สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 664 องค์หญิงน้อยจอมแกร่ง
บทที่ 664 องค์หญิงน้อยจอมแกร่ง
เจอฝ่ามือนี้เข้าไป ความเจ็บนั้นช่างน้อยนิด หากเทียบกับความรู้สึกอับอายที่เกิดขึ้น
หมิงจวิ้นอ๋องแทบไม่รู้ว่าจะต้องเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เปิดเผยตัวตน แค่ดูทหารยามในชุดผ้าแพรจากจวนรัชทายาทก็น่าจะพอเดาได้ไม่ยาก
แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น
จู่ๆ เจ้านี่กลายมาเป็นอาจารย์ของนางได้อย่างไร
ไม่เข้าใจเลยสักนิด!
“ช้าก่อน!”
“เหตุใดท่านถึงไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด แต่พอเจ้านั่นบอกว่าข้ากำลังจะแย่งม้าของเขา ท่านกลับเชื่อใจเขาทันที! ไม่ยุติธรรมเลย!” หมิงจวิ้นอ๋องกัดฟันเอ่ยกับองค์หญิงน้อยด้วยความโกรธพลางชี้ไปที่กู้เจียว
องค์หญิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก
และเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
ก็ไม่ยุติธรรมอย่างที่เขาว่าจริงๆ
แต่คนอย่างองค์หญิงมีหรือจะยอมลดทิฐิ อย่าหวัง!
องค์หญิงกลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะโต้ตอบอย่างแน่วแน่ “แล้วใครใช้ให้เจ้าชอบพูดโกหกบ่อยๆ กันล่ะ! คำพูดของเจ้าก็เลยยิ่งไม่น่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่!”
“ท่าน!”
องค์หญิงน้อยผู้นี้แทบจะทำให้เขาโมโหจนอกแตกตาย!
เมื่อครู่นี้ที่โดนตบว่าแย่พอแล้ว มิหนำซ้ำนางยังมาเอ่ยถึงข้อเสียของเขาต่อหน้าคนอื่นอีก!
องค์หญิงน้อยนึกเรื่องที่จะใช้โต้กลับออกในทันที ก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างมั่นใจ “ยังไม่ยอมรับอีกหรือ จำได้ไหมว่าปีที่แล้วเจ้าแอบไปชนไก่และถูกลูกพี่ลูกน้องของไท่จื่อจับได้! ไหนจะเรื่องที่เจ้าจ้างให้คนเขียนรายงานให้เจ้า! ไม่พอนะ ยังมีเรื่องที่เดือนที่แล้วเจ้าพูดปดกับฝ่าบาทอีกด้วย! เหอะ! คิดหรือว่าข้าจะจำวีรกรรมของเจ้าไม่ได้น่ะ เจ้าเห็นว่าข้ายังเด็กสินะ เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ!”
หมดกัน
เขาถูกยัยตัวเล็กเปิดโปงจนไม่เหลือความดีอะไรแล้ว
อันที่จริง เรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น เรื่องชนไก่เขาก็แค่เล่นไปเรื่อยเท่านั้น ส่วนเรื่องเขียนรายงานเป็นเพราะเขาขี้เกียจเขียนเอง ส่วนเรื่องที่บอกว่าเขาพูดปดกับฮ่องเต้นั้นแทบไม่มีอะไรเลย ใช้คำว่าพูดปดแทบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเขาเอ่ยว่าคิดถึงฝ่าบาททั้งวันทั้งคืน เขาเอ่ยผิดตรงไหน
มีเด็กน่ารำคาญแบบนี้อยู่ในโลกได้อย่างไรกัน!
หมิงจวิ้นอ๋องไม่สามารถโต้เถียงกับองค์หญิงตัวน้อยได้ อีกทั้งเขายังต้องเกลี้ยกล่อมและยอมจำนนให้นางทุกครั้งไป
ไม่อย่างนั้นนางจะรีบวิ่งไปฟ้องฮ่องเต้ เพราะเจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยขี้ฟ้องสุดๆ !
แล้วตัวเขาเองล่ะไปฟ้องบ้างได้หรือไม่ แน่นอนว่าเขาทำเช่นนั้นได้ แต่เพื่ออะไรล่ะ
องค์หญิงน้อยอายุเท่าไหร่ แล้วเขาอายุเท่าไหร่
องค์หญิงน้อยคิดว่าที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เป็นเพราะตัวเองมียศสูงกว่า หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาเห็นว่าองค์หญิงน้อยยังเด็กนัก
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันขององค์หญิงน้อยทำให้หมิงจวิ้นอ๋องจำต้องยอมถอยทัพกลับไปก่อน
ก่อนออกไปเขาถูกองค์หญิงน้อยกดหัวบังคับให้เขาถวายบังคมให้อีกด้วย
ทั้งเจ้าสำนักเสินและบัณฑิตคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
องค์หญิงน้อยมาได้เวลาพอดีจริงๆ
ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าต่อกรกับหมิงจวิ้นอ๋องกันล่ะ
แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่นี้ที่องค์หญิงน้อยบอกว่าจะไม่ปล่อยให้หมิงจวิ้นอ๋องรังแกอาจารย์ของนาง อาจารย์ที่ว่า หมายถึงเซียวลิ่วหลังรึ
ในตอนนั้นเอง กู้เสี่ยวซุ่นก็กำลังรีบพามู่ชิงเฉินมายังที่เกิดเหตุ แต่กลับพบว่าทั้งหมิงจวิ้นอ๋องและหันเช่อออกไปแล้ว แผนของกู้เสี่ยวซุ่นจึงพังลงต่อหน้าต่อตา
“องค์หญิงน้อย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงเฉินเดินเข้าไปทักทายองค์หญิงน้อย
“วางข้าลง” องค์หญิงน้อยเอ่ย
นางกำนัลที่อุ้มนางอยู่ก็ได้วางร่างของนางลง
องค์หญิงน้อยไม่ใช่คนที่ชอบให้ถูกอุ้มนัก เพราะคนจะมองว่านางยังเด็กและนางก็พึงระลึกอยู่ตลอดว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโส
“ข้ามาหาเขา” องค์หญิงน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กู้เจียว
กู้เจียวมองกลับด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดท่านจึงมาหาข้ารึ”
“เรื่องขี่ม้ายังไงเล่า” องค์หญิงน้อยตอบ “เมื่อวานที่ข้าถามเจ้าไปว่าจะมาสอนเมื่อไหร่ เจ้าก็ไม่ยอมให้คำตอบเสียที”
อ๋อ ที่แท้ก็ต้องยืนยันนี่เอง กู้เจียวก็นึกว่าพอเลิกเรียนแล้วค่อยไปหาเสียอีก
“เรื่องนี้ข้าผิดเอง ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้” กู้เจียวน้อมรับผิดแต่โดยดี
กู้เจียวไม่ใช่คนที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เวลาอยู่ต่อหน้าเด็กๆ
องค์หญิงน้อยพอใจอย่างมากกับทัศนคตินี้ของกู้เจียว นางเกลียดผู้คนที่พูดจาไร้สาระและหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อหลอกนางตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น หลานชายจอมอกตัญญูอย่างหมิงจวิ้นอ๋อง!
“เช่นนั้น ตอนนี้เจ้าให้คำตอบข้ามาได้แล้ว” องค์หญิงน้อยเอ่ยกับกู้เจียว
“ข้าจะไปหาท่านหลังเลิกเรียน ใช้เวลาเดินทางไปหาท่านราวครึ่งชั่วยาม” กู้เจียวตอบ
องค์หญิงน้อยพยักหน้า “ตกลง เช่นนั้นก็ตามนั้น”
องค์หญิงน้อยเอ่ยลากู้เจียวและมู่ชิงเฉินก่อนจะขึ้นรถม้าแล้วออกไป
กู้เจียวครุ่นคิด นี่องค์หญิงน้อยอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลก็เพื่อจะถามคำถามนี้เท่านั้นหรอกรึ โลกของราชนิกุลตัวน้อยช่างเข้าใจยากเหลือเกิน
…
อีกด้านหนึ่ง ณ เหมืองแร่ที่ล้อมรอบด้วยภูเขา กู้เฉิงเฟิงและแรงงานทาสคนอื่นๆ ใช้เวลาทั้งวันในการขุดเหมือง บางคนถึงกับเป็นลมกะทันหันเนื่องจากอากาศร้อนจัด
กู้เฉิงเฟิงก็เริ่มมีอาการเป็นลมแดดอ่อนๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป
แขนเสื้อของเขาพับขึ้นสูง เผยให้เห็นผิวของลำแขนสีน้ำตาลที่เกิดจากการถูกแดดเผารวมถึงรอยเส้นเอ็นที่ปูดนูนขึ้นมาทุกครั้งที่เขาออกแรงขุด
ในที่สุดเมื่อถึงเวลาพลบค่ำ งานหนักก็จบลง เหล่าทาสแรงงานเกือบเป็นอัมพาตจากความเหนื่อยล้า เช่นเดียวกันกับกู้เฉิงเฟิง เขาล้ามากจนต้องทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหินแล้วพักหายใจหอบ
วันคืนที่แสนทรมานเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่เขาก้าวเท้าเข้ามายังแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นที่เหมืองหรือที่ไหนๆ แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีวันไหนที่เขาได้ใช้ชีวิตดีๆ เลยสักวัน
เขาเคยผ่านความเจ็บปวดจากในช่วงสงครามก็จริง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีของเขาถูกเหยียบย่ำเช่นนี้
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยตุ่มน้ำ วันนี้ตุ่มน้ำเจ้ากรรมดันแตกขึ้นมาจนกลายเป็นแผลช้ำเลือด ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เขาไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบถุงใส่น้ำที่แขวนอยู่ที่เอว แล้วเงยหน้ายกขึ้นดื่มจนเหลือแต่เศษทราย
“กินข้าว!”
เสียงตะโกนของนายทหารดังขึ้น
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เหล่าแรงงานทาสต่างแบกร่างที่เหนื่อยล้าเดินมายังเพิงเพื่อกินข้าว
คราวนี้กู้เฉิงเฟิงไม่รั้งท้ายแถวเหมือนครั้งก่อนๆ เขารีบวิ่งไปขอข้าวเป็นคนแรก ได้ข้าวต้มเนื้อข้นๆ มาหนึ่งถ้วยพร้อมกับหมั่นโถวข้าวโพดอีกสองลูก
จากนั้นเขาหาที่นั่งว่างแล้วลงมือกินข้าวอย่างตั้งใจ
ดูจากสภาพการณ์ท้องฟ้าตอนนี้ เป็นไปได้ว่ากลางคืนจะมีพายุฝน
และด้วยเหตุนี้เอง เหล่าแรงงานทาสจึงได้หยุดพักงานกะกลางคืน
พอกินข้าวเสร็จ ทุกคนต่างรีบกลับไปยังห้องพัก และเหมือนเดิมคือลงกลอนประตูจากข้างนอก ไม่ให้ใครเข้าออกได้
อากาศร้อนอบอ้าวมาก อีกทั้งแรงงานทาสราวยี่สิบสามสิบคนถูกอัดรวมกันอยู่ในห้องเดียว กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ยังคงหมักหมมอยู่ในห้อง
กู้เฉิงเฟิงนอนอยู่บนกระดานไม้ด้านในสุด สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับกลิ่นนี้มานานแล้ว
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำทะมึนก็เข้ามาทำให้ท้องฟ้ามืดลงทันที
ไม่นานก็ตามมาด้วยแสงวาบจากฟ้าแลย
กู้เฉิงเฟิงรู้ในทันทีว่านี่คือโอกาสในการหลบหนีของเขา
เมื่อเห็นว่าทุกคนในนั้นหลับกันหมดแล้ว กู้เฉิงเฟิงจึงค่อยๆ ย่องลงมาจากเตียงและเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู
ประตูลงกลอนจากด้านนอกและไม่สามารถแงะเปิดได้ เขาไม่มีเครื่องมือ และทำได้เพียงใช้กำลังภายในเพื่อเปิดมันเท่านั้น
เขาทำได้เพียงรอให้ฟ้าร้องครั้งต่อไปดังขึ้น เพื่อไม่ให้พวกหน่วยลาดตระเวนรู้ตัว
และแล้ว แสงวาบของฟ้าแลบก็สะท้อนจนเกิดเป็นสีขาวสว่างขนาดที่สามารถมองเห็นมดที่กำลังเดินอยู่บนพื้นได้ชัดเจน
ตอนนี้ล่ะ!
หลังจากแสงวายสาดส่องลงมา ก็ตามมาด้วยเสียงทุ้มดังสนั่นของฟ้าร้อง กู้เฉิงเฟิงใช้โอกาสนี้พังกลอนประตูจนสำเร็จ
เขาเปิดประตูแล้วเดินออกมา แล้วดึงเส้นผมของเขาออกมาทำเป็นเชือกเพื่อคล้องประตูไว้ให้ดูเผินๆ ว่าเหมือนถูกลงกลอนไว้อยู่
สิ้นเสียงฟ้าร้อง ก็ตามมาด้วยฝนเม็ดใหญ่โปรยลงมา
กู้เฉิงเฟิงวิ่งฝ่าสายฝนอย่างไม่ลังเล ปริมาณฝนที่ตกหนักอาจช่วยปกคลุมรอยเท้าและกลิ่นตัวของเขาไว้ได้ แต่เขาต้องระวังมากกว่าปกติเพื่อไม่ให้เผลอเดินไปชนใครและถูกจับได้
“ไอ้หยา ตกแบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยทีเดียว ดูสิ เสื้อข้าเปียกหมดแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเดินงานต่อได้ไหม”
“ไม่เห็นต้องสนเลย พวกเราไม่ใช่คนขุดเหมืองสักหน่อย”
กู้เฉิงเฟิงยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ รอเวลาให้ทหารยามสองคนนี้เดินออกไปให้ไกลมากขึ้น
พอเห็นว่าทางสะดวกแล้ว กู้เฉิงเฟิงจึงมุ่งหน้าวิ่งต่อไปตรงปากทางเข้าเหมือง
ซึ่งปากทางที่ว่าก็คือจุดตรวจคนเข้าออก มีทหารยามคุ้มกันอยู่ตลอด อีกทั้งตรงนี้เป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวที่เขาต้องผ่าน เนื่องจากทางที่เหลือเต็มไปด้วยวัชพืชและกับดักพิษ
เขารออยู่ท่ามกลางฝน จนกระทั่งเห็นว่าทหารยามที่เฝ้าอยู่เริ่มมีอาการอ่อนล้าและสัปหงก
กู้เฉิงเฟิงสบโอกาสและรีบวิ่งผ่านหน้าทหารยามอย่างรวดเร็ว!
หากบอกว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยคงเป็นเรื่องโกหก เมื่อครู่นี้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา โชคยังดีที่เขาไม่ถูกจับได้
จากนั้น เขาก็เดินย้อนไปตามทางที่มา
ฝนตกหนักและเสื้อผ้าของเขาเปียกโชก
เขาไม่กล้าหยุดฝีเท้าแม้แต่อึดใจเดียว เพราะเกรงว่าพวกทหารยามจะตามทัน
กู้เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งหนีออกมานานแค่ไหน จนตอนนี้ขาของเขาเริ่มไร้ความรู้สึกแล้ว และในที่สุดเขาก็วิ่งมาจนถึงถนนหลวง เขาหยุดพักแล้วเอามือค้ำกับต้นไม้พร้อมกับหายใจหอบแรง
ทันใดนั้นก็มีเสียงกีบม้าดังมาจากที่ไกลๆ
“ที่นี่มีถนนหลวงเพียงสายเดียว เขาต้องหนีไปทางนี้แน่ๆ !”
เสียงของทหารที่เหมืองนี่นา!
พวกเขารู้เร็วขนาดนี้เลยรึ!
กู้เฉิงเฟิงกัดฟันแน่น เงยหน้ามองขึ้นไปที่กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ก่อนตัดสินใจปีนขึ้นไปหลบบนนั้น
ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีฟ้าผ่าแล้ว ไม่อย่างนั้นกู้เฉิงอาจได้ตายเพราะถูกฟ้าผ่า หรือไม่ก็ถูกคนพวกนั้นจับตัวได้
“ไป!”
คนกลุ่มหนึ่งรีบควบม้าวิ่งผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่
พอเสียงกีบม้าเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ กู้เฉิงเฟิงก็โน้มตัวพิงลำต้นของต้นไม้และหายใจหอบกระชั้น
หลังจากที่เขาได้หยุดนิ่งแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่ขาก็เริ่มชัดเจนขึ้น
แผลที่ถูกเหล็กร้อนประทับนอกจากจะยังไม่หายดีแล้ว ซ้ำยังเจอกับฝนที่ตกหนัก และยิ่งทำให้แผลของเขาเหวอะหวะมากกว่าเดิม