สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 692 สืบหาความจริง
บทที่ 692 สืบหาความจริง
“ลิ่วหลัง! ลิ่วหลังเจ้าอยู่ไหน ลิ่วหลัง!”
เป็นเสียงของมู่ชวน
กู้เจียวหายไปนาน มู่ชวนรอแล้วรอเล่าไม่มาเสียที จึงได้ออกมาตามหาเขาด้วยกันกับจ้าวเวยและพวกหยวนเซี่ยว นอกจากนี้คนที่มาด้วยกันกับพวกเขายังมีนางกำนัลตำหนักจงเหอด้วยอีกคน
นี่เป็นลานตำหนักกลางของตำหนักจงเหอ โดยปกติแล้วไม่มีใครมา นอกจากห้องไม้เล็กๆ ที่ใช้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้ว ก็เป็นกำแพงสูงด้านหนึ่งกับต้นไม้ใหญ่สองสามต้น
ในขณะนั้นเอง กู้เจียวก็นั่งย่อตัวลงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กำแพง ตรงหน้านางเป็นบุรุษคนหนึ่งนอนจมกองเลือด และมีขันทีที่สิ้นลมไปแล้วสามนายนอนอยู่ใกล้ๆ กับห้องไม้เล็กด้านหลังนางด้วย
“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น” หยวนเซี่ยวปากอ้าตาค้างถามขึ้น
“ลิ่วหลัง!” มู่ชวนสาวเท้าก้าวยาวราวกับดาวตกเดินไปหา
หยวนเซี่ยวกับจ้าวเวยเดินตามมา
ตอนที่พวกเขาเดินผ่านห้องไม้ปรายตาไปมองขันทีสามนายที่นอนระเนระนาดกันโดยมิได้นัดหมาย
หยวนเซี่ยวส่ายหน้าให้ทั้งสองคน
เขาสัมผัสได้ว่าสามคนนี้หมดลมไปแล้ว
จ้าวเวยสีหน้ากังวลมองแผ่นหลังเล็กที่นั่งกับพื้น ไม่รู้กำลังขีดเขียนหรือทำอะไรอยู่ “ลิ่วหลังไม่เป็นอะไรกระมัง ได้รับบาดเจ็บหรือว่าตกใจจนเสียขวัญไปหมดแล้วเล่า”
นี่มันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมอันน่าสยดสยองชัดๆ !
คนปกติที่ไหนจะมานั่งยองๆ ตรงนี้ได้ หากไม่ตกใจจนวิ่งหนี ก็ต้องรีบหนีห่างออกไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มิใช่หรือไร
ทั้งสามเร่งฝีเท้าเดินมาหยุดข้างกายเซียวลิ่วหลัง มู่ชวนอยู่ด้านซ้าย หยวนเซี่ยวกับจ้าวเวยอยู่ด้านขวา จ้าวเวยไม่อยากอยู่ไกลเซียวลิ่วหลัง จึงอ้อมบุรุษบนพื้นมาหยุดตรงหน้ากู้เจียวมันเสียเลย
ส่วนนางกำนัลที่มาด้วยกันกับพวกเขาก็รีบไปตามคนมาอย่างรวดเร็ว
“ลิ่วหลัง เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
ทั้งสามถามขึ้นโดยพร้อมเพรียง
ตีคลีด้วยกันมาตั้งนาน พวกเขาค่อยๆ รู้ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมาพลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไร”
ในบรรดาทั้งสามมีเพียงมู่ชวนที่เคยเจอหนานกงลี่ น่าเสียดายที่หนานกงลี่โลหิตอาบย้อมใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด ยากจะแยกแยะว่าเป็นใคร กอปรกับมู่ชวนเอาแต่ห่วงเซียวลิ่วหลัง จึงจำอีกฝ่ายไม่ได้
มู่ชวนขมมวดคิ้วถาม “นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึ”
กู้เจียวเอ่ยไปตามตรง “เขาโดนฆ่าน่ะ”
มู่ชวนถามกู้เจียวอย่างฉงน “แล้วเหตุใดเจ้าจึงมานั่งยองๆ อยู่ตรงนี้ รอโดนจับข้อหาฆาตกรรมหรือไร”
ข้านี่แหละฆาตกร
กู้เจียวเอ่ย “เท้าชาน่ะ”
ชาจริงๆ นะ ชนิดที่ว่าลุกไม่ขึ้นเลย
มู่ชวน “…”
หยวนเซี่ยว “…”
จ้าวเวย “…”
มู่ชวนกับหยวนเซี่ยวเอื้อมมือไปคนละข้าง พยุงกู้เจียวให้ลุกขึ้น
อีกด้านหนึ่ง นางกำนัลน้อยพาขันทีผู้ดูแลของตำหนักจงเหออย่างหลี่ซานเต๋อ ด้านหลังหลี่ซานเต๋อมีทหารองครักษ์ของวังหลวงอีกหลายนายตามมาด้วย
ไม่ใช่ราชองครักษ์ ราชองครักษ์มีแค่ฮ่องเต้ที่มีสิทธิ์โยกย้าย ยามนี้ฮ่องเต้ประชุมเช้าอยู่ที่ตำหนักจินหลวน หลี่ซานเต๋อจึงยังไม่ได้กราบทูลในตอนนี้
หลี่ซานเต๋อมองบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงสามสี่คนแวบหนึ่ง สายตาเขาหยุดบนเสื้อส่วนหน้าของกู้เจียว
พวกมู่ชวนมองตามสายตาเขาไป เสียงวิ้งๆ ดังขึ้นในหัวทันที
สวรรค์!
บนเสื้อผ้าของลิ่วหลังมีรอยมือคราบเลือดอยู่ได้อย่างไร!
เมื่อครู่นี้กู้เจียวนั่งยองๆ ตรงนั้น กอดเข่าเอาไว้ จึงบังเสื้อส่วนหน้าอยู่ พวกเขาเลยไม่เห็นคราบเลือดนี้ในตอนแรก
นี่เป็นคราบเลือดที่หนานกงลี่ดึงเสื้อส่วนหน้านางไว้ในขณะที่สั่งเสียก่อนตาย
จากแผนการเดิมของกู้เจียวนั้น พอหนานกงลี่สิ้นลมนางก็จะหลบหนีไปไกลลิบ เสื้อผ้าเปื้อนก็ไม่เป็นไร นางใส่ไว้ด้านในอยู่หลายตัว
แต่ใครจะคิดว่านางจะเท้าชาขึ้นมา
แผนที่หนึ่งล้มเหลวไปแล้ว โชคดีที่นางคิดแผนสำรองออกได้อย่างรวดเร็ว
จากนี้จะทำตามแผนสำรองแทน
นางกำนัลน้อยรายงานสถานการณ์เมื่อครู่ให้หลี่ซานเต๋อฟังเรียบร้อย หลี่ซานเต๋อรู้ว่ามู่ชวนกับอีกสองคนตามมาทีหลัง ตอนนั้นมีเพียงเซียวลิ่วหลังอยู่คนเดียวที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
เมื่อหลี่ซานเต๋อยืนยันตัวตนของขันทีทั้งสามแล้ว ขันทีหนุ่มคนหนึ่งแซ่หู ทุกคนเรียกเขาว่าเสี่ยวหูจื่อ ส่วนขันทีอีกสองคน คนหนึ่งนามว่าถงกง อีกคนนามว่าจ้าวซี
ทั้งสองคนล้วนเป็นขันทีในตำหนักจงเหอ และมาจากกรมขันทีภูษาอาภรณ์ที่มาจากบรรดากรมขันทีทั้งสิบสองหน่วย กรมขันทีภูษาอาภรณ์มีหน้าที่ดูแลพระกระยาหารและอาหารภายในวัง งานเลี้ยง และเรื่องอื่นๆ
เนื่องด้วยกรมขันทีทั้งสิบสองหน่วยมีหน้าที่พิเศษ จึงมีสิทธิ์เข้าออกสามตำหนักใหญ่ วันนี้สองนายนี้มาสอบถามเรื่องมื้อกลางวันของฮ่องเต้
แต่พวกเขาสองคนถามเสร็จเรียบร้อยและกลับไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาโดนฆ่าตายอยู่ตรงนี้ได้เล่า
ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือบนพื้นยังมีกระสอบและเชือกที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรอยู่ด้วย นี่จะทำอะไรน่ะ
“แน่ใจรึว่าโดนฆ่าตายจริงๆ ” หลี่ซานเต๋อถามพวกทหารองครักษ์ของวังหลวง
ทั้งสามพยักหน้า พวกเขามั่นใจสุดจะหาใดเปรียบเลยล่ะ
กู้เจียวมองพวกหลี่ซานเต๋อ การตายของขันทีสามคนนี้ไม่เกี่ยวกับนาง พวกเขาโดนลูกหลงกำลังภายในของหนานกงลี่ทำสิ้นลมต่างหาก
หลี่ซานเต๋อไปดูบุรุษคนนั้นใต้ต้นไม้ต่อ เมื่อเทียบกับขันทีสามนายนี้แล้ว สภาพการเสียชีวิตของคนผู้นี้อนาถกว่านัก โดนกิ่งไม้แหลมแทงทะลุยอดอก อาวุธสังหารก็ไม่ได้ถูกกำจัด แต่กลับโยนทิ้งอยู่ในที่เกิดเหตุอย่างอวดดี
หลี่ซานเต๋อสังหรณ์ใจถึงความร้ายแรงของเรื่องได้ เขาเป็นขันทีผู้ดูแลตำหนักจงเหอ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการสังหารกันภายใต้สายตาของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นความผิดของเขาที่บกพร่องในหน้าที่
เขาไม่เข้าใจเลยว่าวังหลวงทหารแน่นหนาเพียงนี้ ใครมันกินดีหมีกล้าก่อความวุ่นวายในวังหลวงได้
“พวกเจ้าไม่พบคนน่าสงสัยอะไรเลยหรือ” เขาถามทหารองครักษ์ที่ติดตามมา
ทหารองครักษ์ส่ายหน้า
กู้เจียวไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ จริงอยู่ที่วังหลวงมีการคุ้มกันแน่นหนา แต่สำหรับยอดฝีมืออย่างหนานกงลี่แล้ว การหลบเลี่ยงสายตาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
กอปรกับหนานกงลี่อาจจะรู้ดีช่วงเวลาเปลี่ยนผลัดเวรยามและการลาดตระเวนของทหารองครักษ์ในวังหลวง จึงสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของการคุ้มกันนี้ได้
สถานที่สังหารนี้น่าจะเป็นที่ที่หนานกงลี่เลือกมาอย่างรอบคอบแล้ว ล้วนเป็นมุมอับของตำหนักจงเหอทั้งสิ้น
สุดท้ายหลี่ซานเต๋อก็มาหยุดตรงหน้าหนานกงลี่ ครานี้เขาพินิจมองใบหน้าหนานกงลี่อย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพิกล
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดบนหน้าของหนานกงลี่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของเขา เขาลุกพรวดขึ้นมาทั้งตัว!
“หลี่กงกง!”
พวกทหารองครักษ์นึกว่าศพลุกขึ้นมา จึงรีบมาคุ้มกันหลี่ซานเต๋อ
แต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าที่ถูกเช็ดคราบเลือดออกไปแล้ว ก็เผยสีหน้าตกใจเช่นเดียวกับหลี่ซานเต๋อเลย
เรื่องค่อนข้างใหญ่ หลี่ซานเต๋อจึงถามรายละเอียดเหตุการณ์จากกู้เจียวในที่เกิดเหตุเลย
ฆาตกรเป็นใคร
เกิดอะไรขึ้น
คราบเลือดรอยมือตรงเสื้อส่วนหน้ามันคืออะไร
“ไม่รู้”
“ไม่เห็น”
“ตอนที่ข้ามาถึงสามคนนั้นก็สิ้นลมไปแล้ว คนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ข้ารู้วิชาแพทย์นิดหน่อย จึงอยากจะช่วยชีวิตเขา เขาคว้าเสื้อส่วนหน้าข้าไว้ เหมือนอยากจะบอกข้าว่าฆาตกรคือผู้ใด แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็สิ้นใจไปก่อน”
กู้เจียวเอ่ยอย่างสงบนิ่ง สีหน้าราบเรียบ ไม่มีอาการลนลานใดๆ
มู่ชวนรีบเอ่ย “ข้าเป็นพยานได้! เซียวลิ่วหลังรู้วิชาการแพทย์จริงๆ ขอรับ!”
จ้าวเวยเสริม “ใช่! พวกเราล้วนเป็นพยานได้! วันที่พวกเราแข่งกับสำนักบัณฑิตผิงหยาง บัณฑิตสำนักจื่อจู๋กับบัณฑิตสำนักซงซานลงไม้ลงมือกัน สุดท้ายผนังอาคารถล่มลงมา เซียวลิ่วหลังนี่แหละที่ช่วยเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ! พวกท่านเจ้าสำนักก็อยู่ด้วย! หากพวกท่านไม่เชื่อก็ส่งคนไปถามได้เลย!”
หยวนเซี่ยวเอ่ยเสริม “อันกั๋วกงด้วย! เซียวลิ่วหลังเคยรักษาให้อันกั๋วกง!”
อันที่จริงเรื่องที่กู้เจียวมีวิชาการแพทย์กับการช่วยเหลือหนานกงลี่มันเป็นคนละเรื่องกันเลย แต่ตราบใดที่ทักษะทางการแพทย์ของนางได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง การที่นางรั้งอยู่ช่วยชีวิตคนก็คือการสร้างความดีความชอบ
หากจะวิเคราะห์ความจริงนี้ ก็ต้องหาหลักฐานที่มีน้ำหนักพอมา
ดูจากคราบเลือดรอยมือบนตัวนาง นางปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นไปได้สองอย่าง ไม่ช่วยคนก็ฆ่าคน
แรงจูงใจในการช่วยคนมีแล้ว นางเป็นหมอ นางมีเมตตาและฝีมือสูง ไม่มีทางเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือแน่นอน
ส่วนแรงจูงใจในการฆ่าคนนั้นยากที่จะเอ่ย
มู่ชวนเอ่ย “เซียวลิ่วหลังไม่ใช่ชาวแคว้นเยี่ยน เขามาเซิ่งตู่ได้แค่เดือนเดียวเอง เขาไม่รู้จักแม่ทัพหนานกง และไม่รู้จักกงกงทั้งสามคนนี้ด้วย แล้วเขาจะฆ่าพวกเขาเพื่อการใด”
“หรือจะมีคนบงการ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งคาดเดา
มู่ชวนแค่นเสียงเอ่ย “บงการแม่ทัพหนานกงให้แอบแฝงตัวเข้าไปในตำหนักจงเหอของฮ่องเต้อย่างนั้นน่ะรึ หรือว่าบงการขันทีทั้งสามให้ตั้งแถวรอเขามาฆ่าอยู่ตรงนี้แต่โดยดี”
ถูกต้อง การปรากฏตัวของทั้งสี่คนตรงนี้เป็นหนึ่งจุดที่ต้องสงสัยของคดีอย่างมาก ไม่ว่าจะมองอย่างไรเซียวลิ่วหลังก็ไม่มีปัญญาพาทั้งสี่คนนี้มาอยู่รวมกันได้
มู่ชวนเอ่ยต่อ “ที่สำคัญกว่านั้นคือ แม่ทัพหนานกงวรยุทธ์สูงส่ง เซียวลิ่วหลังก็ไม่ได้หายไปนาน พวกท่านคิดว่าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเทียนฉงคนหนึ่งจะสามารถใช้กิ่งไม้สังหารแม่ทัพหนานกงผู้โด่งดังแห่งต้าเยี่ยนเราภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ได้หรือ”
ถ้อยคำนี้ของมู่ชวนนับว่าพูดแทงใจดำของทุกคนเลยทีเดียว
นั่นน่ะสิ เรื่องแรงจูงใจกับเรื่องเวลาเกิดเหตุยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่บัณฑิตจากแคว้นระดับล่างคนหนึ่งสามารถสังหารแม่ทัพแห่งแคว้นระดับบนได้ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อแล้ว
เพียงแต่ว่าหลี่ซานเต๋อเชื่ออย่างเดียวไม่พอ เรื่องมันเกี่ยวข้องกับแม่ทัพหนานกง จึงต้องให้ฮ่องเต้เชื่อด้วยถึงจะได้
หลี่ซานเต๋อออกมาเฝ้าอยู่หน้าตำหนักจินหลวน เมื่อฮ่องเต้เลิกประชุมเช้าก็ทูลเรื่องตำหนักจงเหอให้ฟัง
สีพระพักตร์ฮ่องเต้พลันดูไม่สู้ดีเสียยิ่งกว่าเดิม
หลี่ซานเต๋อคุกเข่าลงกับพื้น ตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึมสันหลังเปียกชุ่ม
เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยมากมาย คนที่ประสบเหตุร้ายคนแรกอย่างหนานกงลี่ เหตุใดเขาจึงแอบแฝงตัวเข้ามาในวังหลวงโดยพลการ
อันที่จริงแค่จุดนี้ก็เพียงพอให้ฮ่องเต้ลงโทษประหารเขาได้แล้ว แต่จะประหารหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดนใครฆ่าตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“จางเต๋อเฉวียน”
“ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปตามผู้ว่าการศาลต้าหลี่กับเจ้ากรมยุติธรรมมาที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทรงกำลังจะไต่สวนคดีแล้ว
ฮ่องเต้ตรัสต่อ “นอกจากนี้ บัณฑิตคนนั้น ให้จับไปที่คุกหลวง ทรมานไต่สวนให้หนัก”
คุกหลวงมีทัณฑ์ทรมานสี่สิบเก้าอย่าง ก็ยังไต่สวนไม่ได้คำตอบใด
หากบัณฑิตคนนั้นโกหก คุกหลวงก็จะถามเจอความจริง
หากเขาได้รับทัณฑ์ทรมานทั้งหมด ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางไปไล่ไต่สวนต่ออีก
เพราะฮ่องเต้เคยประกาศไว้ว่าตราบใดที่ได้รับทัณฑ์ทรมานทั้งหมดของคุกหลวงแล้ว ต่อให้เขามีความผิดก็จะปล่อยตัวไป
แต่น่าเสียดายที่จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยมีใครทนได้สำเร็จ โดนทรมานไปได้ครึ่งทางก็ขาดใจตายไปก่อนมากมายนัก
จางเต๋อเฉวียนส่งคนไปที่กรมยุติธรรมกับศาลต้าหลี่เป็นอย่างแรก จากนั้นเขาก็จับกุมกู้เจียวไปด้วยตัวเอง
เพียงไม่นานเขาก็ย้อนกลับมาที่ตำหนักหลักของตำหนักจงเหอ สีหน้าค่อนข้างยากจะอธิบาย
ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ปรายตามองเขานิ่งๆ “เป็นอะไรไป”
จางเต๋อเฉวียนเอ่ยอย่างลำบากใจ “จะ…จับกุมตัวไปที่คุกหลวงไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลับตาพักสายตา “เขาปลิดชีพตัวเองรึ”
จางเต๋อเฉวียน “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงนิ่ง “หรือเขายอมรับสารภาพแล้ว”
“ก็ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนเอ่ยเสียงเจื่อน “ถูกองค์หญิงน้อยลากตัวไปแล้ว องค์หญิงน้อยบอกว่า…บัณฑิตคนนั้นเป็นอาจารย์ของนางพ่ะย่ะค่ะ!”