู้จักของพวกนี้ กู้เหยี่ยนต่างหากที่รู้ เพราะมีเพียงกู้เหยี่ยนที่เคยถามนางอย่างสนใจใคร่รู้
นางหันไปมองคนข้างๆ ในทันใด ก่อนจะตกตะลึงไปเล็กน้อย
เซียวเหิงไม่ได้เอ่ยคำใด ข้างนอกมีคนมองอยู่ เขาจึงพูดไม่ได้
หางตากู้เจียวชำเลืองไปเห็นมู่ชิงเฉินตรงหน้าประตู จึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วเย็บแผลต่อ “ขอบคุณแม่นางยิ่งนัก รบกวนส่งกรรไกรเล่มที่สามทางขวามือมาให้ข้าที ชีวิตคนสำคัญยิ่ง หากมีตรงไหนที่ล่วงเกิน ขอแม่นางอภัยด้วย”
เซียวเหิงสวมชุดของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันและผ้าคลุมหน้า คิ้วและดวงตามองจากด้านข้างประณีตดุจเซียนดุจหยก
“ชิงเฉิน! มาช่วยหน่อย!”
เสียงอาจารย์อู่เรียกขึ้นด้านนอก
มู่ชิงเฉินมองทั้งคู่อย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปในห้อง หมุนตัวไปช่วยผู้บาดเจ็บกับอาจารย์อู่
กู้เจียวคัดแยกผู้บาดเจ็บไว้แต่แรกแล้ว ซ้ำยังทิ้งยาไว้ให้หมอของสำนักบัณฑิตหลิงโปอย่างเพียงพอ การช่วยเหลือในที่เกิดเหตุแม้จะยุ่งแต่ก็ไม่วุ่นวาย แม้จะมากแต่ก็ไม่โกลาหล
นี่เป็นสถานการณ์ที่มู่หรูซินเห็น
นางเดินมาด้วยมาดของผู้กอบกู้โลก ทว่าที่นี่…เหมือนว่าจะไม่มีที่ให้นางได้แสดงฝีมือเท่าใดนัก
นางเคยติดตามอาจารย์ไปสถานที่เกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุนั้นไม่ได้ใหญ่เท่านี้ด้วย แต่วุ่นวายโกลาหลสุดจะบรรยาย แต่ที่นี่…
“ท่านนี้คือแม่นางมู่ ลูกศิษย์ของหมอเทวดาลั่ว” เจ้าสำนักบัณฑิตหลิงโปเอ่ยกับหมอของตัวเอง
หมอได้ยินคำว่าหมอเทวดาลั่วกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เขาชี้ไปที่ผู้บาดเจ็บที่ต้นขารายหนึ่ง “รบกวนแม่นางช่วยจัดการบาดแผลของเขาที”
ภาพที่ผู้คนทั้งหลายต่างให้ความสนใจนางที่มู่หรูซินเฝ้ารอไม่ได้เกิดขึ้น นางขมวดคิ้ว มองไปยังผู้บาดเจ็บที่หมดสติจมกองเลือดอีกคน ก่อนเอ่ย “ข้ารักษาเขาก่อนดีกว่า บาดแผลเขาค่อนข้างร้ายแรง”
สาหัสกับเร่งด่วนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เขาบาดเจ็บสาหัสกว่า แต่ห้ามเลือดไว้แล้ว ตอนนี้บาดแผลไม่ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ แต่ผู้บาดเจ็บที่ต้นขาคนนั้นหากรักษาไม่ทันกาล ก็อาจจะกลายเป็นผู้บาดเจ็บขั้นวิกฤติรายที่สองเพราะเสียเลือดมากเกินไปได้
โชคดีที่หมอรักษาคนไข้ในมือใกล้จะเสร็จแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
มู่หรูซินรักษาให้ผู้บาดเจ็บที่หมดสติ ส่วนหมอไปห้ามเลือดให้ผู้บาดเจ็บที่ต้นขา
กู้เจียวผ่าตัดรายแรกเสร็จสิ้น ก่อนที่กู้เสี่ยวซุ่นจะพาผู้บาดเจ็บสองสามคนเข้ามาเพิ่มอีก พวกเขาล้วนอาการไม่ได้สาหัสเท่าใดนัก
เมื่อมู่ชิงเฉินเดินผ่านหน้าห้องก็ชะงักฝีเท้า ราวกับมองมาข้างในโดยไม่ได้ตั้งใจ บังเอิญเห็นเซียวเหิงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้กู้เจียวเข้าพอดี
“ผ้าพันแผล” กู้เจียวบอก
เซียวเหิงฉวยผ้าพันแผลขึ้นมายื่นให้นาง
ทว่าในขณะนั้นเอง มู่หรูซินกับหมอสำนักบัณฑิตหลิงโปที่อยู่นอกประตูก็จัดการผู้บาดเจ็บคนเดียวกันเช่นกัน ทั้งสองไม่แบ่งแยกชายหญิง ที่ส่งของก็ส่งของ ที่ช่วยเป็นลูกมือก็เป็นลูกมือ
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด มู่ชิงเฉินจึงรู้สึกว่าบรรยากาศของทางกู้เจียวมันไม่เหมือนกับทางมู่หรูซินเลย
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก