สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 670-2 สามีภรรยาพบพาน (2)
บทที่ 670 สามีภรรยาพบพาน (2)
คืนก่อนวันแข่ง อาจารย์อู่พาพวกเขาไปพักที่โรงเตี๊ยมเดิมที่เคยพัก
มู่ชวนเปิดฉากโวยคนแรก “คราวก่อนพวกเราชนะแล้วไม่ใช่รึ ไยยังต้องมาพักที่โทรมๆ นี้อีก”
จะเหตุผลอะไรเสียอีกนอกจากเรื่องงบประมาณ
ว่ากันตามตรง ทางสำนักบัณฑิตได้จัดสรรเงินเพิ่มให้นักกีฬาก็จริง ทว่าการแข่งขันในปีนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ส่งผลให้ราคาที่พักสูงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
อาจารย์อู่เอามืออตบแผ่นอกตัวเองพลางเอ่ย “ถ้าครั้งนี้เราชนะ อาจารย์สัญญาว่ารอบชิงจะยอมควักเนื้อตัวเองเพื่อให้ทุกคนได้นอนโรงเตี๊ยมดีๆ !”
มู่ชวนเบ้ปากเพราะเชื่อไม่ลง
คนอื่นก็เช่นกัน
อาจารย์อู่พยายามกู้หน้าให้ได้มากที่สุด “ที่นี่ไม่ดีตรงไหน รู้ไหมว่าคืนนี้มีงานเทศกาลไฟด้วย! อยู่ใกล้ๆ นี้เอง ที่อาจารย์เลือกนอนที่นี่ ก็เพื่อให้ทุกได้ออกไปเดินเล่นอย่างสนุกสนาน…แต่ต้องกลับมาภายในหัวค่ำล่ะ!”
เป็นข้อเสนอที่อาจารย์อู่อะลุ่มอล่วยให้กับพวกเขาได้
มู่ชวนสนใจขึ้นมาทันที เขาเดินเข้าไปหากู้เจียวพร้อมกับเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน “นี่ ลิ่วหลัง เจ้าคงยังไม่เคยไปเทศกาลไฟของที่นี่เลยใช่ไหม”
“อื้อ” กู้เจียวตอบแล้วก้าวขาขึ้นบันได
“ประเดี๋ยวออกไปดูกันไหม” มู่ชวนเอ่ยชวน
“ได้สิ” กู้เจียวรับปาก
จากนั้นมู่ชวนก็หันไปทางข้างหลัง “แล้วท่านพี่สี่ล่ะ สนใจไปด้วยกันไหม เอ่อ คงไม่ไปสินะ” ท่านพี่สี่ของเขาไม่ชอบงานรื่นเริงแบบนี้หรอก
พอมู่ชิงเฉินเดินมาถึงหน้าห้อง เขาก็หันมาบอกกับกู้เจียวก่อนจะเดินเข้าไป “เจอกันหน้าที่ประตูนะ”
มู่ชวนทำหน้าเหวอ แปลว่าพี่สี่จะไปด้วยใช่ไหม
ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเห็นพี่สี่ไปงานแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีจ้าวเวยและหยวนเซียวสมทบด้วย
อาจารย์อู่ก็มาด้วยเช่นกัน
“อาจารย์มายืนตรงนี้ทำไมหรือขอรับ” มู่ชวนยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยถาม
“พอมาคิดๆ ดูแล้ว อาจารย์ว่าจะไปกับพวกเจ้าด้วย จะได้วางใจหน่อย” อาจารย์อู่เอ่ยสีหน้าจริงจัง
มู่ชวน “…”
อาจารย์อู่ไม่ได้หลอกพวกเขาเรื่องเทศกาลไฟ มันอยู่จัดใกล้กับที่พักจริงๆ เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว
ถนนยาวตลอดสายเต็มไปด้วยโคมหลากสีที่ประดับตามสองข้างทางราวกับสายรุ้งที่ทอดยาว มีแผงลอยตั้งเต็มทั้งสองฝั่ง เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างพากันเรียกลูกค้า ฝูงชนแน่นขนัดไปทั่วทุกมุมถนน
แม้ผู้คนจะพลุกพล่าน แต่ก็ไม่วุ่นวายและไม่แออัด ทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย
โคมไฟที่จัดแสดงที่นี่ไม่ใช่ทุกอันที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ยังมีกิจกรรมทายคำหรือไม่ก็อ่านบทกลอนที่อยู่บนโคมด้วย
ขนาดกู้เจียวที่พื้นเดิมเป็นคนนิ่งๆ ยังอดหลงใหลบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้ไม่ได้
ทุกอย่างให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่
เหมือนกับเวลาเด็กน้อยได้เห็นของเล่น
“ท่านชาย ซื้อโคมไฟหน่อยสิเจ้าคะ!”
เสียงเร่ขายโคมไฟจากของหญิงชราดังขึ้น
กู้เจียวหยุดฝีเท้าลง กระพริบตาปริบไปที่โคมไฟที่หญิงชรายื่นให้
สวยจัง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชอบใจ หญิงชราก็หยิบโคมไฟดอกบัวอีกอันขึ้นมาให้ดู “ชิ้นนี้เพิ่งทำขึ้นใหม่เลยนะ ถ้าซื้อสองอันลดให้สิบอีแปะเลย!”
โคมไฟดอกบัวก็สวยเหมือนกัน
กู้เจียวมองตาลุกวาว
มีโคมไฟดอกท้ออยู่ตรงนี้ด้วย ก็สวยอีกเหมือนกัน!
มู่ชิงเฉินชำเลืองมองพร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าจะซื้อรึ”
เป็นผู้ชายจะซื้อโคมไฟดอกไม้ไปทำอะไร แค่เดินดูก็น่าจะพอแล้วกระมัง
หรือต่อให้ซื้อก็คงซื้อเพื่อมอบให้คนอื่น
“เฮ้อ” กู้เจียวถอนหายใจพร้อมกับจ้องไปที่โคมดอกท้อตรงหน้า นางต้องวางมาด จะซื้อของแบบนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะโคมไฟที่สีสันสดใสแบบนี้
กู้เจียวกลั้นใจเบือนหน้าหนี
ทันใดนั้น มือเรียวยาวดุจหยกของใครบางคนยื่นออกมาพร้อมกับวางเหรียญเงินบนแผงขาย ตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มลึกที่ดังขึ้น “ข้าขอซื้อโคมไฟดอกท้อนี้”
กู้เจียวถึงกับรีบหันขวับ
ปรากฏอีกฝ่ายสวมหน้ากากสีเงินครึ่งหน้า เผยให้เห็นแค่ริมฝีปากบางและคางเรียวสวย รวมถึงนัยน์ตาที่ลุ่มลึกราวทะเลสาบ
สายลมที่พัดอ่อนโชยกลิ่นอายที่กู้เจียวคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ทำเอากู้เจียวเผลอเหม่อไปชั่วขณะ
มู่ชิงเฉินที่เห็นปฏิกิริยาของสหายก็ขมวดคิ้วแน่นโดนไม่รู้ตัว ก่อนจะเบนสายตาไปที่ชายหนุ่มปริศนาอย่างระแวง
ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวราวหิมะ มาพร้อมกับรัศมีแห่งความสง่างาม
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วสงสัย ในบรรดาท่านชายตระกูลชื่อดัง เขาไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
ขณะที่มู่ชิงเฉินกำลังจะบอกให้กู้เจียวออกมาจากร้าน พ่อค้าชราก็เสียการทรงตัวจนร่างเซไปชนแผง ซ้ำยังเผลอทำโคมไฟที่ถืออยู่หลุดมือแล้วลอยออกไป
เมื่อเห็นว่าโคมนั้นกำลังพุ่งมาทางกู้เจียว มู่ชิงเฉินก็รีบยืนมือป้องทันที
ทว่าในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มปริศนาก็ยกมือขึ้นป้องเช่นกัน แต่ต่างตรงที่มืออีกข้างของเขาคว้าร่างกู้เจียวไว้ในอ้อมแขนของเขา
กู้เจียวไม่แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น มู่ชิงเฉินคับคล้ายคับคลาว่าเห็นสหายของเขาแอบเอาหัวพิงไปที่แผ่นอกของชายหนุ่มปริศนาอีกด้วย
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
มู่ชิงเฉินได้ยินชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร”
และเขาก็ได้ยินกู้เจียวตอบเบาๆ
ดูเหมือนน้ำเสียงนั้นจะต่างจากเสียงปกติที่เขาเคยได้ยิน
พวกเขาอยู่ในท่านั้นแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที จากนั้นก็ผละตัวออก
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ” กู้เจียวขอบคุณท่านชายหนุ่ม
เซียวเหิงหยิบโคมดอกท้อในมือแล้วพูดอย่างสุภาพ “เรื่องเล็กน้อย เช่นนั้น ข้ามอบโคมนี้ให้ท่านชายเพื่อเป็นที่ระลึก”
“แม้จะเกรงใจ แต่ขอรับไว้เพื่อตอบแทนน้ำใจของท่าน” แล้วกู้เจียวก็รับโคมไว้ “เช่นนั้นเรามาแลกกันเถิด”
เซียวเหิงคลี่ยิ้มบางพร้อมกับพยักหน้า “ได้สิ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
จากนั้นกู้เจียวก็ซื้อโคมไฟดอกบัวสีชมพูแล้วยื่นให้เขา “อ่ะนี่!”
มู่ชิงเฉินคิดในใจ มีแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้นที่ชอบของแบบนี้ ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่รับมัน แล้วก็ขอเดาว่าพ่อหนุ่มนั่นคงไม่รับไว้เหมือนกัน
แต่หารู้ไม่ว่าเซียวเหิงรับไว้อย่างไม่ลังเล แถมยังเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก “ข้าขอขอบใจท่านชายน้อยสำหรับโคมไฟดอกไม้นี้ ในเมื่อเราสองคนแลกของขวัญกันแล้ว มิทราบว่าท่านชายน้อยสนใจเดินเล่นในงานกับข้าหรือไม่”
มู่ชิงเฉินคิดในใจ ไม่สน
“ได้สิ!” กู้เจียวตอบอย่างร่าเริง
มู่ชวนและคนอื่นๆ วิ่งไปดูแสดงมายากลที่บริเวณใกล้ๆ
ขณะที่พวกเขาสามคนเลือกที่จะเดินชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ
กู้เจียวและเซียวเหิงเดินถือโคมไฟด้วยกัน ดูช่างเข้ากันดีนัก
มู่ชิงเฉินคิดในใจ แต่พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นา
“จิ้งคงล่ะ” กู้เจียวใช้สายตาถามถามเซียวเหิง
เซียวเหิงกระซิบตอบ “ไปเรียนพิเศษแล้ว”
“ท่านชายเป็นคนเซิ่งตูรึ” มู่ชิงเฉินถามเซียวเหิง
เซียวเหิงเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านภาษา เขาสามารถพูดภาษาถิ่นของเซิ่งตูได้ชัดเสียยิ่งกว่าคนพื้นที่เสียอีก
“ใช่แล้ว” เซียวเหิงตอบ
“ขอทราบชื่อท่านชายได้หรือไม่” มู่ชิงเฉินถามต่อ
“หลงอี”
มู่ชิงเฉินคิดในใจ นี่ใช่ชื่อคนจริงๆ รึ
เซียวเหิงไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย และหันไปคุยกับกู้เจียวต่อ “หิวแล้วหรือยัง ร้านเกี๊ยวที่อยู่ตรงนั้นรสชาติใช่ได้เลยล่ะ”
“หิวสิ!” กู้เจียวตอบ
แล้วทั้งสามก็เข้าไปนั่งในร้าน โดยมู่ชิงเฉินกับเซียวเหิงนั่งตรงข้ามกัน
“พวกเจ้าสั่งเลย ข้าไม่หิว” ทายาทตระกูลใหญ่อย่างเขาไม่มีวันแตะต้องอาหารข้างถนนเด็ดขาด
ส่วนกู้เจียวและเซียวเหิงสั่งเกี๊ยวไส้หมูและผักกาดข้าวมาถ้วยหนึ่ง
แล้วก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีกครั้ง
ทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงหยิบเครื่องปรุงที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกัน กู้เจียวหยิบขวดน้ำส้มสายชู ส่วนเซียวเหิงหยิบขวดพริกเผา แต่พอหยิบเสร็จ กู้เจียวก็ยื่นขวดน้ำส้มวางไว้ตรงหน้าเซียวเหิง และเซียวเหิงก็หยิบพริกเผาวางตรงหน้ากู้เจียว
มู่ชิงเฉิน “…”