สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 681 อาจารย์ออกโรง
บทที่ 681 อาจารย์ออกโรง
รูปโฉมของนักบวชเหมือนมีมนตร์สะกด จนองครักษ์เสื้อแพรสองคนนั้นถึงกับยืนอึ้งไปนานกว่าจะรู้สึกตัว
จากนั้นทั้งสองคนก็ตกใจกลัว
เขาว่าอย่างไรนะ
เด็กน้อยที่พวกเขาต่อสู้มาด้วยครึ่งวัน ฆ่าองครักษ์เสื้อแพรของพวกเขาไปสี่คน… แท้จริงแล้วเป็นเด็กผู้หญิง
แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นองครักษ์เสื้อแพรของไท่จื่อ
เขามาจากไหน เขาติดตามพวกเขามาตลอดทางหรือแค่บังเอิญผ่านมา
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” หัวหน้าองครักษ์กำกระบี่แน่น
ในเมื่อไม่สามารถรับรู้ถึงลมปราณของอีกฝ่ายได้เลย แสดงว่าอีกฝ่ายไม่มีวรยุทธ์ อีกอย่างก็คือวรยุทธ์ของเขาถึงขั้นกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว
คมกระบี่มีรอยแตก
เขามองไปรอบกาย ลานว่างเปล่า ทันใดนั้นก็พบว่ามีใบไม้สีเขียวปักอยู่ในดิน
ดวงตาของหัวหน้าองครักษ์พลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เป็นไปได้หรือว่านักบวชคนนี้ใช้ใบไม้ปัดกระบี่ของเขากระเด็นออกไป
ทั้งยังทำให้กระบี่ร้าวด้วยรึ
ต้องใช้กำลังปราณภายในมากแค่ไหนกัน
นักบวชยิ้มแล้วเอ่ย “ออกบวชแล้ว ชื่อแซ่นั้นไม่สำคัญหรอก”
ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเขาเผยให้เห็นแววตาที่เย็นชาและลึกลับ สององครักษ์เสื้อแพรอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
ไอ้พระปลอม!
ไม่เคยเห็นนักบวชที่ไหนร้ายแบบนี้มาก่อน!
หัวหน้าองครักษ์รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว เขากำด้ามกระบี่แน่น ตั้งสติก่อนจะข่มขู่นักบวชอย่างเย็นชา “เจ้านักบวช! นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! ถ้ารู้ดีก็รีบไสหัวไปให้พ้น!”
“หืม” นักบวชเม้มริมฝีปากบาง ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ย “นักบวชมีเมตตากรุณา เหตุใดทั้งสองท่านจึงต้องฆ่าฟันกัน พูดจากันดีๆ ไม่ได้หรือ”
องครักษ์เสื้อแพรอีกคนชี้กระบี่ไปที่นักบวชก่อนจะตะโกนด้วยความเดือดดาล “ใครจะอยากคุยกับเจ้าดีๆ กัน! ไปให้พ้น! ไม่งั้นจะฆ่าเจ้าด้วย!”
“โอ้” นักบวชยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็ยกมือที่แขวนลูกประคำขึ้นมา นิ้วเรียวยาวแตะคางอันบอบบางของตัวเองราวกับกำลังครุ่นคิด “จะฆ่าแกงกันเชียวหรือ”
หัวหน้าองครักษ์ได้ยินเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดความรู้สึกไม่สบายใจภายในใจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
พลังของนักบวชคนนี้ เขาไม่สามารถสัมผัสได้เลย!
องครักษ์เสื้อแพรเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พี่ใหญ่ อย่าพูดจาไร้สาระกับเจ้านี่เลย! ปล่อยให้ข้าจัดการไอ้บ้านี่เองเถอะ! ในเมื่อเขาก็รู้ตัวตนของเราแล้ว ก็ต้องกำจัดเขาทิ้ง!”
เขาเอ่ยพลางมองไปยังนักบวชรูปงามเหนือมนุษย์ภายใต้แสงจันทร์อย่างดุร้าย “ชาติหน้าจำไว้อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน! ตายเสียเถอะ”
เขาวิ่งเข้าหานักบวชอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ห่างจากนักบวชสิบก้าว เขาก็กำด้ามกระบี่ทั้งสองข้างแน่นทะยานขึ้นกลางอากาศ แล้วฟันลงมาใส่นักบวชในพริบตา
คมกระบี่ทั้งสองด้ามกำลังจะฟันนักบวชออกเป็นสองท่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หัวหน้าองครักษ์ยื่นมือออกไปพยายามจะห้ามเขา แต่มันก็สายเกินไปแล้ว กระบี่ของเขาฟันลงไปแล้ว
นักบวชเงยหน้าขึ้นมององครักษ์เสื้อแพรที่โจมตีมาจากข้างบน เขายิ้มมุมปาก ยกมือซ้ายที่ไม่ได้ถือลูกประคำขึ้น ใช้นิ้วชี้แตะเพียงแผ่วเบา
“อะไรกัน กระบี่ของข้า…” องครักษ์เสื้อแพรรู้สึกได้ถึงแรงมหาศาลที่ปะทะเข้ากับกระบี่ของเขา ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเขาชาขึ้นมาทันที ก่อนที่ตัวเขาจะถูกพละกำลังมหาศาลนั้นเหวี่ยงออกไปอย่างแรง!
เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ร่างไถลไปข้างหน้าเป็นหลุมลึกหนึ่งศอก ยาวหนึ่งเมตร จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหัวหน้าองครักษ์
ไม่มากไปกว่าครึ่งนิ้ว ไม่น้อยกว่าครึ่งนิ้ว
ทุกอย่างล้วนควบคุมได้อย่างพอดิบพอดี
“พี่ใหญ่…” เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งอึก สิ้นลมหายใจลงตรงนั้น
หัวหน้าองครักษ์มององครักษ์เสื้อแพรที่ถูกสังหารด้วยเพียงหนึ่งกระบวนท่าอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก
องครักษ์เสื้อแพรส่วนมากไม่ได้ตายยามต่อสู้ แต่ทั้งหกคนนี้ไม่ใช่
มือสังหารที่ตายขณะต่อสู้มักกล้าหาญและไร้ความกลัวมากกว่าคนทั่วไป ไม่เคยถอยหนีในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเกิดความคิดที่จะถอยหนี
น่ารังเกียจ!
ไอ้นักบวชมาจากไหนกันแน่
ก่อนหน้านี้ก็เจอเด็กน้อยที่ฆ่าไม่ตายแล้ว ตอนนี้มาเจอยอดฝีมือที่บ้าคลั่งอีก
ดวงตาของเขาหรี่ลง อดกลั้นความกลัวที่มาจากจิตใจของเขาเอาไว้ “ข้าไม่สู้แล้ว! ปล่อยข้าไป!”
นักบวชยิ้ม “ตกลง”
หัวหน้าองครักษ์หันหลังกลับ แล้ววิ่งหนีไป!
นักบวชยิ้มบาง แล้วชี้ไปที่หัวหน้าที่กำลังวิ่งหนีไป พลังภายในอันทรงพลังของเขาพุ่งทะลุผ่านหัวใจของหัวหน้าองครักษ์ราวกับเป็นสิ่งมีตัวตน!
ภายในอกของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง เลือดพุ่งกระเซ็นเข้าตา เขาอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจและล้มลงกับพื้นไป
เขาใช้พลังจนหมดเกลี้ยงจนสามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลังภายในของเขาไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
“เหตุใด… ไม่ใช่ตกลงแล้วหรือว่า… ปล่อยข้า… ไป…”
นักบวชเดินเข้ามาอย่างสบายๆ มององครักษ์จากมุมสูงและเอ่ย “ข้าตอบตกลงว่าจะปล่อยเจ้าไป แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าจะยังมีลมหายใจอยู่”
“เจ้า… ไอ้… บ้าเอ๊ย…” หัวหน้าองครักษ์สิ้นใจ
นักบวชเลิกคิ้วอีกครั้ง แล้วเดินไปหากู้เจียว
กู้เจียวสลบไปแล้ว ใบหน้าฝังอยู่ในพงหญ้า ท่าทางที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนกบน้อยที่เศร้าหมอง
นักบวชเอ่ยด้วยความชื่นชม “ฆ่าได้สี่คนก็ไม่เลวนี่”
…
กู้เจียวถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงไม้แตกดังเปรี๊ยะ นางลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในวัดร้าง พระพุทธรูปและเพดานเต็มไปด้วยใยแมงมุม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครมาที่นี่
นางได้กลิ่นเนื้อย่างหอมหวน ชวนให้เจริญอาหาร
มีคนกำลังย่างเนื้อ เสียงดังเมื่อครู่ก็มาจากกองไฟ
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลังกองไฟ
เสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
กู้เจียวตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางลุกขึ้นนั่งทันทีและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
จากนั้นนางก็เห็นนักบวชที่อยู่ด้านหลังกองไฟ
“เจ้าเองหรือ”
นี่ไม่ใช่นักบวชรูปงามที่นางเคยพบในหมู่บ้านหรอกหรือ
นางปีนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาเจ้าอาวาส แต่ระหว่างทางนางได้พบกับนักบวชคนหนึ่งที่ตกลงไปในกับดัก สิ่งที่นางประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับนักบวชคนนี้คือเขารูปงามนัก สิ่งที่นางประทับใจเป็นอันดับสองคือเขาแปลกประหลาดมากเช่นกัน
นักบวชถูกงูพิษกัด แต่เขาก็กัดงูพิษตาย
กู้เจียวกระพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างไม่ละสายตา “เจ้ามาแคว้นเยี่ยนได้อย่างไร”
นักบวชย่างเนื้อไปพลางเอ่ยไป “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าที่นี่คือแคว้นเยี่ยน”
“อ้าว” กู้เจียวตกตะลึง “ข้ากลับมาที่แคว้นเจาแล้วหรือ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” นักบวชหัวเราะออกมาทันที
กู้เจียวไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรน่าขำ นางลุกขึ้นยืนเพื่อตรวจดูสภาพของตัวเอง บาดแผลบนร่างกายของนางถูกทาด้วยยาห้ามเลือดและกำลังสมานแผลได้ดีแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร
นางมองไปรอบกายอีกครั้ง นางเพิ่งจะนอนอยู่บนกองหญ้าแห้ง มีห่อผ้าสะพายหลังและทวนพู่แดงของนางวางอยู่ข้างเท้า
นางจำได้ดีว่าทวนพู่แดงของนางมีแปดเกลียว ตอนนี้กลายเป็นสิบเกลียวแล้ว
หรือว่านักบวชคนนี้เป็นคนทำ
พวกนักบวชทุกคนมีนิสัยชอบถักเปียกันเหรอ
“คนสองคนนั้นตายแล้วเหรอ” กู้เจียวจำได้ว่าก่อนที่นางจะหมดสติไปยังมีองครักษ์เสื้อแพรอีกสองคน
“ตายแล้ว” นักบวชเอ่ย
“ก็ดี” กู้เจียวไม่ได้ถามถึงสาเหตุการตายของคนสองคน
นักบวชก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
กู้เจียวเอ่ยต่อ “ที่นี่ที่ไหน ข้าหลับมานานแค่ไหนแล้ว”
นักบวชเอ่ย “ใกล้กับที่นางหมดสติ นางหลับมาห้าวันแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดข้าถึงหลับไปนานขนาดนั้น”
บาดแผลของนางไม่น่าจะทำให้นางหลับไปนานขนาดนั้นได้นะ
นักบวชส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
กู้เจียวหยิบกระเป๋ายาใบน้อย ออกมาเปิดดูชุดปฐมพยาบาล นางนับยาดูแล้วยิ้มมุมปาก “ท่านเอายานอนหลับทั้งขวดให้ข้ากินหรือ”
นักบวชเข้าใจทันที “นั่นเป็นยานอนหลับเหรอ อ้าว ขวดน้ำยาของเจ้าไม่มีชื่อยาติดอยู่เลย เจ้าไข้สูงมาก ข้าทายาห้ามเลือดให้เจ้าแล้ว แต่ตัวเจ้าก็ยังร้อนเหมือนเตาไฟ ข้าก็เลยต้องหายามาให้เจ้ากิน ดูท่าจะเป็นยาจริงๆ นะ ข้ายังกลัวว่าตัวเองจะทำผิดด้วยซ้ำ”
กู้เจียวหน้าดำคร่ำเครียด
เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในขวดเป็นยาหรือเปล่าก็เอามาให้ข้ากินตั้งหลายสิบเม็ด ช่วยทำตัวให้น่าพึ่งพาหน่อยจะได้หรือไม่
นักบวชพลิกกระต่ายบนตะแกรง ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง หยิบกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ออกมา ดึงฝาออก แล้วโรยเกลือบนเนื้อกระต่าย “ดูสิ ครั้งนี้ข้าไม่ลืมใส่เกลือแล้ว”
ถ้าไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ กู้เจียวก็เกือบจะลืมไปแล้วว่านักบวชคนนี้ตกหลุมพรางที่นางวางไว้เพื่อจับกระต่าย นางยังคิดว่านักบวชคนนี้จะมาช่วยกระต่าย แต่เขากลับฆ่ากระต่ายและย่างมันกินเสียอย่างนั้น
ครั้งหนึ่งนางเคยสงสัยว่าเขาเป็นพระปลอม และจนถึงตอนนี้นางก็ยังสงสัยเช่นนั้น
กู้เจียวมองไปรอบกาย นางรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา “มีน้ำไหม”
นักบวชโยนขวดน้ำให้นาง
กู้เจียวรับขวดน้ำมาไว้ในมือ พบว่ามันว่างเปล่า
นักบวชเอ่ย “มีลำธารอยู่หลังวัด เอาขวดนี้ไปตักน้ำมา”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าไม่ต้องใช้ขวดน้ำก็ดื่มได้”
นักบวชมองกู้เจียวแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ “ข้าให้เจ้าไปตักน้ำให้ข้าหน่อย”
กู้เจียว: “…”
ช่างเป็นไอ้นักบวชที่น่าตบเสียจริง
กู้เจียวนำขวดน้ำไปตักน้ำที่หลังวัด
นักบวชมองดูนางที่เดินอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาหยาดเยิ้มของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “ฟื้นตัวได้เร็วจริงๆ ”
กู้เจียวดื่มน้ำเสร็จแล้วกลับมา นางโยนขวดน้ำที่ตักน้ำมาแล้วให้นักบวช
นักบวชรับขวดน้ำแล้วยิ้ม “ขอบคุณ”
เขาเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เมื่อยิ้มออกมาอย่างสดใส ผู้คนต่างก็หลงใหลในตัวเขา
ถ้านักบวชคนนี้ไปโปรดสัตว์ด้วยท่าทางแบบนี้ สัตว์ทั้งหลายคงจะต้องกลายเป็นปีศาจ
กู้เจียวนั่งยองลงตรงข้ามนักบวช นางหยิบกิ่งไม้แห้งมาขีดๆ เขียนๆ บนพื้น รอให้กระต่ายย่างจนสุก
นางถามนักบวชหลายคำถาม นักบวชตอบคำถามส่วนใหญ่ของนางได้ แต่คำถามที่ว่าเขามาแคว้นเยี่ยนได้อย่างไรนั้น เขากลับไม่ตอบ
การมาแคว้นเยี่ยนมีเพียงสองวิธีเท่านั้น วิธีแรกคือมีใบอนุญาตจากทางการ วิธีที่สองคือถูกตีตราเป็นทาส
ไม่รู้ว่านักบวชคนนี้เป็นประเภทไหนกันแน่
“เจ้าเป็นคนแคว้นเจาหรือคนแคว้นเยี่ยน” กู้เจียวถาม
“สำคัญอย่างไร” นักบวชถามกลับด้วยรอยยิ้ม
กู้เจียวคิดอย่างจริงจัง “อ๋อ ไม่สำคัญหรอก”
นางยังคงขีดเขียนบนพื้น
นักบวชยังคงย่างเนื้อ
เนื้อช่างหอมเหลือเกิน
กู้เจียวเองก็หิวเหลือเกิน