สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 677-2 องค์หญิง (2)
บทที่ 677 องค์หญิง (2)
รัตติกาลเดือนมืดลมกระโชกแรง ณ ห้องพักคนหนึ่งของหอหลิงหลงสำนักบัณฑิตสตรีชังหลาน เสี่ยวจิ้งคงฟุบเตียงนุ่มนอนกรนคร่อกๆ ไปแล้ว
เขาอ้าปากน้อยๆ กรนอย่างสม่ำเสมอ
เซียวเหิงเรียกเสี่ยวจิ่วมาหา ให้มันเฝ้าเสี่ยวจิ้งคงไว้
จากนั้นเขาก็ไปทักทายป้าที่เฝ้าประตู ให้เงินนางสองตำลึง ให้นางไปนั่งที่ห้องเขาไว้
ปกติแล้วเสี่ยวจิ้งคงจะไม่ตื่น แต่เกิดตื่นระหว่างคืน มีคนอยู่ด้วยก็ย่อมดีกว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง กลัวหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อจัดการเสร็จสิ้น เซียวเหิงก็สวมชุดคลุม ใส่หมวกสานกับผ้าคลุมหน้า ออกจากสำนักบัณฑิตไปอย่างลับๆ ล่อๆ
บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชายชุดดำคนหนึ่งส่งสายตาให้พวกเดียวกัน “ไป! ตาม!”
รถม้าของเซียวเหิงจอดลงหน้าโรงรับจำนำแห่งหนึ่งบนถนนฮวาหยาง
เซียวเหิงลงจากรถม้า
คนงานโรงรับจำนำกำลังจะปิดร้านพลางเอ่ย “พวกเราจะปิดร้านแล้ว พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาใหม่นะ!”
เซียวเหิงล้วงกระดาษที่เขียนเรียบร้อยให้เขาแผ่นหนึ่ง
…ข้าต้องการพบผู้ดูแลร้านของพวกเจ้า
คนงานเห็นประโยคนี้ก็ชะงักเล็กน้อย พินิจมองอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกหน
เซียวเหิงสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความงามอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้ บางคนแค่คิ้วตาคู่เดียวก็สามารถสั่นคลอนหมู่พสกได้แล้ว
คนงานร้านกลืนน้ำลาย ก่อนจะเห็นตราสัญลักษณ์สำนักศึกษาสตรีชังหลานที่โผล่ขึ้นเล็กน้อยใต้หมวกสานสีดำของเซียวเหิง เขาเอ่ยอย่างนิ่งอึ้ง “จะ…เจ้ารอสักครู่”
พนักงานร้านวิ่งเข้าไป
เสียงสนทนาของเขากับผู้ดูแลร้านลอยมาจากด้านใน
“ใครกัน ค่ำมืดปานนี้แล้ว”
“มะ…แม่นางคนหนึ่งขอรับ บอกว่าอยากพบท่าน เหมือนว่านางจะมีตัวตนร้ายกาจทีเดียว มาดน่าเกรงขามยิ่ง”
คนงานยิ้มแย้มวิ่งเหยาะๆ ออกมาเอ่ยกับเซียวเหิง “เชิญขอรับ!”
…
หันซื่อจื่อมีเครือข่ายข่าวของตัวเอง คนที่เขาส่งออกไปย่อมไม่ใช่ไก่กา นอกจากที่เกิดปัญหาตอนสะกดรอยตามกู้เจียวครานั้นแล้ว คราอื่นล้วนทำภารกิจให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์หมด
“ซื่อจื่อ ซุนเฟิงกับจิ้งไห่กลับมาแล้วขอรับ”
ทหารคุ้มกันด้านนอกรายงานขึ้น
“ให้พวกเขาเข้ามา” หันซื่อจื่อบอก
หันหย่งดื่มชาอึกหนึ่ง
ทั้งสองเข้ามาด้านใน
ซุนเฟิงรายงาน “ซื่อจื่อ ข้าน้อยสืบมาแล้ว บัณฑิตแซ่กู้นางนั้นเป็นชาวแคว้นเจาขอรับ”
หันหย่งแปลกใจ ก่อนหัวเราะเอ่ย “ชาวแคว้นเจาอีกแล้ว เซียวลิ่วหลังนั่นก็เป็นชาวแคว้นระดับล่างกระมัง พวกเขาสองคนจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
“พูดยาก” หันซื่อจื่อถามพวกซุนเฟิงต่ออีก “แล้วอะไรอีก”
ซุนเฟิงตอบ “แล้วก็ พวกข้าสะกดรอยตามนางไป พบว่านางไปโรงรับจำนำแห่งหนึ่งบนถนนฮวาหยางขอรับ”
หันซื่อจื่อถาม “ถนนฮวาหยางมีโรงรับจำนำเยอะแยะ นางไปร้านไหน”
ซุนเฟิงรีบเอ่ย “กุ้ยเหรินถังขอรับ”
หันหย่งสูดหายใจลึกเบาๆ ลูบคางถาม “ที่ส่วนหน้าเป็นร้านยา ด้านหลังถึงจะเป็นโรงรับจำนำนั่นน่ะรึ”
หันซื่อจื่อหรี่ตาลง “ถูกต้องแล้ว”
หันหย่งเอ่ยอย่างฉงน “ช้าก่อน พวกเราเคยตรวจสอบร้านนี้ไปแล้วนี่ ผู้ดูแลร้านนั่นชื่ออะไรแล้วนะ…หวังฟู่กุ้ย! ใช่ ชื่อนี้ล่ะ! เขาไม่ใช่หูตาของไท่จื่อหรอกรึ”
หันซื่อจื่อ “และเป็นหูตาของตระกูลหนานกงด้วยเช่นกัน กุ้ยเหรินถังเป็นจุดนัดพบที่รวบรวมข่าวกรองของตระกูลหนานกง”
หันหย่งยิ้มเหน็บแนม “หวังฟู่กุ้ยผู้นี้มันนกสองหัวนี่หว่า ทั้งเป็นคนของไท่จื่อ ทั้งเป็นคนของตระกูลหนานกง เขาไม่กลัวเรือจะคว่ำรึ”
แม้ว่าตระกูลหนานกงจะอยู่ฝ่ายไท่จื่อ แต่ไท่จื่อคงไม่มีทางชอบที่ตระกูลหนานกงซื้อตัวคนของตัวเองมาเป็นหูเป็นตาแน่
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เหตุใดไม่ทูลไท่จื่อเล่า” หันหย่งถามหลานชายตัวเอง
หันซื่อจื่อเอ่ย “บอกแล้วอย่างไรเล่า เทียบกับการที่ตระกูลหนานกงซื้อตัวคนใหม่แทน ไม่สู้เป็นหวังฟู่กุ้ยคนนี้ดีกว่า อย่างน้อยๆ ข้าก็จับตามองได้”
หันหย่งแย้มยิ้ม “พูดจามีเหตุผล”
หันซื่อจื่อมองไปยังซุนเฟิง “นางไปโรงรับจำนำเพื่อพบหวังฟู่กุ้ยรึ”
ซุนเฟิงตอบอย่างนอบน้อม “ขอรับ นางรอจนโรงรับจำนำใกล้จะปิดถึงไป และพบกับหวังฟู่กุ้ยโดยตรงเลย พวกเขาคุยอะไรกันข้าน้อยไม่ได้ยิน เพราะนางเป็นใบ้! นางใช้การเขียนเอา!”
พวกเขาสะกดรอยตามคนมามากมาย เป็นครั้งแรกที่เจอสถานการณ์ที่ไม่ได้ยินเช่นนี้
ส่วนหวังฟู่กุ้ย เขาก็ใช้การเขียนเช่นกัน
หันหย่งเอ่ย “นางเลือกเวลาตอนร้านปิดไม่มีลูกค้า เดิมก็น่าสงสัยอยู่แล้ว ดูท่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตระกูลหนานกง”
แม้ว่าตระกูลหนานกงกับตระกูลหันจะอยู่ฝ่ายไท่จื่อเหมือนกัน แต่ระหว่างตระกูลขุนนางด้วยกันไม่เคยกลมเกลียวเป็นหนึ่งเลย ใครก็อยากจะเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบอันดับหนึ่งของไท่จื่อกันทั้งนั้น
ตระกูลหันมีข้อได้เปรียบในเรื่องสายเลือด ตระกูลหนานกงมีข้อได้เปรียบในเรื่องอำนาจทางการทหาร ทั้งสองฝ่ายแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เรื่องนี้มิได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวัน
หันหย่งเอ่ย “พวกเขาไม่เพียงทำให้ซื่อจื่อต้องอับอายขายขี้หน้า ยังคิดจะทำอะไรหมิงจวิ้นอ๋องอีก หากหมิงจวิ้นอ๋องโดนสตรีแคว้นระดับล่างนางนั้นหลอกลวงเข้าจริงๆ พวกเขาก็จะมีโอกาสเหนือกว่าตระกูลหันได้เลยนะ”
หันซื่อจื่อขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านลุงรองพูดได้มีเหตุผลยิ่ง แต่ข้าจะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ”
หันหย่งเอ่ย “อย่าเพิ่งคิดมาก เจ้าเชื่อท่านลุงรองสิ นอกจากตระกูลหนานกงแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว!”
…
เมื่อเซียวเหิงออกจากโรงรับจำนำ ฝนก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
คนขับรถยื่นร่มให้คันหนึ่ง เซียวเหิงไม่ได้รีบร้อนขึ้นรถม้า แต่ไปที่ร้านที่เยื้องๆ กันเพื่อซื้อถังหูลู่
เขากางร่มน้ำมันเดินตากฝนอันเงียบสงัด ข้างกายมีผู้คนเดินผ่านไปเป็นพักๆ
ผ้าคลุมหน้าเขาถูกลมราตรีพัดขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นดวงหน้าชวนตื่นตะลึงดุจเทพสวรรค์
ณ โรงน้ำชาริมทางแห่งหนึ่ง มีคนสองคนนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง คนหนึ่งเป็นท่านชายชุดขาวถือพัดด้ามจิ๋ว อีกคนเป็นทหารคุ้มกันชุดเทาพกกระบี่
หากกู้เจียวอยู่ที่นี่ด้วย คงจำได้แน่นอนว่าพวกเขาคือคนที่ซื้อลูกคิดทองคำของเสี่ยวจิ้งคงในตอนนั้น
เพราะเสี่ยวจิ้งคงขายทองคำสุดรักสุดหวงของตัวเอง จึงมีเงินไปซื้อชุดแต่งงานให้กู้เจียวได้
ทหารคุ้มกันชุดเทาเอ่ยอย่างแปลกใจ “ท่านชาย เขาเป็นจอหงวนแคว้นเจาคนนั้นมิใช่รึ ดูที่หน้าเขาสิ!”
ท่านชายหมิงเย่ว์โบกพัดด้ามจิ้วในมือไปมา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร”
ทหารคุ้มกันชุดเทาครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “เมื่อครู่เขาจงใจให้สองคนนั้นสะกดรอยตามมา เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
ท่านชายหมิงเย่ว์ยิ้มเอ่ย “เขาคิดจะทำอะไรล้วนไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่จับตาดูเณรน้อยข้างกายเขาเอาไว้ก็พอ”
ทหารคุ้มกันชุดเทาเอ่ยอย่างฉงน “จะว่าไปแล้วเราก็จับตาดูมาครึ่งค่อนปีแล้ว ไม่เห็นคนผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้นเลยนะขอรับ เขาทิ้งศิษย์ตัวเองแล้วหรือไม่”
“ทิ้งศิษย์ตัวเองอย่างนั้นรึ” ท่านชายหมิงเย่ว์มองเซียวเหิงที่กางร่มกลางฝนดุจภาพวาด ก่อนยิ้มเย็นเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหนังสือตอบรับเข้าเรียนของพวกเขาใครเป็นคนทำให้กันล่ะ”
ทหารคุ้มกันชุดเทาเกาศีรษะ “ใครรึ อ๊ะ ท่านชายหมายความว่า…คนผู้นั้นเป็นคนทำให้อย่างนั้นรึ”
ท่านชายหมิงเย่ว์ยิ้มเอ่ย “ยามนี้ข้าสงสัยเสียจริง ว่าเขาส่งคนกลุ่มนี้มาแคว้นเยี่ยนเพื่อการใดกันแน่”
……
อากาศร้อนอบอ้าวมาหลายวันในที่สุดฝนก็ตก
หมิงจวิ้นอ๋องฝ่าละอองฝนมาถึงจวน ก่อนจะไปคารวะเสด็จพ่อเหมือนอย่างที่เคยทำมา
แม้ว่ายามนี้จะดึกมากแล้ว แต่เขามาจากบ้านตระกูลหัน ขอแค่เขาบอกว่าตัวเองอยู่ด้วยกันกับท่านพี่ตลอด เสด็จพ่อก็คงไม่ลงโทษเขาหรอก
เขาเพิ่งมาถึงหน้าห้องหนังสือของไท่จื่อ ก็โดนทหารคุ้มกันที่เฝ้าอยู่ขวางไว้
“จวิ้นอ๋อง ไท่จื่อกำลังหารือเรื่องสำคัญอยู่ เชิญท่านมาใหม่พรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าอย่าลืมบอกเสด็จพ่อด้วยว่าข้ามาคารวะเขาแล้ว”
“ข้าน้อยไม่ลืมพ่ะย่ะค่ะ”
หมิงจวิ้นอ๋องไม่กล้าแอบฟังเสด็จพ่อจากตรงนี้ จึงกางร่มจากไป
ภายในห้องหนังสือ ไท่จื่อนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือ
ตรงหน้าเขาเป็นองครักษ์เสื้อแพรระดับสูงสุดคนหนึ่ง
องครักษ์เสื้อแพรเพิ่งจะทูลเรื่องที่ตัวเองสืบมาได้ให้ฟังจบ
มือไท่จื่อที่วางไว้บนที่เท้าแขนพลันกำแน่น ตรัสเสียงขรึม “เจ้าว่าอย่างไรนะ องค์หญิงจะกลับมาแล้วรึ”
องครักษ์เสื้อแพรทูล “พ่ะย่ะค่ะ พระราชโองการของกษัตริย์ถูกส่งไปยังสุสานกษัตริย์”
ไท่จื่อคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยจะประหารนางหรือจะอภัยโทษนางกันเล่า”
องครักษ์เสื้อแพรเอ่ย “ข้าน้อยไม่ทราบ ในพระราชโองการไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้”
ไท่จื่อคลายหมัดลง ถูที่เท้าแขนไปมา “จะให้องค์หญิงกลับมาไม่ได้”
องครักษ์เสื้อแพรมองไท่จื่อด้วยความสงสัย “ไท่จื่อหมายความว่า…”
ไท่จื่อตรัสเสียงเย็น “สังหารองค์หญิงเสีย!”
…
เซียวเหิงซื้อถังหูลู่ไม้สุดท้ายจากร้านไป
โชคดีไม่น้อยทีเดียว
ราวกับว่าหลังจากใช้ตัวตนของกู้เจียวแล้ว ความซวยของเขาก็ลดลงมากทีเดียว
เดินอยู่ดีๆ ก็เก็บเงินได้ เจอเรื่องไม่ดีก็หลบเลี่ยงไปได้
แต่เพราะเหตุใด…
จู่ๆ เขาก็รู้สึกตงิดๆ ขึ้นมาชอบกล
เซียวเหิงกางร่มแหงนหน้ารับเม็ดฝนจากฟากฟ้า
เป็นเพราะฝนอย่างนั้นรึ
ดวงใจของเขาก็พลันเศร้าหมองขึ้นมา