สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 688 คิดบัญชีให้หมด
บทที่ 688 คิดบัญชีให้หมด
“นั่นมัน…” ฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่องค์หญิงน้อย เก็บคำสบถไว้ในใจ “ใครบอกเจ้าแบบนั้น”
ขณะเดียวกัน เหล่าขันทีและนางในต่างอยู่ในท่าคุกเข่าตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกแล้ว แม้แต่หัวหน้าข้าหลวงที่กำลังเดินถือถาดของว่างเข้ามาพอได้ยินดังนั้นก็ยังต้องรีบคุกเข่าก้มหัวลงอย่างอกสั่นขวัญผวา
องค์หญิงน้อยจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าจนไม่ได้สังเกตผู้คนรอบกาย
ยังคงต่อปากต่อคำกับฝ่าบาท “ซ่างกวานเยี่ยนเป็นคนบอกเพคะ!”
“นางพูดว่าเราตายแล้วรึ” ฮ่องเต้ตรัสถามพร้อมกับนัยน์ตาที่วาวโรจน์อย่างรุนแรง
องค์หญิงน้อยเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอธิบาย “นางไม่ได้พูดออกมาทื่อๆ เช่นนั้น แต่เป็นเพราะความปราดเปรื่องของหม่อมฉัน จึงพอจะเดาความหมายที่นางสื่อได้เพคะ! ตอนหม่อมฉันถามนางไปว่าบิดาของนางคือผู้ใด นางก็ทำหน้าเศร้าทันที เอ่ยว่านางไม่ได้พบหน้าบิดาของนางมาสิบกว่าปีแล้ว! หม่อมฉันจึงคิดว่าบิดาของนางต้องจากไปแล้วแน่ๆ มิเช่นนั้นสิบกว่าปีที่ผ่านมาเหตุใดถึงไม่เคยเจอกันเลย ใช่ไหมละเพคะ”
ฮ่องเต้แทบจะหัวใจวายตายคาที่ตรงนั้น!
เหล่าขันทีนางในต่างพากันอกสั่นขวัญผวาจนหน้าซีด
ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าพูดเช่นนี้กับฝ่าบาทเลย มีแค่องค์หญิงน้อยคนเดียวที่ทำได้ และทำลงไปแล้ว
หากเกิดเหตุอาเพศอะไรขึ้น โปรดองค์หญิงอย่าได้หาว่าข้าน้อยไม่เตือนเลยนะขอรับ
ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์กุมที่พระอุระ และถามถึงบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสอง ในที่สุดก็ยืนยันว่าซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไรเลยจริงๆ เรื่องทั้งหมดเป็นการตีความขององค์หญิงน้อยผู้เดียว
หากเป็นคนอื่นพูดบ้าง ป่านนี้คงหัวหลุดออกจากบ่าแล้ว
หลังจากระงับความกริ้วลงแล้ว ก็ทรงตรัสกับองค์หญิงน้อยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ย่ำรุ่งเจ้าต้องไปเรียนหนังสือกับราชครู”
“เอ๋ เหตุใดข้าต้องไปด้วยเพคะ” องค์หญิงน้อยไม่อยากเรียนหนังสือ!
“เจ้าอายุสี่พรรษาแล้ว ถึงเวลาแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมกับเหน็บแนมแม่สาวน้อยไปหนึ่งที “อย่างน้อยเจ้าจะได้ฟังภาษาคนออก!”
องค์หญิงน้อยได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหูผึ่งและชักสีพระพักตร์ “หม่อมฉันฟังภาษาคนออกนะเพคะ! ฝ่าบาทตรัสอะไรมาหม่อมฉันก็ฟังออกหมดเลยนะเพคะ! อ๊ะ อื้อ อื้อ อื้อ…”
ขณะที่องค์หญิงน้อยกำลังจะตรัสต่อ หัวหน้าข้าหลวงก็เข้ามาเอามือปิดปากองค์หญิงน้อยทันที
สวรรค์โปรด เมื่อครู่นี้พระองค์ทรงแช่งฝ่าบาทไปแล้ว อย่าได้ตรัสอะไรไม่เป็นมงคลไปกว่านี้ออกมาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ!
“กระหม่อมจะพาองค์หญิงน้อยกลับตำหนักเองพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าข้าหลวงเอ่ย
“อื้อ อื้อ อื้อ!”
อย่ามาปิดปากข้านะ ข้ายังพูดไม่จบ! ข้าจะพูดต่อ!
และแล้วองค์หญิงน้อยก็ถูกหามกลับไปที่ตำหนัก
กว่าองค์หญิงน้อยจะกลับไปได้ทำเอาหัวหน้าข้าหลวงสายตัวแทบขาด เห็นตัวกระจิดริดแบบนี้ แต่เอาใจยากน่าดู
“ฝ่าบาทพพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าข้าหลวงจางเต๋อฉวนเดินเหงื่อตกกลับมาที่ห้องทรงงาน
เวลานี้ ดวงอาทิตย์ลับฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุมทั่วทั้งพระราชวัง
แม้ว่าห้องทรงงานของฮ่องเต้จะสว่างไสว แต่ลมยามค่ำคืนก็พัดเข้ามาเป็นระยะ ทำให้โคมไฟกระพริบและดับลง ยิ่งทำให้พระพักตร์ที่ดูดุดันและเคร่งขรึมอยู่แล้วของฮ่องเต้ดูขุ่นมัวมากขึ้น
“เหตุใดองค์หญิงถึงไปที่นั่นได้” ฮ่องเต้ตรัสถาม
จางเต๋อฉวน “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไล่ถามคนในเหตุการณ์ทุกคนแล้ว ได้คำตอบว่าองค์หญิงทรงไปที่นั่นด้วยตัวพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
หรือเข้าใจอีกอย่างก็คือ ไม่มีใครพาองค์หญิงไปที่นั่น
ฮ่องเต้หยิบฎีกาขึ้นมาฉบับนึงพร้อมกับตรัสถาม “เจ้าจัดการเรื่องนั้นเลยแล้วกัน”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อฉวนประสานมือ
ตกดึก ทหารองครักษ์คนที่ทำร้ายองค์หญิงถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วนทหารองครักษ์กว่าร้อยนายของไท่จื่อถูกพาตัวไปคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินและถูกไต่สวนอย่างทรมาน
คำถามสำหรับการไต่สวนมีอยู่ว่า หนึ่ง ไท่จื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารองค์หญิงหรือไม่ สอง เหตุการณ์ที่สุสานของฮ่องเต้ ไท่จื่อมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ สาม ไท่จื่อมีส่วนทำให้องค์หญิงความจำเสื่อมหรือไม่
ณ ห้องทรงงานในจวนไท่จื่อ “ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคนอย่างนางจะเล่นสกปรกเช่นนี้” ไท่จื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หนานกงลี่เห็นด้วย “ดูแล้วไม่ใช่วิถีของอดีตองค์หญิงเลยนะขอรับ”
ผู้ที่คาบช้อนทองมาเกิดเช่นพระองค์คงมิได้มีความคิดซับซ้อนถึงขั้นเล่นแผนซ้อนแผนขนาดนั้น
หนานกงลี่เอ่ยขึ้นหลังจากนึกอะไรขึ้นได้ “ทว่าคนเรามักเปลี่ยนกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ประสบพบเจอเรื่องราวมามากมาย พระองค์อาจมิใช่องค์หญิงที่พวกเราเคยรู้จักแล้วก็เป็นได้ขอรับ”
“นั่นสินะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเชียว” ไท่จื่อเอ่ยพลางถอนหายใจ
“กระหม่อมมองว่าท่าทีของฝ่าบาทอาจมิใช่เพื่อปกป้ององค์หญิงนะขอรับ” หนานกงลี่เอ่ย
“ข้ารู้ ฝ่าบาททรงสงสัยก็เท่านั้น” ไท่จื่อถอนหายใจอีกครั้ง
ไท่จื่อขอเลือกที่จะมองว่าฝ่าบาททำเช่นนั้นเพื่อกันมิให้ตัวเองก่อกบฏ ยังดีกว่าให้คิดว่าทรงทำไปเพียงเพื่อปกป้ององค์หญิง
“ข้าจงรักภักดีกับพระองค์มาตลอด ไม่มีวันคิดก่อกบฏเป็นอันขาด” เขาลุกขึ้น แล้วแหงนหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยสว่างบนฟ้า
หนานกงลี่เดินไปหาไท่จื่อพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ทรงไม่ได้ทำเพื่อเตือนท่านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารคนอื่นๆ ด้วย ท้ายที่สุดแล้ว ฝ่าบาทไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ตระกูลเซวียนหยวนซ้ำสองอีก”
พอคิดถึงเรื่องในอดีต ไท่จื่อก็นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
หนานกงลี่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยด้วยความกังวล “จางเต๋อฉวนคงไม่ได้เบาะแสอะไรไปมากใช่ไหมขอรับ”
“ข้าละกลับคาดหวังให้จางเต๋อฉวนได้ข้อมูลอะไรกลับไปบ้างด้วยซ้ำ เพราะข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าสะพานแขวนนั่นมันขาดได้อย่างไร ไหนจะสุสานอีก แล้วไหนจะเรื่องที่องค์หญิงเกิดความจำเสื่อมขึ้นมาอีก เอ๋ ช้าก่อน ความจำเสื่อมอย่างนั้นรึ!”
หลังจากหนานกงลี่ฟังจบก็พอจะรู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ทิ้งเบาะแสหรือร่องรอยใดๆ ไว้เลย มิหนำซ้ำทหารที่ถูกจับไปก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ลอบสังหารองค์หญิง ไม่ว่าจะสอบปากคำอย่างไรย่อมไม่มีทางเกิดผลร้ายกับไท่จื่ออยู่แล้ว
“จะว่าไป ไหนเจ้าเคยบอกว่าพวกคนที่คุ้มกันนางฝีมือไม่ได้เรื่องเลยสักคน แล้วไฉนจนถึงป่านนี้คนของข้ายังไม่มีใครโผล่หัวกลับมาเลยล่ะ!” ไท่จื่อหันไปถลึงแววตาเย็นชาใส่หนานกงลี่
หนานกงลี่โค้งตัวแทบไม่ทัน “กระหม่อมสืบความเป็นไปขององค์หญิงมาเป็นเวลานาน และค่อนข้างมั่นใจได้ว่าทหารที่คุ้มกันองค์หญิงไม่มีใครที่เก่งกาจเลยสักคน หรือจะเป็นเพราะว่า…มีคนของเซวียนหยวนหลงเหลืออยู่ขอรับ”
“พวกเซวียนหยวนถูกฆ่าล้างโคตรไปตั้งนานแล้ว จะมีใครหลงเหลืออยู่อีกล่ะ” ไท่จื่อโต้กลับ
เหล่าชายชาติทหารในตระกูลเซวียนหยวนหากไม่ถูกฆ่าตายในสนามรบก็ต้องถูกประหารชีวิต และแม้แต่เด็กทารกก็ไม่รอด ส่วนสตรีจะถูกส่งไปยังวัด แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่อาจรับความอัปยศอดสูจนปลิดชีวิตตัวเองกันหมด
ไท่จื่อเอ่ยต่อ “คนที่เหลืออยู่ก็มีแค่องค์หญิงกับลูกของนางเท่านั้นแหละ!”
พอเอ่ยถึงบุตรของนาง สีหน้าของไท่จื่อก็เย็นชาลงกว่าเดิม “ว่าแต่ เรื่องเจ้าเด็กนั่นตามถึงไหนแล้ว”
หนานกงลี่รีบตอบกลับ “กระหม่อมสั่งการลูกน้องไว้แล้วขอรับ ไม่นานคงจะรู้ผล”
“ต้องกำจัดให้สิ้นซาก อย่าให้เหลือแม้แต่เสี้ยนหนาม” ไท่จื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“น้อมรับบัญชาขอรับ!” หนานกงลี่เอ่ย
“เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ!”
เสียงเจื้อยแจ้วของใครบางคนดังทะลุเข้ามาในห้องทรงงาน
ไท่จื่อรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองก่อนจะขยิบตาให้หนานกงลี่ไปซ่อนตัวอยู่หลังชั้นวางหนังสือ
เด็กน้อยวัยหัดเดินคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาข้างใน
ไท่จื่อเดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาพร้อมเอ่ยถาม “ทำไมหลิงเอ่อร์ถึงมาที่นี่ล่ะ”
“ข้านอนไม่หลับ ข้าคิดถึงเสด็จพ่อ” นางตอบ
ไท่จื่อหัวเราะ “เช่นนั้น เสด็จพ่อเข้าไปนอนเป็นเพื่อนดีไหม”
“ดี ดี ดี ข้าอยากฟังเสด็จพ่อเล่านิทานด้วย”
“ได้สิ หลิงเอ่อร์อยากฟังนิทานเรื่องอะไร”
ไท่จื่ออุ้มลูกสาวตัวน้อยของเขาออกจากห้องทรงงานด้วยเสียงหัวเราะอันแสนสุขไปตลอดทาง
ไม่นาน หนานกงลี่ก็เดินออกมาจากห้อง เอามือแตะที่แผลตรงแขนขวา ดวงตาฉายแววอำมหิต “เซียวลิ่วหลัง คราวนี้เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก คนพ่อก่อหนี้ คนลูกย่อมต้องชดใช้!”
…
หลังจากกู้เจียวอยู่ทานมื้อเย็นที่หอเทียนเซียง ทันใดนั้นก็เห็นว่ามีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาเกาะที่หน้าต่าง
“เสี่ยวจิ่วรึ” กู้เจียวออกอาการตกใจ
เสี่ยวจิ่วเองก็ดูตกใจไม่น้อยเช่นกันที่ได้เห็นกู้เจียว พร้อมทั้งทำท่ากระพือปีกยกใหญ่
คนที่ดูจะนิ่งเฉยสุดกลับเป็นกู้เฉิงเฟิง
ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสี่ยวจิ่วบินมาที่แห่งนี้
เท้าขวาของเสี่ยวจิ่วมีม้วนกระดาษผูกไว้อยู่ พอกู้เจียวหันไปหากู้เฉิงเฟิง เขาก็ตอบกลับมา “หยิบมาดูสิ ส่วนใหญ่เป็นข้อความจากเซียวเหิงนั่นแหละ”
หนานเซียงเคยบอกกับกู้เจียวว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตอนนางไม่อยู่ในเมือง เซียวเหิงกับกู้เฉิงเฟิงมักไปรอนางที่เรือนอยู่บ่อยๆ ก็เลยสนิทกันมากขึ้น
แต่กู้เจียวไม่คิดว่าพวกเขาจะสนิทกันถึงขั้นส่งจดหมายให้กันด้วย
กู้เฉิงเฟิงอธิบาย “เซียวเหิงไม่ค่อยสะดวกเดินทางไปไหนมาไหน ก็เลยต้องวานให้เสี่ยวจิ่วช่วยส่งจดหมายให้น่ะ”
กู้เจียวจึงแกะจดหมายออกมาดู
เป็นลายมือของเขาจริงๆ แม้ใจความจะมีไม่มาก เขาถามเกี่ยวกับกู้เจียวก่อน รองลงมาคือเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาพบเจอ
“เกิดอะไรขึ้น” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามเพราะเห็นสีหน้ากู้เจียวเปลี่ยนไป “เกิดเรื่องกับเซียวเหิงรึ”
“เขาเจอกับหนานกงลี่แล้ว” กู้เจียวยื่นจดหมายให้เขาอ่าน
และเพราะเหตุนี้ เซียวเหิงจึงยกเลิกการเดินทางออกนอกเมือง เพื่อไม่ให้คนของหนานกงลี่เข้าไปยุ่งกับกู้เจียว
คนอย่างหนานกงลี่จะต้องใช้วิธีตรวจรายชื่อคนเข้าเมือง โดยเฉพาะชื่อของเซียวเหิงและกู้เจียว ในจดหมาย เซียวเหิงยังขอให้กู้เฉิงเฟิงช่วยดูลาดเลาในสำนักบัณฑิตเทียนฉงอีกด้วย
นัยน์ตาของกู้เฉิงเฟิงเยียบเย็นกว่าเดิม “คนที่ทำร้ายกู้เหยี่ยน ก็คือหนานกงลี่ใช่ไหม”
คนที่ทำให้โรคหัวใจของกู้เหยี่ยนกำเริบจนปางตาย และทำให้พวกเขาต้องเดินทางมาที่แคว้นเยี่ยนเพื่อตามหาห้องผ่าตัด
“ใช่แล้ว” กู้เจียวมองนอกหน้าต่างออกไปยังทิศในเมืองด้วยแววตาที่เปี่ยมจิตสังหาร “ถึงเวลาชำระแค้นกับหนานกงลี่แล้วสินะ!’