สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 676 อัด!
บทที่ 676 อัด!
ณ ห้องปีกข้างของโรงน้ำชา บัณฑิตสามคนกำลังจิบชาร้องโคลงกลอนแต่งกวีกันอยู่
จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็วางพู่กันในมือลง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พวกเจ้าได้ยินเสียงแปลกๆ หรือไม่”
เขาเอ่ยกับสหายฝั่งตรงข้าม “ไม่มีนี่”
สหายข้างกายเขาตั้งใจเงี่ยหูฟัง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “เหมือนจะมีนะ”
เขารีบเอ่ย “ใช่หรือไม่ เจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่”
บัณฑิตที่ไม่ได้ยินเมื่อครู่นี้ถลึงตาเบิกโต “ขะ…ข้าก็ได้ยินแล้ว!”
เพียงไม่นาน ทั้งสามก็ไม่ใช่เพียงได้ยินเท่านั้น ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยด้วยซ้ำ
ทั้งสามนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะ พื้นสั่นสะเทือนเป็นระลอกๆ เครื่องเขียนบนโต๊ะกระเด็นกระดอนไปมาตามแรงสั่นสะเทือน
“นะ…นี่มีใครเอาค้อนมาทุบพื้นอยู่หรือ”
“หรือว่ามังกรดินพลิกตัว”
เสียงกึกก้องดังขึ้น เครื่องเขียนบนโต๊ะกระเทือนจนร่วงลงพื้น!
ทั้งสามตกใจกอดกันกลม!
หมัดนี้ให้กับแขนของมู่ชวน!
หมัดนี้ให้กับอาการช้ำในของมู่ชิงเฉิน
แล้วก็หมัดนี้ให้กับอาการบาดเจ็บที่มือของจ้าวเวยและหยวนเซี่ยว
อันที่จริงหันซื่อจื่อยังคงได้สติแจ่มชัด ทว่าพลกำลังและฝีมือของเขาแข็งแกร่งเกินไป หากไม่เล่นลูกไม้ คงจะจับตัวเขามาไม่ได้
กู้เจียวใช้ดาบปลิดชีพเขาไปเสีย เพียงแต่ยังไม่ทันง้างดาบขึ้น ยอดฝีมือของตระกูลหันก็หาเจอเสียแล้ว
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหน่วยกล้าตาย ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มากมายยิ่งกว่าเทียนหลังเสียอีก
โอ้ สู้ไม่ได้แน่
บัณฑิตจะต่อยกัน สิบปีก็ไม่สาย
กู้เจียวตัดสินใจเก็บกระสอบ เผ่นแนบหนีไปทันที!
…
เซียวเหิงออกมาจากหอเย่ว์ปิน
รถม้าของเขาจอดอยู่ในตรอกเยื้องๆ กัน
คนขับรถเป็นคนรับใช้ที่ซื้อตัวมาหลังจากมาที่เซิ่งตู จงรักภักดีกับเขา และไว้เนื้อเชื่อใจได้
เขาเพิ่งจะนั่งอยู่บนรถม้า กู้เจียวก็เร้นกายเข้ามาอย่างเร็วรี่ หอบหายใจแฮ่กๆ “ฮู่”
เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อครู่วิ่งมาเร็วเพียงไหน
“เป็นอะไรไป” เซียวเหิงถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ หรือว่าโดนจับได้”
กู้เจียวครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้า “อืม ไม่ได้โดนจับได้”
“ยอดฝีมือตระกูลหันมารึ” เซียวเหิงเดา
กู้เจียวเขี่ยนิ้วชี้ชนกันไปมา ก่อนวางมาดจริงจังเอ่ย “เป็นยอดฝีมือหรือไม่น่ะไม่เป็นไรหรอก ประเด็นก็คือกระสอบมันคลุมไม่พอน่ะสิ”
เซียวเหิง “…”
“ข้าไปส่งเจ้าที่ประตูเมืองฝั่งใต้ดีกว่า” เซียวเหิงเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก ข้าไปเอง” กู้เจียวไม่แน่ใจว่าหันซื่อจื่อจะสงสัยในตัวนางหรือไม่ ไม่อยากลากเซียวเหิงให้โดนจับได้ไปด้วย
เซียวเหิงเข้าใจในความคิดของนาง เอ่ย “วางใจเถิด ไม่มีทางสงสัยเจ้าหรอก”
อย่าเอาแต่มองว่ากู้เจียวกับหันเช่อเคยมีปัญหากันแล้วจะโดนสงสัยเชียว หันซื่อจื่อไม่มีทางเดาได้หรอกว่าวันนี้เป็นฝีมือกู้เจียว
กู้เจียวใจกล้า แต่หันซื่อจื่อไม่มีทางคาดคิดว่าใจนางจะกล้าได้ถึงเพียงนี้
กู้เจียวฝีมือไม่เลว แต่หันซื่อจื่อก็ไม่มีทางคิดว่าจะไม่เลวได้ถึงเพียงนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกสองประเด็นสำคัญก็คือ ระเบิดกับตัวตนอย่างคนแคว้นระดับล่าง
ระเบิดเป็นสิ่งที่ราชวงศ์แคว้นเยี่ยนและตระกูลขุนนางใหญ่มีกัน ในความรู้ความเข้าใจของทุกคน มันไม่มีทางมาอยู่ในมือของคนแคว้นระดับล่างได้
ฐานะของคนแคว้นระดับล่างก็เหมือนดาบสองคม มีทั้งความไม่เป็นธรรมที่มากเหลือเกิน แต่ก็ใช้เป็นเครื่องมือตบตาไปโดยปริยายเช่นกัน
“ทางหมิงจวิ้นอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” กู้เจียวถาม
“เมาแล้ว หลับอยู่ในหอสุรา” เซียวเหิงบอก
หมิงจวิ้นอ๋องยังนึกว่าตัวเองจะใช้โอกาสนี้เอาเปรียบคนงามเสียหน่อย เจอสุราแรงของเซียวเหิงไปจอกเดียว ทำเอาล้มพับไปเลย
นี่เขาเป็นคนดื่มเมาเองนะ องครักษ์เสื้อแพรจะมาโทษเซียวเหิงไม่ได้
เซียวเหิงสุ่มทิ้งภาพขีดเขียนที่เสี่ยวจิ้งคงวาดเสียเอาไว้ภาพหนึ่ง ก่อนจะจากมาอย่างองอาจ
กู้เจียวดึงหน้ากากบนหน้าออก แล้วถอดชุดดำไป เปลี่ยนเป็นชุดสำนักบัณฑิตเทียนฉง
เซียวเหิงผินหน้าหนีมองไปทางอื่นอย่างสุภาพบุรุษ
กู้เจียวเปลี่ยนเสร็จก็จ้องเขาอยู่สองวินาทีก่อนจะเอ่ย “เหตุใดหน้าเจ้าจึงแดงอีกแล้วเล่า ข้าแค่เปลี่ยนชุดตัวนอกเท่านั้นเองนะ”
เซียวเหิงกระแอมในลำคอ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “อากาศมันร้อนน่ะ”
…
เซียวเหิงส่งกู้เจียวระแวกประตูเมืองชั้นในฝั่งใต้
กู้เจียวไม่มีตราอาญาสิทธิ์ของเมืองชั้นใน เซียวเหิงเดิมทีกะว่าจะยกของตัวเองให้นาง ใครจะไปคิดว่าจะพบกับคนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงด้วย
นึกไม่ถึงว่าพวกเขายังรอนางอยู่
ดูท่านางจะผูกมิตรแท้จริงใจไว้ที่สำนักบัณฑิตแล้ว
เซียวเหิงลูบผมนาง “ไปเถิด”
“อื้ม”
กู้เจียวลงจากรถม้า ขี่ม้าของตัวเองเร่งรุดไปยังเพิงร้านน้ำชาใกล้ๆ ประตูเมือง พวกเจ้าสำนักเฉินต่างรออยู่ที่นั่น
เห็นกู้เจียวมาแล้ว เจ้าสำนักเฉินจึงได้วางใจลงเสียที
เมื่อครู่หนังตาเขากระตุกยิก กลัวว่าไอ้เด็กคนนี้จะออกไปก่อเรื่องก่อราวอะไรอีก
จะโทษที่เขาเป็นห่วงเช่นนี้ก็คงไม่ได้ เพราะสำนักบัณฑิตเทียนฉงเปิดมาชั่วนาตาปีแล้ว เจ้าเด็กนี่เป็นคนเดียวที่โดนจดชื่อไปสองครั้งตั้งแต่เปิดเรียนมาแค่สิบวัน
“ทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วรึ” เจ้าสำนักเฉินไม่ได้ถามกู้เจียวว่าไปทำอะไร บัณฑิตสามารถมีเรื่องส่วนตัวของตัวเองได้ ขอแค่ไม่ผิดกฎหมายก็พอ
กู้เจียวที่เพิ่งจะทำผิดกฎหมายมาหยกๆ เอ่ยอย่างสงบนิ่งสุดจะเปรียบ “เสร็จแล้วขอรับ”
“กินอะไรหน่อยค่อยกลับ” เจ้าสำนักเฉินเดิมทีกะว่ากลับสำนักบัณฑิตแล้วค่อยกิน โรงอาหารราคาถูกกว่าข้างนอก นับว่าประหยัดงบไป
แต่ยามนี้ทุกคนเหมือนจะหิวกันแย่แล้ว ช่างเถิด กินก่อนแล้วกัน
พวกเขาหาร้านบะหมี่ใกล้ๆ กินมื้อเที่ยงกัน
ระหว่างนั้นไม่มีใครมาปิดประตูเมือง ดูท่าคนตระกูลหันจะคิดไม่ถึงว่าเป็นนางจริงๆ
กู้เจียวขึ้นหลังม้าอย่างเบิกบาน
หยวนเซี่ยวมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ลิ่วหลัง ข้ารู้สึกว่าเจ้าหน้าตาสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษเชียวนะ เมื่อครู่นี้เจ้าอันนั้นๆ มาใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยอย่างฉงน “อันไหน อันไหนรึ”
หยวนเซี่ยวมองไปมองมา ก่อนกดเสียงเบาเอ่ย “ก็อันนั้นน่ะ”
“อันไหน” กู้เจียวยังคงไม่เข้าใจ
จ้าวเวยเอ่ยตรงๆ “เที่ยวหอนางโลม หาสตรีอย่างไรเล่า! หลังจากบุรุษเสพสุขเสร็จแล้วก็เหมือนเจ้าเช่นนี้แหละ!”
กู้เจียวครุ่นคิด “อ๋อ สุขสันต์ไม่น้อย”
หยวนเซี่ยวก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไหนเลยจะคิดว่ากู้เจียวจะยอมรับจริงๆ
เขาสะดุ้งโหยง
นี่เจ้าไปเที่ยวหอนางโลมมาจริงๆ น่ะรึ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ไปหาสตรี แต่ไม่รู้จักพาพวกข้าไปด้วย! ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว! ทุกคนยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันอยู่หรือไม่!
หยวนเซี่ยวกัดฟันเอ่ยเสียงเบา “คราวหน้าพาข้าไปด้วย!”
จ้าวเวยกระแอมแผ่วเบา “ข้าด้วย”
…
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นวันนี้ไม่ได้ไปดูการแข่งขัน ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่อยากไป อีกทั้งอาจารย์หลู่ยังไปหาเรื่องทะเลาะกับราชาม้าและโดนมาเสียเละอีกแล้ว
ซ้ำยังค่อนข้างสาหัสเสียด้วย สองคนพี่น้องจึงรั้งอยู่ดูแลเขา หลักๆ คือกู้เสี่ยวซุ่นดูแล กู้เหยี่ยนรับหน้าที่อาบแดดกับดื่มชากับท่านอาวุโสเมิ่ง
แน่นอนว่าเล่นหมากรุกกับท่านอาวุโสเมิ่งด้วยบางที
กู้เหยี่ยนชอบเล่นหมากรุก
เพียงแต่ฝีมือการเล่นของเขาแย่กว่ากู้เจียวมากโข ท่านอาวุโสเมิ่งเล่นเสียจนหัวร้อนไปหมด
แต่กู้เจียวบอกไว้ว่าท่านอาวุโสเมิ่งเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนกู้เหยี่ยน กู้เจียวกลับมาจะเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนท่านอาวุโสเมิ่ง
เพื่อได้เล่นหมากรุกกับกู้เจียว ท่านอาวุโสเมิ่งจึงทุ่มสุดตัวเลย
ฝีมือหมากรุกของกู้เหยี่ยนย่ำแย่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ในที่สุดท่านอาวุโสเมิ่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยอย่างเหลือทน “เจ้าวางลงตรงนี้อีกได้อย่างไร สอนเจ้าไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ควรลงสิบหกส่วนเจ็ด ฝีมือการเล่นหมากของเจ้าย่ำแย่เพียงนี้ เหมือนกันกับเซวียนหยวนเซิ่งนั่นเลย!”
กู้เหยี่ยนได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทุกครั้งเวลาที่ตาเฒ่ารังเกียจฝีมือการเล่นอันแสนห่วยแตก ของเขาก็จะลากคนผู้นี้มาประหัตประหารด้วยวาจายกหนึ่ง
“เซวียนหยวนเซิ่งคือใครรึ” เขาถาม
ท่านอาวุโสเมิ่งโบกมือไปมา “คนที่ไม่ควรเอ่ยถึงน่ะ”
กู้เหยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วท่านเอาแต่เอ่ยถึงอยู่ได้”
ท่านอาวุโสเมิ่งสะอึก “เพราะข้า… เจ้าทำให้ข้าโมโหจนเลอะเลือนน่ะสิ”
กู้เหยี่ยนอยู่ในช่วงวัยต่อต้านพอดี ยิ่งไม่ให้เอ่ยถึงเขาก็ยิ่งอยากรู้
เขาถาม “เซวียนหยวนอะไรนั่นเล่นหมากเหมือนกันกับข้าหรือ”
เจ้าหนู เจ้าเข้าใจอะไรผิดกับคำว่าเล่นหมากหรือไม่
“เฮ้อ” ท่านอาวุโสเมิ่งอันที่จริงก็อัดอั้นตันใจมานานโขแล้ว อยู่ที่เซิ่งตูเขาพูดกับใครไม่ได้ ที่น่าขันก็คือที่พักที่พบกันโดยบังเอิญแห่งนี้นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่เขาสามารถพูดได้อย่างสบายใจ
เขาเอ่ย “ข้าเคยสอนเจ้าหนูนั่นเล่นหมากรุกอยู่หลายวัน เกือบจะโมโหตายแหน่ะ โง่เสียยิ่งกว่าเจ้าอีก”
กู้เหยี่ยนหน้าทะมึนขึ้นมา “ข้าจะฟ้องพี่ว่าท่านว่าข้าโง่”
ท่านอาวุโสเมิ่งคิดในใจ ห้ามฟ้องนะ!
เด็กสาวนางนั้นได้ห้ามเล่นแน่!
ท่านอาวุโสเมิ่งอดทนกับความอัปยศเอ่ย “ขะ ขะ ขะ…เขาโง่! เจ้าฉลาด!”
กู้เหยี่ยนจึงได้พอใจ แล้วถามอีก “เขาใช้เซิ่งตัวไหนรึ เซิ่งที่แปลว่าเหลือหรือว่าเซิ่งที่แปลว่าเบ่งบาน”
“ไม่ใช่ทั้งคู่” ท่านอาวุโสเมิ่งใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำ แล้วเขียนลงบนโต๊ะหิน “เซิ่งนี้”
กู้เหยียน “อ๋อ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย “ตอนแรกไม่ได้ชื่อนี้ ชื่อเซวียนหยวนเฮ่า ตอนเด็กตกน้ำอยู่หลายครั้ง ไปหาตำหนักกั๋วซือให้ทำนายให้ ตำหนักกั๋วซือบอกว่าเขาไม่ถูกโฉลกกับน้ำ ให้เปลี่ยนชื่อที่มีธาตุไฟรุ่งโรจน์ จึงได้นามว่าเซวียนหยวนเซิ่ง”
นึกย้อนไปถึงเรื่องในตอนนั้น แววตาท่านอาวุโสเมิ่งมีความเศร้าโศกขึ้นมาไม่น้อย
เพียงแต่ได้เศร้าไม่นาน ราชาม้าก็คาบบังเหียนเดินมาหาแล้ว
ราชาม้าโยนบังเหียนใส่ตัวท่านอาวุโสเมิ่งอย่างรังเกียจ
ถึงเวลาพาตาเฒ่านี่ไปเดินเล่นอีกแล้ว!