สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 670 สามีภรรยาพบพาน (1)
บทที่ 670 สามีภรรยาพบพาน (1)
ณ สนามประลองการต่อสู้ประจำตระกูลหัน ท่านชายใหญ่หันกำลังโจมตีมือของคู่ต่อสู้ด้วยทวนพู่แดงจนอีกฝ่ายต้องถอยหลายก้าว
หลังจากคู่ต่อสู้ทรงตัวได้ ก็รีบประสานมือคำนับให้ท่านชายใหญ่หัน “ข้าแพ้แล้วขอรับ ท่านชายใหญ่!”
ท่านชายใหญ่หันเหงื่อโชกและหอบเล็กน้อย เขาโยนทวนพู่แดงในมือให้ทหาร พลางเอ่ย “อย่าลืมรักษาบาดแผลล่ะ”
“ขอรับ!”
จากนั้นมือสังหารก็ถูกทหารหามตัวออกไป
บ่าวรับใช้เดินเข้ามาที่สนามพร้อมกับยื่นผ้าสะอาดให้ท่านชายใหญ่
ท่านชายใหญ่หันหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะหันไปทางชายวัยกลางคนที่กำลังเฝ้าดูห่างๆ “เป็นอย่างไรบ้างท่านลุงรอง”
ลุงรองที่ท่านชายใหญ่หันเอ่ยถึงคือใต้เท้ารองของตระกูลหัน นามหันหย่ง
หันหย่งเดินเข้ามาพร้อมกับเอามือพาดหลัง “มีพัฒนาการเมื่อเทียบกับเดือนก่อน”
ท่านชายใหญ่หันได้ยินดังนั้นก็ถอนใจโล่ง อันที่จริงเขายังไม่พอใจเท่าไหร่นัก จึงถามต่อ “เทียบกับเซวียนหยวนเฉิงล่ะ”
เซวียนหยวนเฉิงเป็นท่านชายใหญ่ของตระกูลเซวียนหยวน ฝีมือการต่อสู่ของเขาเรียกได้ว่าสามารถทัดเทียมกับนักรบในตำนานของตระกูลเซวียนหยวนได้
ครั้งหนึ่งหันหย่งเคยทำงานรับใช้เซวียนหยวนเฉิงมาก่อน
เขากระแอมหนึ่งที ก่อนจะพูดกับหลานชายอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ายังเด็กอยู่เลย ต้องฝึกให้หนักเข้าไว้ สักวันอาจตามเขาทันได้”
“แปลว่าข้ายังสู้เขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ท่านชายใหญ่หันถามพร้อมกับยื่นมือให้ทหารที่กำลังถือหอกให้เขาอยู่
นายทหารยื่นหอกให้เขาด้วยสองมือ
จากนั้นท่านชายใหญ่หันลงมือฝึกซ้อมอีกครั้ง พร้อมทั้งใส่พลังอย่างเต็มที่ในทุกกระบวนท่า
หลังจากฝึกเสร็จ เขาก็ยังไม่พอใจเหมือนเดิม ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ทำอย่างไรก็สู้นายพลเซวียนหยวนไม่ได้อยู่ดี”
หันหย่งได้ยินหลานชายเอ่ยเช่นนั้นก็หัวเราะ “จะรีบไปไย ตอนเซวียนหยวนเฉิงอายุเท่าเจ้าอาจไม่ได้เก่งกาจเช่นเจ้าก็เป็นได้ เป็นเพราะเขามีโอกาสได้ออกรบเร็ว ซึ่งเป็นโอกาสที่เจ้ายังไม่ได้รับ”
ท่านชายใหญ่หันโยนทวนพู่แดงส่งให้ทหารอีกครั้ง
ทวนเจ้ากรรมก็น้ำหนักมากเสียจนทหารเกือบทรงตัวไม่อยู่
“มีนักต่อสู้หน้าใหม่ๆ เข้ามาบ้างหรือไม่” ท่านชายใหญ่หันถามขึ้น
หันหย่งจึงตอบเขา “เจ้าพูดถึงสนามประลองใต้ดินใช่ไหม ยังไม่มีหรอก ถ้ามีจะรีบบอกทันที อันที่จริงมือสังหารของตระกูลเราก็ไม่เลวเลยนะ เพียงแต่ประสบการณ์อาจไม่มากนัก จึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมสำหรับเจ้า”
ไม่ว่าฝีมือของพวกมือสังหารจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่คู่ฝึกที่ควรค่าแก่การพัฒนาศักยภาพ เพราะสิ่งที่มือสังหารทำได้คือการสังหารคน มิใช่สำหรับการเรียนรู้กระบวนท่า
หันหย่งเอ่ยต่อ “ลำพังแค่ในเมืองเซิ่งตูก็แทบไม่มีใครสู้เจ้าได้แล้ว อย่ากดดันตัวเองเลย อ้อ จริงสิ ข้าลืมเลยว่ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“ท่านลุงรองว่ามาเลยขอรับ” ท่านชายใหญ่หันเอ่ย
“ใกล้ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแล้ว กุ้ยเฟยให้มาเชิญพวกเจ้าสองพี่น้องไปงานสรรเสริญด้วย” หันหย่งเอ่ย
ท่านชายใหญ่หันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ดูสภาพหันเช่อแล้ว คงเข้าร่วมไม่ได้ขอรับ”
“เจ้าไปได้นี่” หันหย่งเอ่ย
ท่านชายใหญ่หันไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด กลับมีข้อสงสัย “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทไม่เคยจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดเลย เหตุใดปีนี้ถึงได้จัดขึ้นขอรับ”
วันเกิดของฝ่าบาทตรงกับวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ไท่หนี่ว์ และนับตั้งแต่ที่องค์หญิงใหญ่ดองกับตระกูลเซวียนหยวน ฝ่าบาทก็ไม่เคยคิดจะฉลองวันเกิดอีกเลย
หันหย่งถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “ใครจะไปรู้ล่ะ ฝ่าบาททรงเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักมีความคิดแปลก ๆ อยู่ตลอด ไม่มีใครเดาความคิดของพระองค์ได้หรอก”
“ท่านชายใหญ่ขอรับ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน มือสังหารสองนายที่ได้รับคำสั่งให้สะกดรอยตามกู้เจียวก็เดินเข้ามา นามว่าซุนเฟิงและเจิ้งไห่
ซึ่งซุนเฟิงคือคนที่ถูกกู้เจียวขโมยกระเป๋าไป
ทั้งสองโค้งคำนับให้ท่านชายใหญ่หัน
“ไยจึงกลับมาเร็วนักล่ะ แล้วคนที่ข้าให้ไปสอดแนมเล่า” ท่านชายใหญ่หันสังเกตท่าทางอิดโรยของลูกน้องพร้อมกับเอ่ยถาม
ทั้งสองเริ่มออกอาการรู้สึกผิด ซุนเฟิงประสานมือแล้วเอ่ยตามความจริง “คลาด คลาดสายตาไปได้ขอรับ”
“คลาดสายตารึ” ท่านชายใหญ่หันแสดงสีหน้าไม่พอใจ “พวกเจ้าสองคนทำพลาดรึ”
ทั้งสองเริ่มเหงื่อตก ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
พวกเขาเป็นทหารคนสนิทของท่านชายใหญ่หัน มีความสามารถพอตัว และคอยช่วยเหลือให้อยู่ตลอด แต่งานวันนี้พวกเขาพลาดกันจริงๆ
“กระเป๋าของซุนเฟิงถูกขโมยขอรับ” เจิ้งไห่กล่าว
ซุนเฟิงได้ยินดังนั้นก็รีบถลึงตาใส่สหาย “คุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับท่านชายใหญ่”
ทหารจากตระกูลหันถูกขโมยกระเป๋า ได้ยินถึงไหนอับอายถึงนั่น
ซุนเฟิงรู้ตัวแล้วว่าเป็นเด็กสาวคนนั้นที่ขโมยกระเป๋าเขาไป
แต่พวกเขาแทบไม่เอะใจเลยว่าเด็กสาวคนนั้นกับคนที่พวกเขาสะกดรอยตามอยู่ก็คือคนเดียวกัน
ท่านชายใหญ่หันถลึงตาอย่างดุดัน “ไปรับโทษเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ!”
แล้วพวกเขาก็เดินออกไป
“ผู้ใดกันที่กล้าเล่นงานคนของเจ้า” หันหย่งถาม
ท่านชายใหญ่หันอธิบาย “บัณฑิตจากแคว้นเจาน่ะท่านลุงรอง ฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แล้วก็เป็นเขาคนนี้นี่แหละที่เล่นงานหันเช่อจนอ่วม ข้าแค่อยากสืบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“อ๋อ ที่แท้หันเช่อก็ถูกคนแคว้นระดับล่างเล่นงานนี่เอง” หันหย่งทั้งโกรธทั้งขำในคราวเดียวกัน “คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้มีอยู่แค่สองตระกูลเท่านั้นแหละ ไม่ตระกูลหนานกงก็ตระกูลมู่”
ตระกูลหันกับตระกูลมู่ไม่ถูกกันมานานแล้ว ส่วนตระกูลหนานกงก็กำลังวางแผนแย่งชิงอำนาจทหารกับตระกูลหันอยู่
ท่านชายใหญ่หันหันหน้าไปทางพุ่มดอกไม้ในสวน พลางเอ่ย “บัณฑิตคนนั้นเป็นสหายของมู่ชิงเฉินก็จริง แต่ข้ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่วิธีของมู่ชิงเฉิน คนอย่างเขาถ้ามีอะไรก็จะเข้าหาข้าโดยตรงและไม่ไปยุ่มย่ามหันเช่อเด็ดขาด”
หันหย่งเอามือลูบคางขณะใช้ความคิด “เช่นนั้นก็เหลือแค่ตระกูลหนานกงสินะ”
ท่านชายใหญ่หันย่นคิ้ว “ตระกูลหนานกงรึ”
“ก็ใช่น่ะสิ พวกนั้นเอาแต่จ้องจะขโมยทหารของพวกเรา ส่วนพวกเราก็ต้องการอำนาจทางทหารของพวกเขา ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องกันแน่ๆ ”
หลังจากหันเช่อพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง เขาก็ตั้งคำถามขึ้นมา “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าตระกูลหนานกงไม่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้ขอรับ”
“นอกจากพวกเขาแล้วจะมีใครกล้าท้าทายอำนาจตระกูลหันอีกล่ะ ตระกูลหวังรึ พวกเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก” หันหย่งเอ่ย
หันหย่งเห็นว่าหลานชายหน้าดำคร่ำเครียดกับเรื่องนี้ จึงคลี่ยิ้มบางให้พร้อมกับเอ่ยบางอย่างให้ชวนคิด “เจ้าคงไม่คิดว่าลำพังคนตัวเล็กๆ จากแคว้นระดับล่างเกิดบ้าบิ่นอยากต่อกรกับตระกูลหันหรอกใช่ไหม ขนาดท่านชายตระกูลดังยังไม่มีน้ำยาที่จะสู้เราได้เลย”
“และอีกอย่าง เจ้าลองนึกดูสิว่ามันใช่เรื่องบังเอิญหรือที่จู่ๆ มีบัณฑิตจากแคว้นเจาเข้ามาเรียนหนังสือที่นี่ สำนักบัณฑิตส่วนใหญ่ของเซิ่งตูแทบไม่เคยมีบัณฑิตจากแคว้นเจาเลย”
ท่านชายใหญ่หันได้ฟังดังนั้นก็ย่นคิ้วอีกครั้ง “หมายความว่า ท่านลุงรองคิดว่าเขาเป็นคนของตระกูลหนานกงรึ”
หันหย่งถามเขาต่อ “เจ้าจำเรื่องที่หนานกงลี่ถูกโจรทำร้ายจนแขนขาดได้ไหม”
“จำได้ขอรับ” ท่านชายใหญ่หันตอบ
หันหย่งยิ้มเย็นเอ่ย “อันที่จริงตอนนั้นหนานกงลี่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิดหรอก แต่เขาแอบเข้าไปที่แคว้นเจา อีกทั้งเขาไม่ได้ถูกโจรทำร้ายด้วย เรื่องเป็นมายังไงข้าก็ยังไม่รู้ชัด แต่หลังจากที่เขากลับมาที่เซิ่งตูไม่นาน พวกคนจากแคว้นเจาก็มาที่นี่ทันที มันบังเอิญเกินไปหรือไม่”
…
หลังจากกู้เจียวกลับมาที่เรือน ก็เล่าเรื่องกู้เฉิงเฟิงที่มาเมืองเซิ่งตูให้ทุกคนได้ทราบ
แน่นอนว่าทุกคนตกใจ
“ไม่มีใครนำทาง แล้วเขามาที่นี่ได้อย่างไร” อาจารย์แม่หนานถาม “อย่าบอกนะว่า…”
กู้เจียวพยักหน้า “เขาเข้ามาด้วยสถานะทาส”
อาจารย์แม่หนานถึงกับสูดปาก
ท่านชายรองก็บ้าบิ่นเหลือเกิน ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงมาก รอยประทับนั่นจะติดตรึงอยู่บนร่างกายของเขาไปตลอดชีวิตเชียวล่ะ
“แล้วเขาเป็นอะไรมากไหม” อาจารย์แม่หนานถาม
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ข้าหาที่หลบภัยให้เขาได้ชั่วคราว” กู้เจียวตอบ
“จริงๆ เลยเด็กคนนี้…” อาจารย์แม่หนานเริ่มหมดคำจะพูด เด็กๆ ตระกูลกู้ดื้อรั้นจนเกินเยียวยาจริงๆ เมื่อพวกเขาตัดสินใจทำอะไรแล้ว ก็จะทำจนสุดไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไร อย่างกู้ฉังชิงที่ต้องการรักษาน้องสาวของเขา ไหนจะเจียวเจียวที่ต้องการรักษาน้องชายของนาง
แล้วนี่มีกู้เฉิงเฟิงเพิ่มเข้ามาอีก
แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา อย่างน้อยมีสมาชิกมาเพิ่มก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้มากขึ้น
สองวันต่อมา กู้เจียวเดินทางไปที่ตำหนักเยี่ยนซานจวิน องค์หญิงน้อยยังคงกลัวการขึ้นม้า จึงถูกกู้เจียวมัดมือชกอุ้มขึ้นม้าอีกครั้ง และแล้ววิชาขี่มาก็จบลงเท่านี้เพราะผู้เรียนเริ่มน้ำตาแตกแล้ว
“เดี๋ยววันถัดๆ ไป…ฮึก! เจ้าอย่า…ฮึก!”
องค์หญิงน้อยเอ่ยคำก็สะอื้นคำ แต่พอได้ลงจากมา นางก็หยุดร้อง แต่ยังมีอาการสะอึกหลงเหลืออยู่
“องค์หญิงค่อยๆ พูดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” กู้เจียวเอ่ย
“ข้าก็กำลังค่อยๆ …ฮึก!” องค์หญิงน้อยยังคงสะอึกไม่หยุด จึงพยายามจะพูดให้กระชับที่สุด “ข้าเรียนไม่ได้…ฮึก! ท่านลุงของข้ากำลัง…ฮึก!จะจัดงานเฉลิม…ฮึก! เสด็จพ่อไม่อยู่…ฮึก! ข้าเลยต้อง…ฮึก! ไปงานเลี้ยงแทน…ฮึก!”
อันที่จริง กว่าจะถึงวันงานยังมีเวลาอีกหลายวัน เพียงแต่องค์หญิงน้อยจะเข้าไปพำนักที่วังระยะหนึ่ง เลยไม่สามารถเรียนได้
ซึ่งกู้เจียวเองก็ต้องการแบบนี้เหมือนกัน วันแข่งใกล้เข้ามาแล้วนางต้องเก็บตัวซ้อม คงไม่มีเวลามาสอนเช่นกัน
“เช่นนั้น รอให้องค์หญิงน้อยทำธุระให้เสร็จก่อน เราค่อยมาเรียนขี่ม้ากันใหม่ดีไหม”
“เกี่ยว ‘ด้อย’ สัญญา”
ทันใดนั้นองค์หญิงน้อยก็รีบเอามือป้องปากทันที
ด้วยความที่ฟันแท้ขององค์หญิงน้อยยังขึ้นไม่หมด ทำให้บางคำพูดไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ชัดถ้อยนัก
กู้เจียวยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยให้
องค์หญิงน้อยเองก็ยื่นนิ้วก้อยออกมาแล้วเกี่ยวเข้ากัน