สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 663 ตัวจ้อยขาโหด
บทที่ 663 ตัวจ้อยขาโหด
กู้เจียวเริ่มสงสัยว่าตนเองมองผิดหรือไม่ กู้เฉิงเฟิงมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร
มู่ชิงเฉินลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปที่กู้เจียวด้วยสีหน้างุนงง
และแล้วคนกลุ่มนั้นก็เลี้ยวไปอีกทาง
“เจ้าเห็นอะไรรึ” มู่ชิงเฉินเอ่ยถาม
กู้เจียวกลับไปนั่งที่เดิม พลางตอบ “รู้สึกเหมือนเจอคนรู้จักน่ะ”
มู่ชิงเฉินเพ่งสายตาไปทางนอกหน้าต่างและจ้องไปที่คนกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาถามกู้เจียว “เจ้ารู้จักใครกันรึ พวกตระกูลหัน หรือว่าพวกทาสล่ะ”
“ทาสรึ” กู้เจียวตกใจเล็กน้อย
“เจ้าจำผิดคนกระมัง” มู่ชิงเฉินเอ่ยต่อ
กู้เจียวเลื่อนหน้าต่างลง พลางเอ่ย “ข้าคงจำผิดไปจริงๆ ”
เป็นไปไม่ได้ที่กู้เฉิงเฟิงจะมาที่แคว้นเยี่ยน และไม่มีทางที่เขาจะมาเป็นทาสอีกด้วย
…
มีเหมืองแร่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกเมืองเซิ่งตูตรงเชิงเขาตงซาน ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลหัน
เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดอุบัติเหตุในเหมืองและมีแรงงานจำนวนหนึ่งเสียชีวิต ทำให้พวกตระกูลหันต้องซื้อแรงงานทาสชุดใหม่เข้ามาทดแทน
ทาสแรงงานเหล่านี้ล้วนแต่ถูกประทับตราทาสลงบนร่างกาย บ้างก็เป็นคนที่มีฐานะยากจน บ้างก็เป็นคนที่เคยอยู่ในคุก และบ้างก็เป็นคนที่เคยวนเวียนอยู่ในตลาดมืดมาก่อนเช่นกัน
และแล้ว คนกลุ่มนั้นก็เดินมาหยุดที่หน้าจุดตรวจเหมือง ทหารยามชำเลืองมองแรงงานแต่ละคนที่ถูกผูกด้วยเชือก จากนั้นก็เริ่มเอ่ยวาจาเหยียดหยาม “เจ้าพวกนี้ดูไม่ค่อยจะใช้ประโยชน์ได้เท่าไหร่ มีอยู่ไม่กี่คนที่พอใช้งานได้”
นายทหารที่อยู่บนหลังม้านายหนึ่งกล่าวขึ้น “ช่วงนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก มีแรงงานให้ใช้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ทหารยาม “ก็ได้ เช่นนั้นก็รีบไปทำงานได้แล้ว มัวรอช้าอยู่ไย!”
เหล่าทาสทุกคนต่างพากันนั่งลงบนพื้น
กู้เฉิงเฟิงนั่งลงบริเวณท้ายแถวตรงมุมอับ
ในเวลานี้ เขาไม่ใช่บุตรชายของตระกูลขุนนางแห่งแคว้นเจาอีกต่อไปหลังจากที่กินนอนในที่แจ้งมาตลอดหลายวัน
สักพักก็มีคนนำของกินมาวางไว้ให้ คราวนี้เป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว เหล่าแรงงานทาสต่างพากันรุมเข้าไปที่ของกิน
“ยืนขึ้นดีๆ ! อยู่นิ่งๆ ! อย่าขยับ!”
เจ้าหน้าที่ที่แจกอาหารเดินเข้ามาพร้อมกับแส้ในมือ และทุกคนก็ทำตามคำสั่งของเขา
หนึ่งคนจะได้ข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวสองลูก
พอมาถึงกู้เฉิงเฟิง ก็พบว่าเหลือหมั่นโถวแค่ครึ่งลูกเท่านั้น
เขาไม่ได้เอ่ยอะไร รับถ้วยข้าวต้มและหมั่นโถวแข็งๆ ครึ่งลูกนั้นมาและกินมันเข้าไปแต่โดยดี
หลังจากผ่านความหิวโหยมาหลายครั้ง ถึงได้รู้ว่าถ้าเขาไม่เร็วพอ เขาต้องทนหิวไปอีกยาวจนกว่าจะถึงมื้อถัดไป
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ทันทีที่พวกเขากัดหมั่นโถวไปได้แค่ครึ่งลูก พวกนายทหารก็เดินเข้ามาเร่งพวกเขาให้เข้าไปในถ้ำเหมืองทันที
“พวกเราขอกินต่ออีกนิดได้หรือไม่ ยังไม่อิ่มเลย…เกรงว่าจะไม่มีแรงทำงาน…”
ชายอายุราวห้าสิบกว่าคนหนึ่งเอ่ยร้องขอนายทหาร
ทันใดนั้น นายทหารคนนั้นก็ฟาดแส้ลงบนร่างของทาสคนนั้นจนล้มกลิ้งลงหลายตลบ “ทีนี้มีแรงได้แล้วหรือยัง!”
จนกระทั่งชายคนนั้นกลิ้งล้มเข้ามาตรงหน้ากู้เฉิงเฟิง
หากเป็นกู้เฉิงเฟิงคนเก่า เขาคงลุกขึ้นแล้วช่วยพยุงร่างไว้ แต่ในเวลาแบบนี้ เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ และจำใจเดินตามขบวนทาสเข้าไปแต่โดยดี
แล้วทุกคนก็เข้าไปในถ้ำเหมือง
แร่บางชนิดอยู่บนพื้นผิวและสามารถขุดได้โดยตรง ในขณะที่แร่บางชนิดอยู่ใต้ดินและต้องใช้วิธีขุดเจาะลงไปให้ลึกขึ้น
พวกเขาถูกพามายังบริเวณที่มีการขุดเจาะ และได้เจอกับแรงงานทาสอีกกลุ่มที่กำลังทำงานอยู่
“ไปหยิบพลั่วมาสิ!” นายทหารตะโกนสั่ง
ทุกคนรีบเดินไปหยิบพลั่วบนพื้นแล้วเรียนรู้ท่าทางการขุดจากกลุ่มทาสที่อยู่ก่อนหน้า
กู้เฉิงเฟิงเองก็เช่นกัน หยิบพลั่วขึ้นมาแล้วลงมือขุดอย่างจริงจัง
เหล่าทาสทำงานขุดเหมืองอยู่อย่างนั้นจนถึงเที่ยงคืน ทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจนแทบจะไม่มีแรง จนในที่สุดพวกเขาจึงถูกพาออกไปนอนพักที่ห้องนอนขนาดใหญ่
พวกเขานอนอัดกันแน่น อีกทั้งกลิ่นตัวที่คละคุ้งไปทั่วจนแทบจะหายใจไม่ออก
ส่วนกู้เฉิงเฟิงนอนบนแผ่นไม้โดยมีทาสอีกคนหนึ่งอยู่ด้านข้าง ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงห้องดิน
ทุกคนต่างหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
พวกนายทหารพอตรวจห้องเสร็จก็เดินออกไปพร้อมกับลงกลอนจากด้านนอก
กู้เฉิงเฟิงนอนลืมตาท่ามกลางห้องที่มืดสนิท
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็นทาส ในเมื่อเขามาถึงที่เมืองเซิ่งตูแห่งนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องปลอมตัวอีกต่อไป
ต้องหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้
กู้เฉิงเฟิงพลิกตัวขณะที่กำลังครุ่นคิด จนเผลอไปกดทับแผลไหม้ที่ถูกเหล็กร้อนประทับลงบนเนื้อบริเวณขาข้างขวาโดยไม่ตั้งใจ เขาถึงกับสูดปากอย่างแรง
“เจ็บชะมัด!”
แผลบ้านี่แสบชะมัด
กู้เฉิงเฟิงสบถอย่างเหลืออด
…
พอกู้เจียวกลับมาถึงที่เรือน ก็ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองได้ไปเป็นครูสอนขี่ม้าให้ทุกคนได้รับรู้ ที่กู้เจียวต้องเล่าเพราะต่อจากนี้นางยังต้องรับหน้าที่นี้อยู่
อาจารย์แม่หนานเดินเข้ามาจากในครัวพร้อมกับถือถ้วยน้ำแกงซี่โครงต้มข้าวโพดแล้วเอ่ยถาม “เจ้าไปสอนขี่ม้าให้องค์หญิงองค์ไหนรึ ว่าแต่ นอกเมืองมีองค์หญิงอยู่ด้วยหรือนี่”
คำว่าองค์หญิง ฟังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา และองค์หญิงส่วนใหญ่มักจะต้องอาศัยอยู่ในตัวเมือง
“บุตรสาวของท่านเยี่ยนซานจวิ้นน่ะ” กู้เจียวตอบ
“เยี่ยนซานจวิ้น…” อาจารย์แม่หนานรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ก็จริง แต่ด้วยความที่นางไม่ได้กลับมาแคว้นเยี่ยนเป็นเวลานานจึงทำให้นึกไม่ออก
“น้องชายของฮ่องเต้ยังอย่างไรเล่า” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยลอยๆ
“อ๋อ ใช่ ใช่ ใช่ เขาเป็นน้องชายของฮ่องเต้ ก็ว่าแล้วเชียวว่าเหตุใดถึงคุ้นหูนัก” อาจารย์แม่หนานโพล่งหัวเราะออกมา
จากนั้นกู้เจียวก็ถามต่อ “เหตุใดลูกของเขาถึงยังเด็กขนาดนี้อยู่เลยเล่า”
ที่ถามเช่นนี้ เป็นเพราะกู้เจียวจำได้ว่าหมิงจวิ้นอ๋องเป็นบุตรชายของไท่จื่อ หรือก็คือเป็นหลานของฮ่องเต้ หมิงจวิ้นอ๋องอายุไล่เลี่ยกันกับเซียวเหิง ดังนั้นบิดาของเขาก็น่าจะมีอายุพอๆ กันกับท่านโหว
อาจารย์แม่หนานทำหน้าครุ่นคิด “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตัวอาจารย์แม่หนานเองก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์แคว้นเยี่ยนมากนัก
ขณะเดียวกัน ท่านผู้อาวุโสเมิ่งก็เพิ่งกระดกถ้วยน้ำแกงเสร็จหมาดๆ จากนั้นก็เอ่ยลอยๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “เยี่ยนซานจวิ้นเป็นลูกหลงของไทเฮา อายุน้อยกว่าฮ่องเต้เกือบสามสิบปี”
คราวนี้กู้เจียวเริ่มกระจ่างแล้ว ที่แท้ท่านเยี่ยนซานจวิ้นก็คือน้องคนสุดท้องของฮ่องเต้ ดังนั้นองค์หญิงจึงมีศักดิ์เท่ากันกับไท่จื่อ นั่นหมายความว่าหมิงจวิ้นอ๋องต้องเรียกองค์หญิงน้อยว่าท่านน้าสินะ
กู้เจียวอดขำไม่ได้ “นางเป็นผู้อาวุโสหรอกหรือนี่”
ทุกคนต่างพากันมองกู้เจียวด้วยความประหลาดใจ
ที่แท้ก็มัวคิดเรื่องนี้น่ะเอง
นี่เรากำลังพูดถึงองค์หญิงของราชวงศ์กันอยู่นะ!
ว่ากันว่าอยู่ใกล้ราชนิกุลก็ไม่ต่างอะไรกันกับอยู่ใกล้เสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชนิกุลของแคว้นเยี่ยนที่ขึ้นชื่อเรื่องความแปลกประหลาด นั่นยิ่งทำให้อาจารย์แม่หนานอดเป็นกังวลไม่ได้
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเมิ่งเป็นคนมีประสบการณ์ นางจึงหันไปสอบถาม “ท่านเยี่ยนซานจวิ้นผู้นี้เป็นคนแบบใดกันหรือ”
ถ้าเกิดเป็นคนไม่ดีขึ้นมา ก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วย
“ตัวท่านเยี่ยนซานจวิ้นเองน่ะไม่มีอะไรหรอก” ผู้อาวุโสเมิ่งเอ่ยตอบ ก่อนจะหันไปหากู้เจียว แล้วถามต่อ “เจ้าไม่ได้ทำให้องค์หญิงไม่พอพระทัยจนร้องไห้ใช่ไหม”
กู้เจียวตอบอย่างจริงจัง “ไม่เคย ข้าจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร”
ผู้อาวุโสเมิ่งได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ดีแล้ว ฮ่องเต้ทรงโปรดองค์หญิงมาก ก่อนหน้านี้ใครที่เคยทำองค์หญิงร้องไห้ล้วนถูกสั่งประหารหมด!”
กู้เจียว “…”
เช้าตรู่ของวันถัดมา กู้เจียวหยิบทวนพู่แดงออกมาฝึกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ฝึกเป็นเวลานาน ฝึกไปก็พลางนึกถึงวันที่คิดว่าตัวเองเจอเข้ากับกู้เฉิงเฟิง
จากนั้น กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นก็เดินทางไปที่สำนักบัณฑิตด้วยกัน
ขณะที่พวกเขาเดินมาถึงตรงบริเวณประตู ก็มีรถม้าหรูคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาขวางทางของพวกเขา
หันเช่อที่เดินลงมาจากรถม้าพร้อมกับชุดผ้าแพรราคาแพง
หันเช่อมองกู้เจียวด้วยสายตาพิรุธ จากนั้นก็เปิดประตูรถออกเพื่อให้ใครอีกคนเดินลงมา
กู้เจียวเคยเห็นเขามาก่อน
เขาคือหมิงจวิ้นอ๋อง ผู้ที่เคยมาเยี่ยมมู่ชิงเฉินที่สำนักบัณฑิต
ดูเหมือนว่าหมิงจวิ้นอ๋องผู้นี้จะเป็นคนเพื่อนฝูงเยอะพอสมควร แถมยังดูสนิทสนมกับเหล่าท่านชายจากตระกูลมีชื่อเสียงไม่ว่าระหว่างตระกูลพวกเขาจะมีความขัดแย้งกันหรือไม่ก็ตาม
กู้เจียวคิดว่าเขาคงมาหามู่ชิงเฉินตามเคย จึงไม่ได้สนใจและพยายามจะเดินอ้อมรถม้าเข้าไปในสำนักบัณฑิต
แต่จู่ๆ หันเช่อกลับเรียกให้นางหยุด “นี่ หยุดก่อนสิ เซียวลิ่วหลัง!”
กู้เจียวไม่หยุด
หันเช่อสูดปาก
จากนั้นทหารในชุดผ้าแพรของหมิงจวิ้นอ๋องก็เดินเข้าไปขวางด้านหน้ากู้เจียว
กู้เจียวขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“เจ้าเข้าไปข้างในก่อน” กู้เจียวบอกกับกู้เสี่ยวซุ่น
ตอนแรกกู้เสี่ยวซุ่นอยากอยู่ด้วย แต่จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบตอบ “ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ!”
นายทหารในชุดผ้าแพรไม่ได้รั้งกู้เสี่ยวซุ่นไว้
กู้เจียวหันไปทางสองคนนั้น “มีเรื่องอะไรรึ”
ท่าทีหยิ่งผยองของอีกฝ่ายทำให้หมิงจวิ้นอ๋องต้องขมวดคิ้วเบาๆ
แต่นี่แหละคือสิ่งที่หันเช่อต้องการ เขาอยากให้เซียวลิ่วหลังเป็นคนแหย่หมิงจวิ้นอ๋อง
ดูเหมือนหมิงจวิ้นอ๋องไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตน เขารีบซ่อนความไม่พอใจแล้วตีหน้าใสซื่อเอ่ยทักทายกู้เจียว “ข้าคือสหายของมู่ชิงเฉิน ข้าเคยมาที่สำนักบัณฑิตของเจ้าครั้งหนึ่ง”
“แล้วอย่างไรต่อรึ” กู้เจียวมองอีกฝ่ายด้วยหางตา
หมิงจวิ้นอ๋องผู้ที่คาบช้อนทองมาเกิดย่อมไม่เคยถูกใครเมินเฉยใส่มาก่อน
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ในเมื่อเขายังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็ยังพอเข้าใจได้
อีกฝ่ายคงแค่เพิกเฉยใส่หันเช่อก็เท่านั้น
พอคิดได้ดังนั้น หมิงจวิ้นอ๋องก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยกับกู้เจียวอีกครั้ง “ข้ามิได้มีอะไรแอบแฝง แค่อยากทำความรู้จักเท่านั้น ในเมื่อพวกเราต่างก็เป็นสหายของชิงเฉินเหมือนกัน”
หันเช่อพอได้ยินก็ถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม พลางนึกเหตุใดจวิ้นอ๋องถึงสุภาพกับเขาขนาดนี้ ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้านั่นมันเป็นพวกแคว้นล่าง
ที่หมิงจวิ้นอ๋องทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการไว้หน้ามู่ชิงเฉิน หาใช่เซียวลิ่วหลังไม่
ในบรรดาสิบอันดับตระกูลชั้นสูงในเมืองเซิ่งตู ชื่อของท่านชายมู่ชิงเฉินก็ปาเข้าไปแล้วสามตระกูล หากได้มู่ชิงเฉินมาเป็นพวก ก็เท่ากับได้ตระกูลซู ตระกูลมู่ และตระกูลหวังมาเป็นพวกด้วยเช่นกัน
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวตอบห้วนๆ
“นี่! รู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร เจ้าคนไม่รู้ดีชั่ว อย่ามาทำเป็นปากดีหน่อยเลย!” หันเช่อตะคอกเสียงแข็ง
“นี่ ท่านชายหัน อย่าเพิ่งใจร้อนสิ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน” หันเช่อหน้าแดงด้วยโทสะ
หมิงจวิ้นอ๋องหัวเราะกลบเกลื่อนไปหนึ่งที ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีอาชาไนยที่เก่งกาจและแข็งแกร่งมาก การแข่งขันรอบก่อนข้าดันติดธุระ ก็เลยไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าขอชมมันหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ได้” กู้เจียวปฏิเสธโดยแทบไม่คิด
หมิงจวิ้นอ๋องแทบจะไปต่อไม่ถูก!
นี่เขาคิดถูกแล้วใช่ไหม ที่ไม่เปิดเผยตัวตน
“เซียวลิ่วหลัง อย่าว่าแต่ขอดูม้าเลย หากท่านชายท่านนี้พูดออกมาว่าเขาต้องการม้าของเจ้า เจ้าก็ต้องมอบม้าของเจ้าให้และไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เข้าใจไหม” หันเช่อประชด
กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็มองสองคนนั้นด้วยหางตา “แปลว่าพวกเจ้าต้องการจะชิงม้าไปของข้ารึ”
หมิงจวิ้นอ๋องเริ่มขมวดคิ้ว
ตอนแรกเขาแค่อยากมาดูม้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขาเริ่มมีความคิดอยากช่วงชิงเจ้าม้าตัวนั้นขึ้นมาแล้วสิ
ของที่เขาอยากได้ เขาต้องได้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้
เจ้าเด็กจากแคว้นล่างนี่ก็ใช่ย่อยเลยนะ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เปิดเผยตัวตน หรือว่าความเป็นราชนิกุลของเขาไม่เพียงพอที่จะข่มขู่อีกฝ่ายให้รู้สึกเกรงกลัวได้เลย!
ส่วนบัณฑิตคนอื่นๆ ที่เห็นและได้ยินเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็เริ่มคิดกันไปต่างๆ นานา
คนผู้นั้นเป็นถึงบุตรชายของไท่จื่อ อีกทั้งยังเป็นหลานชายคนโตของฮ่องเต้อีกด้วย
ในเมื่อเขาต้องการม้าของเซียวลิ่วหลัง ต่อให้กู้เสี่ยวซุ่นไปตามมู่ชิงเฉินมาช่วยเกรงว่าก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้ามามุงตรงนี้กันทำไม ไม่ไปเรียนหนังสือรึ”
เจ้าสำนักเสินเดินเข้ามาพอดี
บัณฑิตคนหนึ่งกระซิบรายงานให้เจ้าสำนักได้ฟัง “เจ้าสำนักขอรับ หมิงจวิ้นอ๋องเสด็จมาที่นี่ขอรับ และทรงต้องการม้าของเซียวลิ่วหลังขอรับ!”
“อะไรนะ!” สีหน้าของเจ้าสำนักเสินเริ่มไม่สู้ดีนัก
เจ้าสำนักเสินลองชะเง้อคอมองข้างนอก ก็เจอกับกู้เจียว รวมถึงหันเช่อ และหมิงจวิ้นอ๋อง
ว่าแต่หมิงจวิ้นอ๋องรู้เรื่องม้าของกู้เจียวได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้มาดูแข่ง
หารู้ไม่ว่าคนที่ต้องการม้าคือหันเช่อ เพียงแต่เขาไม่ต้องการออกโรงเอง รวมถึงตัวเขาเองไม่อาจเอาชนะมู่ชิงเฉิน จึงเลือกที่จะยืมมือหมิงจวิ้นอ๋องแทน
ของที่หมิงจวิ้นอ๋องต้องการ ไม่มีทางที่คว้ามาไม่ได้
แย่ละ ม้าของเซียวลิ่วหลังไม่รอดแน่
“จะชิงอะไรกัน” หมิงจวิ้นอ๋องยิ้มเจื่อน
แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่ได้ต้องการจะแย่งชิง ทว่านายทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มเอามือคว้าดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวกันแล้ว
และในตอนที่หมิงจวิ้นอ๋องกำลังจะออกคำสั่งให้ทหารชักดาบนั้น รถม้าคันหนึ่งก็เข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดจอดลงข้างๆ
พอประตูรถคันนั้นถูกเปิดออก ปรากฏเด็กหญิงตัวเล็กในชุดผ้าทอสีชมพูและเครื่องหยกก็กระโดดออกมาจากรถม้า
“พวกเจ้า ทำอะไรกันน่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กเอ่ยถาม
หมิงจวิ้นอ๋องตกใจทันที
เด็กหญิงเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าหมิงจวิ้นอ๋อง เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “เหตุใดถึงไม่พูดล่ะ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
หมิงจวิ้นอ๋องได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ยกมือประสาน แล้วก้มหัวลง “ท่านน้า”
“เมื่อครู่นี้ พวกเจ้าพูดคุยอะไรกันอยู่รึ” องค์หญิงน้อยหันไปถามกู้เจียว
หมิงจวิ้นอ๋องรีบหันไปขยิบตาให้พวกนายทหารเก็บดาบลง หลังจากที่เขานึกขึ้นได้ว่าท่านน้าตัวจิ๋วผู้นี้มีนิสัยขี้ฟ้อง
“ไม่มีอะไรขอรับ กระหม่อมแค่มาหาสหายของกระหม่อมก็เท่านั้น” หมิงจวิ้นอ๋องตีหน้าซื่อ
“เป็นเช่นนั้นรึ” องค์หญิงหันไปถามกู้เจียว
พอได้ยินดังนั้น กู้เจียวรีบยกมือกอดอก “ไม่ใช่อย่างที่เขาพูดเลย ชายผู้นี้ต้องการแย่งม้าของข้า”
หมิงจวิ้นอ๋อง “…”
องค์หญิงน้อยหน้าบึ้งในทันที “อุ้มข้าขึ้นเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำสั่งองค์หญิง ก็มีนางกำนัลรีบวิ่งเข้ามาแล้วช้อนร่างขององค์หญิงขึ้น
องค์หญิงน้อยเหยียดมือเล็กๆ ออก ก่อนจะง้างมือขึ้นแล้วตบลงไปบนหน้าผากของหมิงจวิ้นอ๋องฉาดใหญ่ พร้อมกับต่อว่าอย่างดุเดือด “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน! กล้าดียังไงมารังแกอาจารย์ของข้า!”