สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 683 องค์หญิงกลับมาแล้ว (1)
บทที่ 683 องค์หญิงกลับมาแล้ว (1)
ยามเย็นย่ำเยือน เมฆสีแดงเพลิงทอดยาวไปทั่วท้องฟ้าและผืนน้ำ
ในวัดร้าง มีนักบวช เด็กสาวและเจ้างูน้อยนั่งประจันหน้ากันเป็นรูปสามเหลี่ยม
เจ้างูน้อยพยายามหนีหลายครั้ง แต่เด็กสาวก็จับมันกลับมาได้ทุกครั้ง เด็กสาวเหวี่ยงเจ้างูน้อยจนมันเวียนหัว งูน้อยจึงค่อยๆ หยุดนิ่ง
“เฮ้อ” นักบวชถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากสอนเจ้า แต่เจ้าเรียนกระบวนท่าเหล่านั้นไม่ได้หรอก เรียนไปก็แค่กระบวนท่าสวยๆ แต่ใช้ไม่ได้จริง”
กู้เจียวเอ่ย “เจ้ายังไม่ได้สอนเลย เจ้าก็รู้แล้วหรือว่าข้าเรียนไม่ได้”
“เจ้ามีกำลังภายในหรือไม่”
“ไม่มี”
“เจ้ามีวิชาตัวเบาหรือเปล่า”
“ไม่มี”
นักบวชหัวเราะ “เห็นไหมเล่า เพลงหมัดนั้นต้องใช้พลังภายในที่ลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะสามารถใช้พลังของมันได้”
กู้เจียวจับเจ้างูน้อยขึ้นมา
นักบวชหน้าเปลี่ยนสี พลันยื่นมือออกมา “ช้าก่อน! ข้ายังพูดไม่จบ!”
กู้เจียวหยุดลง เจ้างูน้อยห้อยหัวอยู่กลางอากาศพลางแลบลิ้นออกมา ทว่าไร้ซึ่งพิษสงใด
นักบวชตั้งสติแล้วเหลือบมองทวนพู่สีแดงข้างๆ พลางเอ่ย “อาวุธของเจ้าคือทวน ข้าจะสอนเพลงทวนแก่เจ้า”
นักบวชก็รู้จักเพลงทวนด้วยหรือ
เพลงทวนของกู้เจียวเป็นวิชาที่ท่านเหล่าโหวเหย่สอนมา รวมทั้งหมดมีไม่กี่ท่าและท่าที่เป็นท่าไม้ตายก็มีเพียงท่าเดียว
ท่านั้นท่านเหล่าโหวเหย่เลือกสอนให้กู้เจียวตามฝีมือนางในขณะนั้น แต่ความจริงแล้ว เมื่อความแข็งแกร่งของกู้เจียวฟื้นคืนมา เพลงทวนเหล่านั้นก็ดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป
นักบวชลุกขึ้นยืน เดินไปยังทวนพู่สีแดงที่วางพิงกำแพง ก่อนจะเดินไปยังลานว่างนอกวัด “ดูให้ดีนะ”
เขาปักทวนลงกับพื้น ดวงตาของเขาพลันแข็งกร้าว ลมหายใจของเขาไหลเวียนอย่างรวดเร็วราวกับมีใบมีดที่มองไม่เห็นพัดโบกไปมาอย่างรุนแรง
กู้เจียวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารังสีที่แผ่นซ่านออกมาของนักบวชนั้นเปลี่ยนไป ว่ากันตามตรง หากดูให้ดี นักบวชผู้นี้ก็เปลี่ยนแปลงตลอด
นางไม่รู้สึกกำลังภายในของเขาแม้แต่นิดเดียว จึงไม่แปลกใจเลยที่นางไม่สงสัยในตัวเขายามที่ตกหลุมกับดักเมื่อครานั้น
ทว่าพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาแผ่ซ่านออกมายามสังหารเทียนหลัง ทำให้เขาดูราวกับเป็นคนละคน
หากให้กู้เจียวบรรยายละก็ นางก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเช่นกัน
หรือบางที… เหมือนเทพเซียน หรือไม่ก็เซียนในลัทธิมารกระมัง
ทันใดนั้น ทั้งพุทธานุภาพและมารอาคมก็หายไปหมดแล้ว เขาโบกทวนยาว ยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ท่าทางทรงภูมิน่าเกรงขาม แม้แต่ดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นก็ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
“นี่มันเพลงทวนแบบไหนกัน” กู้เจียวพึมพำ
นักบวชแสดงกระบวนท่าสุดท้ายเสร็จก็โยนทวนยาวให้กู้เจียว “เอาละ ถึงตาเจ้าแล้ว”
ทวนยาวนี้หนักมาก เขาโยนมาแบบนี้ ไม่กลัวนางรับไม่ได้หรือไร
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ทวนยาวนั้นหอบแรงของนักบวชมาด้วย กู้เจียวเกือบจะรับไม่อยู่จริงๆ นางทรงตัวไว้ ก่อนจะเสียบทวนยาวลงกับพื้นอย่างแรง จึงไม่ถูกเหวี่ยงล้มลงกับพื้น
นักบวชเลิกคิ้วเล็กน้อย “โอ้ รับได้ด้วยหรือ”
“เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าตั้งใจสินะ”
“แค่ลองดูว่าเจ้าฟื้นตัวถึงระดับใดแล้ว ถ้าเจ้าไม่มีแรงพอ ข้าก็ยังคงสอนเจ้าไม่ได้”
เขาเอ่ย “ลองดูว่าเจ้าฟื้นตัวถึงระดับใดแล้ว” ไม่ใช่ “ลองดูซิว่าเจ้ามีแรงแค่ไหน” ความหมายแตกต่างกันมาก
เขารู้ว่านางฝีมือระดับใดก่อนจะได้รับบาดเจ็บ
เช่นนั้นก็พอเดาได้ว่า ตอนนางต่อสู้กับองครักษ์เสื้อแพรทั้งหกคน เขาอยู่ตรงที่นี่แล้วสินะ
เขาเฝ้าสังเกตนางอยู่ลับๆ จนกระทั่งนางหมดแรงจึงเข้ามาช่วยเหลือ
“เหตุใดยังไม่เริ่มอีกเล่า จำกระบวนท่าไม่ได้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าจะแสดงให้ดูอีกครั้ง”
“ไม่ต้อง”
เพลงทวนที่ท่านเหล่าโหวเหย่สอนให้กู้เจียวได้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับนางมาก ท่าไม้ตายที่ซับซ้อนบางอย่างนางก็พอจะเข้าใจได้
สิ่งเดียวที่กู้เจียวกังวลก็คืออาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี นางจึงมีแรงน้อยลงบ้าง แต่นางไม่จำเป็นต้องไปฆ่าใคร เพียงแค่ฝึกทวนก็เพียงพอแล้ว
นักบวชยืนอยู่ที่ประตูดูกู้เจียวอย่างไม่ละสายตา “ท่าแรก”
ท่าแรกเป็นท่าที่ง่ายที่สุด ไม่ได้แตกต่างจากท่าไม้ตายที่สำคัญที่สุดที่ท่านเหล่าโหวเหย่สอนกู้เจียวมากนัก แต่ปลายทวนถูกยกสูงขึ้นสองนิ้ว ทำให้ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าสองเท่า
กู้เจียวเก็บทวนพู่แดงกลับเข้าไป ปรับลมหายใจ เอ่ยกับตัวเอง “เห็นท่าง่ายๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องใช้แรงมากมายถึงขนาดนี้”
นักบวชปลดไหเหล้า ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ มองกู้เจียวอย่างใจเย็นพลางเอ่ย “ท่าที่สอง”
ท่าที่สองยากขึ้น กู้เจียวกระโดดขึ้นเหนือพื้น แทงทวนยาวจากบนลงล่างอย่างแรง
มุมของนางกับมุมที่นักบวชแทงนั้นต่างกันเพียงเล็กน้อย
แค่ดูเพียงครั้งเดียวก็สามารถเลียนแบบได้ขนาดนี้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
หลังจากฝึกท่าทั้งสองเสร็จ กู้เจียวก็ใช้แรงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางเริ่มเจ็บบาดแผล
แต่นักบวชก็ไม่มีความคิดที่จะให้กู้เจียวหยุด
“ท่าที่สาม” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ดูเหมือนว่าตั้งแต่นักบวชเริ่มใช้ทวนพู่แดงจนถึงตอนนี้ที่ดูนางฝึกทวน บรรยากาศของนักบวชก็แตกต่างจากที่นางเคยเห็นไม่มากนัก
ท่าที่สามเป็นท่าผสมผสาน มีท่าหลอกล่อกลลวง ต้องใช้ความเร็วและความยืดหยุ่นของร่างกายระดับสูง
โชคดีที่ตั้งแต่ข้ามมิติมาที่นี่ กู้เจียวก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนเลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้นางคงเอวหักไปแล้ว
เมื่อท่านี้จบลง กู้เจียวหายใจหอบถี่รัว
นักบวชมองกู้เจียวอย่างประหลาดใจ “ยังมีแรงอยู่อีกหรือ”
กู้เจียวฝึกท่าทั้งหมดรวดเดียว แต่จริงๆ แล้วมีแค่ห้าท่า ยิ่งท่าต่อไป ความยากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
นักบวชพึมพำ “เด็กคนนี้ ข้าตั้งใจจะให้เจ้าฝึกแค่สามส่วน…”
ขาของกู้เจียวอ่อนแรงแทบจะล้มลงทุกเมื่อ แต่นางใช้ทวนพู่แดงพยุงตัวไว้
นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก หายใจหอบกระชั้นพลางเอ่ย “ยังมีอีกไหม”
นักบวชชะงักไป “ยังมี”
เขาหยุดเอ่ย ดูเหมือนกำลังลังเลราวกับกำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ “สามท่า”
กู้เจียวเหนื่อยแทบตาย ตาพร่ามัว ไม่ได้สังเกตเห็นความลังเลในสีหน้าของเขา นางยื่นทวนพู่แดงให้เขา “ข้าขอหายใจอีกสักพัก เจ้าค่อยเริ่มนะ”
ไม่อย่างนั้นนางจะมองไม่ทัน
นักบวชยืนถือทวนพู่แดงบนลานโล่งภายใต้แสงสีทองของยามเย็น ลมพัดโชยมา จีวรของเขาปลิวไสว ผ้าคลุมไหล่ของเขาโบกสะบัด สายตาจ้องมองท้องฟ้า
“ข้าพร้อมแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
นักบวชไม่ขยับ
กู้เจียวเอียงศีรษะ “หลวงพี่”
นักบวชกำทวนพู่แดงแน่นขึ้น “ไหนๆ เจ้าก็อยากเรียน ข้าก็จะสอนให้ แต่เจ้าจำไว้ ห้ามใช้กระบวนท่านี้เพื่อทำความชั่ว ห้ามใช้มันทำร้ายคนบริสุทธิ์ มิฉะนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าเอง”
กู้เจียวนั่งอยู่บนขอบประตู เท้าคางมองเขา “จู่ๆ ก็จริงจังขนาดนี้ ข้าไม่ชินเลย”
ท่าที่เหลืออีกสามท่านั้นยากกว่าหกท่าแรกมาก กู้เจียวดูจนเข้าใจแล้ว แต่การจะแสดงออกมาทั้งหมดนั้นยังทำได้ไม่คล่องนัก
“วันนี้ฝึกแค่นี้ก่อน” นักบวชเอ่ย
“อืม” กู้เจียวเก็บทวนพู่แดง
ทั้งสองคนฝึกมาทั้งคืนจนไม่ได้กินอะไร นักบวชจึงไปจับปลาสองตัวในลำธารหลังวัดมาย่าง
เขายังไปเก็บผลไม้ป่ามาอีก
เมื่อเขากลับมาพร้อมกับกองผลไม้ป่า ปลาย่างก็เหลือแต่ก้างแล้ว แก้มกู้เจียวบวมตุ่ย ปากเล็กๆ ของนางเคี้ยวไม่หยุด กำลังพยายามทำลายหลักฐาน
นักบวชโกรธจนขนลุก “เจ้ากินหมดอีกแล้วนะ! เหลือให้ข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ!”
กู้เจียวแก้มพองเหมือนกระรอกตัวเล็กที่กำลังกินอาหาร เอ่ยเสียงอู้อี้ “ใช้พลังมากเกินไป หิวมาก อดใจไม่ไหว”
นักบวช “…”
นักบวชไปจับปลาอีกสองตัว คราวนี้เขาไม่ยอมออกไปไหนแล้ว ตั้งใจจะไม่ให้ใครมาขโมยกิน
เจ้างูน้อยถูกกู้เจียวปล่อยไปแล้ว ในเมื่อมันไม่ได้เป็นอะไร
นักบวชตั้งใจย่างปลา
กู้เจียวนั่งบนฟาง หยิบผ้าฝ้ายจากตะกร้าใบเล็กมาเช็ดทวนพู่แดงอย่างเบามือราวกับกำลังเช็ดสิ่งของมีค่า
นักบวชมองดูท่าทางนางยามเช็ดทวนพู่แดง ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น
กู้เจียวสังเกตเห็นเขากำลังมองนาง เมื่อนางหันไปมองเขา เขาก็หลบตาและหันกลับไปย่างปลาต่อ
จนป่านนี้แล้ว นักบวชก็ไม่เคยถามนางเลยว่าเหตุใดนางถึงมาปรากฏตัว ณ แคว้นเยี่ยน เหตุใดถึงแต่งตัวเป็นชายและเหตุใดถึงเจอกับองครักษ์เสื้อแพรของจวนไท่จื่อ
เขาไม่ได้สนใจเรื่องของนางเลยสักนิด หรือว่าเขารู้อยู่แล้วว่านางคือใคร
นักบวชฮึดฮัด “อย่ามอง! มองก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ให้กิน!”
ความคิดของกู้เจียวถูกขัดจังหวะ นางหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามเขา “เจ้าชื่ออะไร”
นักบวชไม่มีชื่อ นางถามถึงฉายา เช่นเดียวกับจิ้งคง ซึ่งเป็นฉายา แต่จิ้งคงชอบชื่อนี้ ดังนั้นแม้เขาจะสึกแล้วก็ยังใช้ชื่อจิ้งคงอยู่
กู้เจียวถามจบแล้วคิดในใจว่านักบวชจะตั้งฉายาว่าอะไรดี ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเขาเอ่ยเบาๆ เพียงคำเดียว
กู้เจียวอึ้งไป “นึ่ง นึ่งอะไร นึ่งกระต่ายหรือนึ่งซี่โครง”
นักบวชตะโกน “สมองของเจ้านอกจากเรื่องกินแล้ว มีอะไรอีกบ้าง!”
กู้เจียว “ไม่มี ช่วงนี้หิวมาก”
นักบวชถอนหายใจ หยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมา เขียนตัวอักษรหนึ่งตัวบนพื้นด้วยภาษาแคว้นเยี่ยน “เจิง”
ตัวอักษรนี้ดูแล้วไม่ใช่ฉายา แต่เป็นชื่อสกุลของเขา
นักบวชจบบทสนทนานี้ “ดึกแล้ว เจ้ารีบไปนอนเถอะ”
กู้เจียว “ข้าอยากกินปลา”
นักบวช “…”
หลังจากกินปลาย่างเนื้อฉ่ำอีกครั้ง กู้เจียวลูบคลำพุงกลมของนางอย่างอิ่มเอมใจแล้วหลับไป